วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2561





เสขะ-ขีณาสวปกาสินี

การแยกแยะผู้ศึกษาในพระศาสน์
วัดตรงที่สามารถข้ามผ่านขันธ์
ดำรงชีพอิสระเป็นประกัน
เรียกว่าขั้นเสขาเสขะคน
เห็นภูตะปฏิบัตินั่นเกิดดับ
ภูตะรับอาหารสืบสานผล
หมดสิ้นเชื้อหมดกันในบัดดล
คงฝึกฝนเรื่อยไปเป้าหมายมี
ส่วนผู้เรียกอเสขะขีณาสพ
คือผู้พบภูตะทำหน้าที่
ละยึดมั่นด้วยปัญญาสัจวาที
เกิดดับนี้ตถตาสังขาต์ธรรม




เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องคิดตามหลักปกติธรรมดาไม่ได้ เพราะร่องแห่งความคิดนั้นเป็นร่องที่กำหนดไว้แล้วว่า ต้องเป็นไปอย่างนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ใช้ความคิดตามร่องเดิม ๆ ก็จะเกิดผลแบบเดิม ๆ อยู่เสมอ แม้ว่า ผลจะเกิดขึ้นในเชิงปริมาณจะมีขึ้น เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย แต่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือ ทุกอย่างยังคงเป็นแบบเดิม ๆ คือ กระบวนการเสริมแรงด้วยอาหารแห่งอัตตา อัตตาเจริญขึ้นได้เพราะอาหารเหล่านั้น ขันธ์ดำรงอยู่อย่างอ้วนพีเพราะมีอาหารเสริม ความคิด คือ กระบวนการของขันธ์ (สังขารขันธ์) ที่ทำหน้าที่อยู่ภายใต้ร่องเดิม ๆ อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ การคิดที่ถูกโปรแกรมไว้แล้วด้วยอวิชชาจึงไม่เหลือแสงสว่างใดเลยที่ส่องทางออกไปได้
ชีวิตที่เริ่มต้นด้วยความคิดดิ้นรน อยากชนะ อยากรวย อยากมีอยู่มีกิน อยากสะดวก สบาย อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากพบกับความทุกข์ยาก ไม่ยากประสบสิ่งอันไม่พึงใจทั้งหลาย ไม่อยากเจอสิ่งทำลายความหวังทั้งมวล ร่องความคิดที่เริ่มด้วยความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดที่ตกอยู่ภายใต้ร่องความคิดปกติของมนุษย์โลกที่เดินทางไปสู่กับดัก และไม่อาจเอาชนะได้เลย เป็นกับดักแห่งคองยักษ์ (อวิชชา) ที่รอคอยจนผู้คนคิดว่าตนไปใกล้ถึงเส้นชัยแล้วโผเข้าหาเส้นชัย สุดท้ายเข้าก็พบว่า ตนพ่ายแพ้อีกแล้ว คนอื่น ๆ ก็ยังคงไม่เชื่อว่า คนที่พ่ายแพ้นั้นเพราะเขาไร้ความสามารถ ตนเองต่างหากที่มีความสามารถเข้าถึงเส้นชัย จึงกระโดดเข้าหา สุดท้ายเขาก็ไปถึงจุดจบแห่งความพ่ายแพ้เช่นกันคนแล้วคนเล่า เป็นกันทั้งโลก จุดจบนั้นก็คือ ชีวิตไร้ความหมาย ชีวิตที่กลวงหาแก่นสารอะไรไม่ได้ ผู้ที่พอจะมีปัญญาก็จะสำนึกตนได้ในขณะนั้น แต่ผู้ไม่มีปัญญาก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง
Ready Player One” เป็นกรณีตัวอย่างของคนทั้งโลกที่มุ่งเดินทางไปตามกระแสความคิดปกติ แต่แล้วก็ต้องถึงจุดจบ เพราะต่างมุ่งหวังจะเข้าถึงเส้นชัยด้วยความคิดปกติ เช่นเดียวกับ เวด วัตส์ Wed Wats ภายใต้ชื่ออวตารในโลกแก่ OASIS ว่า พาร์ไซวัล ผู้เข้าใจความคิดของ James Holliday ภายใต้แนวคิดของ Ernest Cline ผู้เขียนเรื่อง โดยมี Steven Spielberg เป็นผู้รังสรรค์ผลงาน “ถอยหลังให้เต็มที่” เป็นกระบวนการคิดที่กลับด้านในเรื่องนี้ ในที่สุดเขาก็พ้นจากกับดักของโลก

Related image

การคิดสวนทางกับโลกเป็นเรื่องยากยิ่ง จำเป็นต้องใช้พลังมหาศาลในตอนต้น เปรียบเหมือนการส่งกระสวยอวกาศขึ้นสู่วงโคจรของโลก จำเป็นต้องใช้พลังขับส่งที่มีพ้นพลังมหาศาลจึงจะสามารถหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงของโลกได้ พลังนี้ก็เช่นเดียวกับพลังกลับด้านของความคิดใน Ready Player One ที่สวนกระแสของความคิดปกติที่ทะยานไปข้างหน้า การทะยานไปข้างหลังอย่างแรง จะพบว่า เป็นคนละระดับของคนในโลก เขาจะเห็นความเป็นไปของโลกที่คนเป็นกันอยู่ เห็นคนทั้งหลายกำลังตะเกียกตะกายทะยานไปข้างหน้า เห็นหายนะทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นกับคนที่แข่งขันเหล่านั้น แต่เขากำลังกลับไปข้างหลัง เป็นกระบวนความคิดสายปฏิโลม
กระบวนความคิดสายปฏิโลม เป็นปฏิจจสมุปบาทที่สวนกระแสของโลก เพราะโลกหมุนไปตามอำนาจของอวิชชา แต่กระบวนการสายปฏิโลมนั้นไม่เป็นไปตามอำนาจ กลไก ความคิด ความเข้าใจธรรมดาของโลกอย่างนั้น เป็นกระบวนการกลับด้าน ไม่เป็นไปตามอำนาจโลก แต่เป็นไปตามพลังถอยกลับแห่งพละ ๕ คือ ความเชื่อมั่น ความเพียร ความระมัดระวัง ความตั้งใจมั่น และความรอบรู้ ถอยเต็มแรง ถอยเต็มกำลัง ในที่สุดก็จะพบว่า ด่านแต่ละด่านนั้นพังลงตามลำดับ ไม่ว่าจะกระทบกับอะไร ไม่เข้าไปใส่ความคาดหวังอะไร อะไร อะไร และต้องอะไรต่อไป แต่กลับสร้างความชัดเจนในปรากฏการณ์นั้น ๆ ขึ้นมาแทน มีแต่ความแจ่มชัดในขันธ์ ธาตุ อายตนะ ผัสสะ เวทนา ด่านแต่ละด่านก็ล้มลงไปตามลำดับ เพราะอาศัยความแจ่มแจ้งในขณะนั้น ๆ เท่านั้น นี่เป็นกระบวนการผิดปกติของโลก เป็นการทวนกระแสโลก
เบญจขันธ์คือ โลก ที่มีลักษณะไหลไปตามปกติของโลกด้วยอำนาจของอวิชชา เมื่อคิดสิ่งใดก็คิดไปตามโลก ไม่สามารถคิดหลุดไปจากวงจรโลกได้ ในภูตสูตรแห่งสังยุตตนิกาย กฬารขัตติยวรรค (สํ.นิ.๑๖/๓๑/๖๑) พระพุทธเจ้าได้ยกคำถามของอชิตมานพ ศิษย์ของพราหมณ์พาวรีขึ้นเพื่อให้พระสารีบุตรขยายความว่า “พระขีณาสพเหล่าใดมีสังขาตธรรม ส่วนพระเสขะที่ยังไม่มีสังขาตธรรมนั้นดำรงชีวิต” พระสารีบุตรไม่ทราบจะตอบอย่างไรดีในข้อนี้จึงเงียบอยู่ พระพุทธเจ้าจึงให้แนวว่า เธอเห็นหรือว่านี่คือ ภูตะ (เบญจขันธ์)” พระสารีบุตรจึงได้แนวในการขยายความ
ความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า เส้นทางของการพ้นจากเบญจขันธ์นี้ทำอย่างไร ก่อนอื่นก็ต้องรู้อย่างลึกซึ้งในเบญจขันธ์ก่อน เบญจขันธ์นั้นได้รวมกันทำงานอย่างเป็นระบบ ระเบียบ มีกลไกสมบูรณ์แบบตามลักษณะที่โลกดำเนินไปอยู่ กล่าวคือ มีการกระทำไปตามกาย วาจา ใจ มีการคิด จดจำ รู้สึก รับรู้ และหมุนวนไปมา สลับกันไปมา โดยมีอัตภาพนี้เป็นสนามทำงาน ผลักดัน ขับเคลื่อนไปตามอำนาจแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน มีตัณหาเป็นอาหาร เป็นปัจจัยให้ภูตะดำเนินไปได้อย่างไม่มีจบสิ้น
เมื่อใดก็ตามเข้าไปพิจารณาเบญจขันธ์ หรือ ภูตะ เห็นตามความจริงด้วยปัญญาอันชอบจึงย้อนกลับหลัง เข้าสู่สายปฏิโลม คือ ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย ปฏิบัติอย่างไร ก็คือ ใช้ปัญญาพิจารณาความเกิดดับของขันธ์แต่ละขันธ์นั้น เห็นขันธ์แต่ละขันธ์เกิดขึ้นก็เพราะอาหาร คือ มีความอยากเป็นไปในเบื้องหน้า ถ้าหากดับความยาก คือ อาหารของเบญจขันธ์เสียได้ เบญจขันธ์ก็ดับไปก็เพราะอาหารฉะนั้น กระบวนการกลับหลังหันให้กับอาหาร กระทำได้ด้วยการเห็นแจ้งด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ถึงสภาพที่ขันธ์เกิดดับอยู่อย่างนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนแล้ว วนเล่า ครั้งแล้ว ครั้งเล่า พระเสขะทั้งหลายจึงเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด พิจารณาต่อไป  ๆ จนกว่า จะเป็นการเห็นแจ้งในจิตอยู่ทุกเมื่อ เป็นธรรมชาติอัตโนมัติแห่งการเห็น เรียกบุคคลเช่นนี้ว่า พระเสขะบุคคล
ส่วนผู้ใดที่เมื่อเห็นแจ้งแล้วเพราะความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ละความยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ได้แล้ว มีปัญญาอัตโนมัติแล้ว จิตหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์อีกต่อไป นี้เรียกว่า พระขีณาสพ สุดท้ายพระพุทธเจ้าตรัสจึงกับพระสารีบุตรว่า
“สารีบุตร บุคคลเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า นี้คือ ภูตะ (ขันธปัญจก) ที่เกิดแล้ว ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อความดับภูตะที่เกิดแล้ว ย่อมเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกนี้เกิดเพราะอาหารนั้น ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อความดับแห่งขันธปัญจกที่เกิดเพราะอาหาร ย่อมเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดเกิดแล้ว สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อความดับแห่งภูตะที่มีความดับเป็นธรรมดาเพราะอาหารนั้นดับไป
สารีบุตร ก็บุคคลชื่อว่ามีสังขาตธรรมเป็นอย่างไร คือ บุคคลเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า นี้คือภูตะ ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นเพราะความหน่าย คลายกำหนัด ดับ เพราะไม่ถือมั่นภูตะ ย่อมเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า ภูตะนี้เกิดเพราะอาหารนั้น ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นเพราะความหน่าย คลายกำหนัด ดับ เพราะความไม่ถือมั่นภูตะที่เกิดแล้วเพราะอาหารนั้น ย่อมเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า ภูตะใดเกิดแล้ว ภูตะนั้นมีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้นครั้นเห็นอย่างนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นเพราะความหน่าย คลายกำหนัด ดับ เพราะไม่ถือมั่นภูตะที่มีความดับเป็นธรรมดา บุคคลได้ชื่อว่ามีสังขาตธรรม (พระขีณาสพ) เป็นอย่างนี้
กระบวนการคิดที่ไม่เป็นไปตามปกติของโลกที่มุ่งแต่ความยากเป็นเป้าหมาย ก็ย่อมมีแต่ความเกิดแห่งเบญจขันธ์อยู่นั่นเอง เบญจขันธ์นี้ก็คือที่รวมลงแห่งทุกข์ทั้งมวล เป็นกระบวนการสายทุกข์ การที่ไม่รู้ความเกิดและความดับของเบญจขันธ์ว่าสิ้นสุดลงได้อย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากเกมของวัฏฏะได้อย่างนั้น เกมของวัฏฏะนั้นมีกิเลส กรรม วิบาก เป็นกระบวนการขับเคลื่อน เมื่อใดที่ไม่ถอยให้สุดกำลัง ไม่กลับหลังให้สุดกำลัง เมื่อนั้นเส้นชัยที่แท้ก็ไม่ปรากฏ
ความต่างกันระหว่างผู้อยู่ระหว่างทาง ผู้พ้นจากการเดินทาง และผู้ที่ไม่เข้าทางนั้นต่างกัน ผู้อยู่ระหว่างทางที่เรียกว่า เสขะบุคคล เป็นผู้เห็นสังขาตธรรมแล้ว กำลังเร่งเครื่องเพื่อทำความเห็นแจ้งขันธ์อยู่ก็ยังชื่อว่า ผู้กำลังมุ่งไปสู่จุดหมายแบบไม่ได้มุ่งไปไขว่คว้า แต่ทำให้ปัญญาชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ ส่วนผู้ที่มีสังขาตธรรมแล้ว ก็คือ ผู้ที่ข้ามพ้นเกมแห่งเบญจขันธ์แล้ว หลุดพ้นจากโลกแห่งขันธมายา พ้นจากโลกแห่งสมมติมายา พ้นจากโลกแห่งการหลีกหนีความจริง และพ้นจากโลกแห่งเกมการเสพสารตัณหา สำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบถึงทางออกของเกมก็ตกอยู่ภายในวังวนของเบญจขันธ์เกมอยู่อย่างไม่มีสิ้นสุด รอบแล้วรอบเล่า ชาติแล้วชาติเล่า การได้เห็นผู้ที่หยุดตามโลก การสังเกตผู้เข้าสู่ทาง การมีสติคิดกลับด้าน คือเส้นทางเข้าสู่ทางแห่งการหลุดพ้นจากเกมขันธมายาได้



จบเสขะ-ขีณาสวปกาสินี