วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๑๑)





ศิลาทรายเหลืองสูงประมาณสิบเชี๊ยะพิงอยู่กับหน้าผา
ก้อนศิลาที่ไร้ความหมายบัดนี้เริ่มกลายมาเป็นรูปลักษณ์อันทรงคุณค่ายิ่งแล้ว
เสียงกระทบระหว่างแท่งเหล็กแกะสลักกับก้อนศิลา
สะท้อนก้องไปในอากาศ เสียงนั้นยังก้องอยู่ในโสตประสาท แม้บัดนี้จะไม่มีเสียงกระทบแล้วก็ตาม


ริมพระโอษฐ์ล่างหนากว่าริมพระโอษฐ์บนเล็กน้อยรับกันจนปรากฏเป็นรอยยิ้มที่เอิบอิ่มคล้ายดั่งรอยแย้มแห่งมหาเมตตาที่ประทานแด่สรรพสัตว์ทั่วหล้า ฉะนั้น
พระเกศาขมวดสูง ผ้าโพกพระเกศามีสายสร้อยประดับรัดไว้
ระหว่างกลางผ้านั้นมีรูปพระธยานีอมิตาภพุทธะประทับนั่งสมาธิอยู่
เหนือพระนลาฏะเป็นแนวอัญมณี ลักษณะพระขนงเป็นเกลียว
มีพระอุณาโลมจรดกันขอบพระเนตรบนสูง
พระหัตถ์ซ้ายทรงถืออัษมาลา และกมัณฑลุ
พระหัตถ์ขวาทรงถือบัวชมพูที่กำลังเบ่งบาน ผ้าคลุมพันรอบพระอังสะ
ผ่านไปที่ท่อนพระหัตถ์ซ้าย ส่วนผ้าปริธาณ (ผ้านุ่ง) พันผ่านจากด้านหนังมาสู่ด้านหน้า
แล้วสอดไว้ที่ประคตมีชายผ้าห้อยลง
ปลายด้านหนึ่งงอนคล้ายดั่งปลิวขึ้น
พระบาทซ้ายน้ำคู่เข้าส่วนพระบาทขวาห้อยลงเกือบถึงพื้น

เหงื่อบนใบหน้าของมันไหลผ่านร่องแก้มเข้าไปในปาก
รสเค็มของเหงื่อทำให้มันคลายสายตาที่เพ่งมองรูปสลักที่มันใช้พลังศรัทธาผสมความพากเพียรพยายามกระทำจนเกือบจะเสร็จสิ้น เหลือเพียงแต่เทพยดาน้อยสองตนด้านข้างเท่านั้น
ฝ่ามือที่เคยบอบบาง บัดนี้หยาบกร้านบางนิ้วยังมีคราบเลือดและเป็นสีศิลาทรายเหลืองที่แห้งติดในเล็บเพราะค้อนตีเหล็กแกะสลักพลาดมาถูกนั่นเองแต่มันก็หาได้ใส่ใจไม่

…โอ..อวโลกิเตศวรผู้เป็นใหญ่
ผู้ทรงพระเมตตา
ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์
พระองค์ประทับอยู่กลางใจผู้คน
สรรพสัตว์จะเพรียกหาพระองค์จากดวงจิต..
เสียงเพรียกพระนามของพระองค์นั้นลี้ลับ
ศักดิ์สิทธิ์ดุจเสียงฟ้าเหนือมหาสมุทร
หาสิ่งใดเสมอเหมือนมิได้…

ทินเล่รำพึงต่อพระพักตร์รูปสลักพระอวโลกิเตศวร ที่เกิดจากศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของมันเอง
คำ “ศรัทธา” บางครั้งคือขุมพลังที่เป็นประโยชน์ใหญ่ บางครั้งก็คล้ายพลังที่พุ่งไปในความมืดมนอนธกาล
แต่ธรรมชาติของศรัทธามักสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้ปรากฏแก่โลกเสมอ

ขอเพียงปักใจแน่วแน่และมานะฝึกปรือ
แม้แต่ฟ้าก็ยังหลีกทางให้
“ในที่สุดเจ้าก็พิสูจน์ความตั้งใจของเจ้าให้ปรากฏแล้ว”
เสียงที่ทรงพลังเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นเบื้องหลังของมัน
แม้มันไม่เห็นว่าผู้พูดเป็นใคร แต่มันก็ทราบว่าเสียงนี้เป็นเสียงของผู้ใด


[[[[[

เรือนไม้เล็กๆ หลังหนึ่งแทรกอยู่ในดงไผ่
บริเวณพื้นกอไผ่เตียนโล่งเหมาะสำหรับการบำเพ็ญธรรมยิ่งนัก
หน่อไผ่หลายหน่อเพิ่งจะแทงทะลุดินออกมา เพื่อสืบสานดำรงพันธุ์ของมัน
ชายผู้นั้นพามันเดินผ่านแนวไผ่ และเรือนไม้ไปอีกด้านหนึ่ง
ณ ที่นี้เป็นเรือนศิลาทรายเหลือง ดูเข้มแข็งทนทาน
สมณะหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากภายในเรือนศิลาแล้วเอ่ยขึ้น
“ประสกพาผู้ใดมาด้วย?”
“บุรุษที่เดินทางมาจากดินแดนตะวันออกผู้หนึ่ง”
“มานพน้อย เจ้ามาด้วยประสงค์ใด?”
“ยังไม่ทราบแน่ชัด” ชายผู้นั้นคล้ายนึกออกถึงการสนทนาครั้งแรกได้ จึงกล่าวคำต่อไป
“มิทราบที่นี่มีโมกขธรรมให้หารือหรือไม่ ดูเหมือนเขาจะมาเพื่อจุดประสงค์นั้น”
สมณะหนุ่มไม่กล่าวกระไรอีก ได้แต่เชิญทั้งคู่เข้าไปภายใน
โต๊ะเก่าตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง โดยมีเก้าอี้สี่ตัวล้อมรอบ ข้าฝาผนังมีภาพวาดสมณชราแขวนอยู่
เพียงครู่..สมณะหนึ่งรูปนั้นก็พร้อมกับมันต้มถั่วเหลืองถ้วยหนึ่ง
“ประสกทานนี่ก่อนเถิด” ท่านวางมันต้มบนโต๊ะ “ขออภัยด้วยที่ต้อนรับท่านด้วยมันต้มถั่วเหลือง”
“โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น นับเป็นพระคุณยิ่งแล้ว มันต้มก็ประทังชีวิตได้” ทินเล่กล่าวขอบคุณ


แท้จริงแล้ว
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ดำรงชีพได้ง่ายที่สุด
แต่มนุษย์กลับทำตนเป็นสัตว์ที่อยู่ยากที่สุด
สิ่งที่กีดขวางไม่ให้มนุษย์ได้รับสิ่งดีที่สุดในชีวิตก็คือ…
การไม่รู้จักใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
เกือบค่อนเวลาของชีวิตที่มนุษย์ใช้ไปกับการแสวงหาปัจจัยดำรงชีพ
อุทิศชีวิตเพื่อแสวงหาของเสพสนองความอยากที่ไม่จำเป็นทั้งนั้น
แทนที่จะใช้เวลาไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต

[[[[[

แรมสามค่ำ เดือนสาม
จิ้งหรีดภูเขาส่งเสียงร้องดังไปทั่วบริเวณสวนไผ่
เบื้องหลังอารามแห่งนี้เป็นหน้าผาศิลาทรายเหลืองเกือบทั้งลูก
ศิลาจากเขาแห่งนี้เป็นแหล่งที่ได้มาซึ่งวัสดุเพื่อนำไปแกะเป็นเทวรูปพระโพธิสัตว์ที่พบเห็นตามมุมถนนภายในเมืองอุทกขัณฑะ
อารามการาตะปะ เป็นเพียงอารามเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
มีภิกษุสงฆ์ภายในอารามเพียงเจ็ดรูป
เจ้าอาวาสชื่อว่า จินโตชยโฆษ อายุห้าสิบแปดปี มีพรรษาสี่สิบห้าแล้ว ท่านศึกษาตามแนวของจิตตมยมาตรสิทธิ (โยคาจาร)
ทินเล่ใช้ชีวิตอยู่ในอารามแห่งนี้เพื่อพิสูจน์ตนเอง
บทพิสูจน์ของมันคือการไปที่เชิงผาเพื่อแกะสลักรูปพระอวโลกิเตศวรองค์หนึ่ง
ชายที่นำมันมาคือผู้ที่ถ่ายทอดศิลปะการแกะสลักให้
กล่าวกันว่า การแกะสลักเป็นการฝึกความแข็งแกร่งของพลังนิ้วมือประการหนึ่ง
นิ้วมือทุกนิ้วมีส่วนเชื่อมต่อกับอวัยวะภายในร่างกาย
นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือสร้างเสริมพลังสมองช่วยให้ตัดสินใจว่องไว
ส่วนนิ้วกลาง นิ้วนางและนิ้วก้อยนั้นเสริมสร้างความปราดเปรียวฉับไว คล่องแคล่วให้กับร่างกาย
จอมยุทธ์มากมาย มักมีความชำนาญในการใช้นิ้วมือของตนไปตามแขนงศิลปะหลายประการ
เช่น ดีดพิณ วาดภาพ แกะสลัก เขียนอักษร เป็นต้น
เพราะนั่นคือแนวทางแห่งการฝึกปรือพลังนิ้วของตนนั่นเอง

หกเดือนสิบสองวันที่ทินเล่ทุ่มเทชีวิตเพื่อรูปสลักพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรองค์นี้
พระองค์งดงามตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
มันพรางเปล่งเสียงรำพึงที่ออกมาจากเสียงเพรียกจากดวงจิต....
เมื่อเสียงรำพึงหยุดลง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

[[[[[