โศลกที่ยี่สิบสี่ "ขบธรรม เห็นธรรม"
พิจารณาธรรมเพียงสี่ฐาน
ในกาย เวทนา จิต ธรรม
ใช้สติพิจารณาไม่ใช้ความคิด
เป็นทางมุ่งตรงต่อพระนิพพาน
เป็นทางทำลายการยึดมั่นถือมั่น
เห็นลมหายใจที่อยู่ในกายนี้
เห็นความรู้สึกที่อยู่ในเวทนานี้
เห็นความผ่องใสที่อยู่ในจิตนี้
เห็นความว่างที่อยู่ในธรรมนี้
เห็นความว่างในกายเวทนาจิตเช่นนี้
สัจธรรมย่อมปรากฏ
มายาย่อมสิ้นไป
วิชชาย่อมปรากฏ
อวิชชาย่อมสลายไป
เป็นที่น่าสังเกตอย่างยิ่งในคำสอนของพระพุทธศาสนา เมื่อเกี่ยวกับการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วต้องปฏิบัติตามทางสายกลางเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ความเข้าใจเกี่ยวกับทางสายกลางในประเทศไทย และชาวพุทธทั้งหลายไม่แน่ว่าจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง โดยมากก็เข้าใจไปตามตัวหนังสือ หรือไม่ก็เข้าใจตามที่สอนต่อๆ กันมา เรื่องมรรคมีองค์แปด แยกออกเป็นปัญญา ศีล สมาธิ เพราะความไม่เข้าใจอรรถแห่งทางสายกลางอย่างลึกซึ้งนี่เอง ทำให้ชาวพุทธไม่สามารถปฏิบัติตนตั้งอยู่ในทางสายกลางแม้แต่นิดเดียว
ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า ทำไมต้องเป็นสายกลาง คำตอบก็เพราะปฏิเสธทางส่วนสุดทั้งสอง จึงเรียกว่า สายกลาง ส่วนสุดทั้งสองนั้นเป็นทวิภาวะ การจะปฏิเสธส่วนสุดทั้งสองนั้นไม่ใช่เราเป็นผู้ปฏิเสธ เพราะเมื่อมีเราเป็นผู้ปฏิเสธเมื่อใด ก็ต้องตกอยู่ในทวิภาวะทันทีโดยไม่รู้ตัว เพราะเราก็คือความคิด ความคิดเป็นเรา ความคิดไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากการเข้าไปยึดส่วนสุดได้ เพราะความคิดมีธรรมชาติยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอารมณ์เสมอ
ประการต่อมา ทางสายกลางเป็นศาสตร์ชั้นสูง เป็นไตรสภาวะ (Triangle) เป็นตรียาน เป็นตรีจักร เป็นตรีภาวะที่ทำให้หลุดพ้นจากความเป็นทวิภาวะได้ เป็นพุทธศาสตร์แห่งการหลุดพ้นโดยแท้ เป็นการพ้นจากอำนาจกายและอำนาจจิต ได้แก่ การดำรงอยู่ท่ามกลางอำนาจกายและอำนาจจิตได้ รักษาสมดุลไม่ให้อำนาจกายและจิตเข้ามาบงการได้ เมื่อนั้นมัจจุราชก็ไม่อาจเห็น มัจจุราชเห็นได้เฉพาะผู้ที่ตกอยู่อำนาจความต้องการทางกาย และผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจทางจิตเท่านั้น
โศลกว่า “ใช้สติพิจารณาไม่ใช้ความคิด” การฝึกเพื่อให้ดำรงอยู่ในทางสายกลางก็คือ การฝึกมีสติอยู่เสมอ เพราะในขณะที่มีสตินั้นตัวตนจะหายไป เมื่อตัวตนหายไปก็พ้นจากทวิภาวะได้ เพราะตัวตนคืออัตตานี้ต้องอาศัยส่วนสุดข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้นจึงดำรงอยู่ได้ ตัวตนอยู่ไม่ได้ในท่ามกลาง ในท่ามกลางนั้นมีแต่สติเท่านั้นที่อยู่ได้ พาหะของตัวตนที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในก็คือ ความคิด เมื่อใดคิด เมื่อนั้นมีตัวตนขึ้นมาทันที เมื่อใดมีสติอยู่กับปัจจุบัน เมื่อนั้นตัวตนจะหายไปทันที ทางสายกลางก็คือการดำรงอยู่ไม่ปราศจากสตินั่นเอง
มีแต่ดำรงอยู่ด้วยสติเท่านั้นจึงทำให้ดำรงอยู่ในทางสายกลางได้ ทางสายกลางนี้เป็นทางที่ตรงต่อพระนิพพาน คือความเป็นอิสระอย่างเต็มที่ ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจทางกายและใจ ไม่ตกไปสู่ส่วนสุดทั้งสอง ไม่ตกอยู่ในทวิภาวะ (Duality) บางคนยังไม่อาจเข้าใจได้ว่า ความแตกต่างระหว่างสติกับความคิดนั้นเป็นอย่างไร สตินั้นเป็นตัวคอยสังเกตความเคลื่อนไหวทั้งหมดไม่ว่ากายหรือจิต เมื่อสติเห็นชัดเจนทุกความเคลื่อนไหวจึงทำให้มีปัญญารู้แจ้งในเหตุ ผล ความดับเหตุผล และทางที่เข้าถึงความดับเหตุผลนั้นด้วย กระบวนการนี้จะปรากฏชัด นี่คือ การดำรงอยู่อย่างไม่ประมาท นี่คือ ทางสายกลาง
เมื่อใดก็ตามดำรงอยู่บนสติ มีสติเป็นเครื่องดำเนินไป ชีวิตก็ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของโลภ โกรธ หลง อีก เพราะโลภ โกรธ หลงนี้ เกาะอยู่ในใจเท่านั้น เมื่อไม่มีใจให้เกาะ กิเลสเหล่านี้ก็ตกไปโดยปริยาย ไม่ต้องไปทำอะไรป้องกันให้วุ่นวาย ด้วยเหตุนี้ท่านเหว่ยหลาง (ฮุ่ยเหนิง) จึงมองไปที่ต้นตอ ไม่มองไปที่ว่าจะทำอย่างไร ก็เมื่อขจัดต้นตอ ก็คือ เมื่อไม่มีจิต (ความคิด) เสียแล้ว กิเลสจะมีได้แต่ที่ไหน ท่านจึงเขียนโศลกไว้ว่า