วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

ตามรอยคันธาระ : เส้นทางแห่งพุทธศาสนา



ตามรอยคันธาระ : เส้นทางแห่งพุทธศาสนา
ดร.สุวิญ รักสัตย์

***********

ประเทศปากีสถาน พอเอ่ยคำนี้ก็เป็นที่ทราบว่า เป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวพุทธจึงไม่ค่อยมีใครสนใจและไม่ทราบความยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ในอดีต ซึ่งมีเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ทั้งทางด้านอารยธรรม ศิลปะ และการศึกษาพระพุทธศาสนา เพียงเอ่ยคำว่า มหาวิทยาลัยตักสิลา ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนามีหรือไม่รู้จักชื่อนี้ จนกระทั่งมาถึงกาลบัดนี้รัฐบาลปากีสถานโดยเฉพาะรัฐมนตรีการท่องเที่ยวกำลังจะเปิดเส้นทางนี้ให้ชาวพุทธได้ตามรอยอารยธรรมพุทธศาสนากันอีกครั้ง

วัตถุประสงค์ของการเดินทาง
เนื่องด้วยรัฐมนตรีการท่องเที่ยวแห่งประเทศปากีสถาน นางนิโลฟาร์ บัขเตียร์ (Mrs.Nilofar Bukhtiar) ได้จัดโครงการ “ความจริงบนเส้นทาง สัปดาห์แห่งอารยธรรมยุคคันธาระ” (The Truth of the Path, Gandhara Week Pakistan) เพื่อที่จะส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศปากีสถานให้ชาวโลกได้รู้จักอารยธรรมยุคคันธาระซึ่งเป็นมรดกโลกโดยการประกาศของ UNESCO รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ ของประเทศด้วย ด้วยเหตุนี้ทางสถานทูตปากีสถานประจำประเทศไทยจึงได้กราบอาราธนานิมนต์พระภิกษุสงฆ์ไทย อาจารย์ และผู้สื่อข่าวไปร่วมกิจกรรมโครงการสัปดาห์การท่องเที่ยวอารยธรรมยุคคันธาระดังกล่าว

คณะบุคคลที่ร่วมเดินทาง
ในการเดินทางไปร่วมงานในครั้งนี้ รัฐบาลปากีสถาน ได้อาราธนาและเรียนเชิญบุคคลทางศาสนา วัฒนธรรม และสื่อมวลชนจากหลายประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี ประเทศมาเลเซีย ประเทศไทย ประเทศพม่า ประเทศศรีลังกา ประเทศเนปาล ประเทศภูฐาน
สำหรับคณะผู้ที่ได้เดินทางไปตามคำอาราธนานิมนต์และเรียนเชิญครั้งนี้สำหรับประเทศไทยมีจำนวน ๙ รูป/คน ดังนี้
๑. พระเทพญาณกวี เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ เป็นประธาน
๒. พระครูปลัดสัมพิพัฒนเมธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดโกเมศรัตนาราม รองอธิการบดีฝ่ายเผยแผ่และวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
๓. พระภิกษุจากวัดพระศรีมหาธาตุ ๒ รูป
๓. ดร.สุวิญ รักสัตย์ อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
๔. สื่อมวลชนจากหนังสือพิมพ์
๕. นักข่าวจากสถานโทรทัศน์ TITV
๖. ผู้ติดตามพระเทพญาณกวี

กำหนดการ
ในการเดินทางไปในครั้งนี้ตามกำหนดการที่รัฐบาลปากีสถานจัดนั้นตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม – ๑ เมษายน ๒๕๕๐ แต่คณะจากประเทศไทยนั้นสามารถไปได้ตามกำหนดการเดินทางได้เพียง ๒๖-๓๐ มีนาคม โดยมีกำหนดการดังนี้
๒๖ มีนาคม เวลา ๑๙.๐๐ น. สายการบินไทย TG 506 กรุงเทพ-อิสลามาบัด
๒๗ มีนาคม เวลา ๐๘.๐๐ น. เดินทางจากที่พักเมืองเปชวาร์ไปที่ตักสิลา
๒๘ มีนาคม เวลา ๐๘.๐๐ น. ไปเมืองอุทยาน (ในประวัติศาสตร์) ปัจจุบันเรียกเมือง สวัต (Swat Vallay)
๒๙ มีนาคม เวลา ๐๘.๐๐ น. ออกจากเมืองสวัต กลับตักสิลา เข้าร่วมพิธีสวดมนต์เวียนเทียนปทักษิณรอบธรรมราชิกสถูป
๓๐ มีนาคม เวลา ๐๘.๐๐ น. เดินทางไปเมืองละหอร์ ชมพิธีชักธงชาติลงจากเสาของประเทศปากีสถานและประเทศอินเดียที่ชายแดนของทั้ง ๒ ประเทศ
เวลา ๒๑.๐๐ น. เดินทางกลับประเทศไทยที่สนามบินละหอร์ ด้วยสายการบิน TG 509

พุทธสถานและสถานที่สำคัญ

ประเทศปากีสถาน
ประเทศปากีสถาน มีดินแดนติดต่อกับประเทศต่างๆ ดังนี้
ทิศเหนือติดประเทศอาฟกานิสถาน ทาจิสถาน และจีน ทิศใต้ติดประเทศอินเดีย ทิศตะวันออกติดประเทศอินเดีย ทิศตะวันตกติดประเทศอาฟกานิสถาน มีพลเมืองทั้งหมดประมาณ ๑๔๐ ล้านคน พลเมืองนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนมาก มีพลเอกปาเวส มูชาราฟ เป็นประธานาธิบดี ดินแดนภูมิประเทศมีทั้งภูเขา หิมะ ทะเลทราย ที่ราบ และทะเล ประเทศปากีสถานตั้งแต่เหนือจดใต้ในอดีตมีพุทธสถานปรากฏอยู่เป็นจำนวนมาก
อารยธรรมยุคคันธาระ
อารยธรรมยุคคันธาระ ดินแดนแห่งเกสรดอกไม้ ความหอมและความงดงาม เป็นอู่อารยธรรมศิลปะที่มีความงดงามอ่อนช้อยรวมศิลปะจากกรีกและอินเดียเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ยุคสมัยประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ จนกระทั่งถึง พ.ศ.๑๓๐๐ ศิลปะคันธาระนี้พบบริเวณทางตะวันตกของแม่น้ำสินธุและทางเหนือของแม่น้ำกาบูร กินอาณาบริเวณกว้างตั้งแต่ประเทศอาฟกาสนิสถานจนถึงเมือง ปัญจาบทางตะวันตกของประเทศอินเดีย มีความสำคัญเคียงคู่กันมากับศิลปะอารยธรรมมถุรา ทางตอนเหนืองของเมืองเดลีประเทศอินเดีย
ศิลปะคันธาระเริ่มเสื่อมลงหลังจากที่เผ่าฮันส์ (Huns) เผ่าเติร์ก และก็ศิลปะอิสลามจากตะวันออกกลางเข้ามาแทนที่

เมืองตักสิลา (Taxila)
ตักสิลา ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำฮินดูและแม่น้ำเชลัม เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่อดีต เพราะตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมถึง ๓ เส้นทางที่มาบรรจบกัน หนึ่งจากศูนย์กลางอินเดีย สองจากเปอร์เซีย สามจากจีน เป็นจุดพักของขบวนคาราวานค้าขายสินค้า จึงทำให้เป็นเมืองที่เป็นที่ต้องการของผู้เข้ามาครอบครองเพื่อที่จะควบคุมเส้นทางการค้าบริเวณแถบนี้ไว้
เชื่อกันว่า เมืองนี้สร้างโดยพระเจ้าภารตะซึ่งเป็นน้องของพระรามซึ่งเป็นอวตารของพระวิษณุ และให้ชื่อเมืองนี้ว่า ตักสะ ตามชื่อโอรสของตนตามประวัติในมหากาพย์มหาภารตะของอินเดีย
ตามหลักฐานในพระพุทธศาสนา เมืองตักสิลานั้น เป็นเมืองแห่งการศึกษา และได้รับเรียกว่า เป็นมหาวิทยาลัยตักสิลา โดยมีอาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นผู้บริหาร ตักสิลามีความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปะวิทยา ศาสตร์ต่างๆ ปรากฏมาทั้งในชาดกคือก่อนพุทธกาลและในพุทธกาล ในครั้งพุทธกาลบุคคลที่มีชื่อเสียงต่างก็มาศึกษา ณ มหาวิทยาลัยตักสิลาทั้งสิ้น
เมื่อครั้งพระเจ้าอเลกซานเดอร์ได้กรีฑาทัพเข้าสู่อินเดียก็ยึดเมืองตักสิลาแห่งนี้ไว้ แต่ไม่ได้มีการสู้รบจึงทำให้เมืองไม่ได้รับความเสียหาย ในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์ก็ได้มาปกครองที่นี่ หลังจากที่ได้ปกครองปาฏลีบุตรและได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาแล้วก็ได้สร้างมหาเจดีย์ใหญ่ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่นี่ เรียกว่า “ธรรมราชิกสถูป”
ในช่วงเย็นของวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๐ คณะผู้เดินทางทั้งหมดได้มาประชุมรวมกัน ณ มหาเจดีย์ โดยมีรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยว คณะทูตานุทูตของประเทศต่างๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลปากีสถานมาร่วมพิธีการสวดมนต์เวียนเทียนปทักษิณรอบมหาสถูปแห่งนี้
ตักสิลาจึงเป็นสถานที่ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาและประวัติศาสตร์โลก เมืองตักสิลาในปัจจุบันยังมีร่องรอยแห่งเค้าเดิมหลงเหลืออยู่บ้าง กล่าวคือ การแกะสลักหิน ซากวัดจูเลี่ยน (Julian Monastry (ชื่อในปัจจุบัน) เซอร์กับ (Sirkap) ซากเมืองตักสิลาที่ ๒ เมืองตักสิลาเก่าถูกทำลายไป และชิ้นส่วนต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองแห่งศิลปะคันธาระที่ตักสิลาซึ่งเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์
สำหรับธรรมราชิกสถูปก็ได้รับการขึ้นทะเบียนชื่อไว้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO และกำลังจะได้รับการบูรณะจากรัฐบาลปากีสถานเพื่ออนุรักษ์ไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางพุทธศาสนา เหมือนพุทธสถานในประเทศอินเดียต่อไป
เมืองเปชวาร (Peshawar)
เมืองนี้ชื่อเดิมในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาคือ เมืองปุรุษปุระ ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศปากีสถานเป็นเมืองสำคัญมากอีกเมืองบหนึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาประมาณ ๖๐๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน เนื่องจากเป็นสถานที่จัดทำสังคายนาครั้งที่ ๔ ตามบันทึกของฝ่ายมหายาน ซึ่งตอนนั้นปกครองโดยพระเจ้ากนิษกะมหาราช แห่งราชวงศ์กุษาณะ
ตามประวัติศาสตร์หลังจากที่พระเจ้ากนิษกะได้แผ่อำนาจทางบ้านเมืองไปทั่วบริเวณแถบนี้แล้ว ก็ได้หันมาสนใจเรื่องศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา จนกระทั่งเป็นประธานอุปถัมภ์การทำสังคายนาและมีท่านพระปารศวะเถระเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ หลังจากเสร็จการทำสังคายนาก็ได้สร้างมหาเจดีย์ใหญ่สูง ๕๕๐ ฟุต ไว้เพื่อบรรจุพระไตรปิฎกที่จดจารึกด้วยภาษาสันสกฤต จำนวน ๓ แสนโศลก เมื่อครั้งที่พระถังซำจังเดินทางมาที่สู่ประเทศอินเดียเมื่อประมาณพ.ศ. ๑๑๙๙ โดยใช้เส้นทางนี้และก็ได้กราบนมัสการมหาเจดีย์ใหญ่นี้ด้วย นอกจากนั้นยังมีนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่เกิด ณ เมืองนี้หลายท่าน เช่น ท่านพระอสังคะ ท่านพระวสุพันธุ ท่านพระอารยเทพ เป็นต้น
ปัจจุบันนี้ ชิ้นส่วนของมหาเจดีย์ พระพุทธรูปแกะสลักหินยุคคันธาระจำนวนมากและหลักฐานชิ้นส่วนอื่นๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและเกี่ยวกับพระเจ้ากนิษกะได้เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่เมือง เปชวารแห่งนี้

มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่ตาขท์ อี ไภ (Takht E Bhai)
สถานที่แห่งนี้ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนายังไม่ทราบว่าเรียกชื่ออะไร ไม่ปรากฏในบันทึกของพระถังซำจั๋ง แต่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่า ตาขท์ อี ไภ ซึ่งอยู่ที่เมืองมาร์ดาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศปากีสถาน เป็นซากพุทธสถานของวัดในพระพุทธศาสนาที่ใหญ่มาก ตั้งอยู่บนภูเขาสูงประมาณ ๕๐๐ ฟุต จากพื้นราบ เป็นวัดที่อยู่ด้านนอกของเทือกเขาฮินดูกูฏ
วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ศึกษาศิลปะวิทยาต่างๆ มหาวิทยาลัยที่มีบริเวณกว้างใหญ่ มีลักษณะการสร้างเหมือนวัดต่างๆ ในยุคสมัยนั้น คือ มีเจดีย์อยู่ตรงกลาง รอบๆ เป็นห้องสวดมนต์และเป็นห้องประชุมสังฆกรรม

เมืองหุบเขาสวัต (Swat Vallay)
เมืองในที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาหิมะและแม่น้ำสวัต หรือที่ปรากฏชื่อในประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาว่า เมืองอุทยาน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถาน ข้ามเทือกเขาฮินดูกูฏ ซึ่งมีความสูงถึง ๑๕๐๐ ฟุต เป็นเมืองที่เป็นเหมือนศูนย์รวมของพระพุทธศาสนาหลายนิกาย ได้แก่ เถรวาท มหายาน และวัชรยาน เป็นเมืองที่เป็นจุดเชื่อมต่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าไปสู่ในเอเชียกลาง ประเทศจีนและทิเบต พระภิกษุนักแสวงบุญเดินทางมาสู่ดินแดนพระพุทธศาสนาต่างก็มุ่งหวังที่จะได้มาเห็นเมืองนี้
ตามประวัติศาสตร์ไม่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาที่เมืองนี้ แต่เชื่อกันทางอภินิหารว่า พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาทรมานพญานาคราชแล้วประทับรอยพระบาทไว้ ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง ท่านกล่าวว่า เมืองนี้เป็นเมืองที่มีความงดงามทั้งสถานที่ มีดอกไม้ สายน้ำ ภูเขา และผู้คน เต็มไปด้วยวัดวาอาราม มีบันทึกว่า มีวัดถึง ๑๔๐๐ วัด มีพระภิกษุสงฆ์ถึง ๑๘,๐๐๐ รูป พระสงฆ์ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายวัชรยาน มีเมืองหลวงชื่อว่า มิงโคละ หรือมังคละโฆษะ
เมืองอุทยานเป็นสถานที่เกิดของบุคคลสำคัญของวัชรยาน ผู้ที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่สู่ประเทศเป็นผลสำเร็จ ได้แก่ ท่านคุรุปัทมสัมภวะ (คุรุริมโปเช่) ผู้ก่อตั้งนิกายญิงมะในประเทศทิเบต
ณ เส้นทางที่จะเข้าไปสู่เมืองอุทยาน พระเจ้าอุตตรเสนสร้างมหาสถูปไว้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตามประวัติเล่าว่า เมื่อพระองค์ได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดียแล้ว อัญเชิญมาด้วยช้างเผือก พอมาถึงที่นี่ช้างเผือกไม่ยอมไปต่อ ดังนั้นพระองค์จึงสร้างไว้ ณ ที่นี้ ปัจจุบันอยู่หมู่บ้านชิงการ์ดาร์ ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า ชิงการ์ดาร์สถูป (Shingkardar Stupa)

สรุป
การเดินทางไปสู่ประเทศปากีสถานในครั้งนี้ ก็เพื่อไปชมพุทธสถานซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากจากเหนือจดใต้ ถือได้ว่ามีทั้งทางด้านคุณค่าต่อจิตใจและคุณทางทางการศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทราบถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในบริเวณแถบนี้ ที่แผ่ไปจนถึงประเทศอาฟกานิสถาน
เจตนารมณ์ของประเทศปากีสถานที่ได้อาราธนานิมนต์พระภิกษุสงฆ์จากหลายประเทศและเชิญบุคคลจากประเทศต่างๆ ไปในโครงการการท่องเที่ยวสัปดาห์คันธาระ ก็เพื่อต้องการให้ชาวพุทธในประเทศต่างๆ ได้เข้าไปเที่ยวกราบนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาเหล่านี้อันเป็นการรณรงค์ส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไปด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณพุทธศาสนาที่แฝงอยู่ในศิลปะต่างๆ ที่ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ก็ดี ที่ถูกทิ้งไว้ในโบราณสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศจากเหนือจรดใต้ทำให้เห็นภาพแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตที่ไม่ทราบจะกลับมาได้หรือไม่ แม้ว่าจะไม่อาจทำให้ภาพเหล่านั้นกลับมาได้ แต่ก็ภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของทุกๆ ด้านที่พระพุทธศาสนาฝากไว้ใน “ตามรอยคันธาระ” ยุคปัจจุบัน

ชีวิตมีค่าตามมรรคาพุทธองค์


ชีวิตมีค่าตามมรรคาพุทธองค์

ผศ.ดร.สุวิญ รักสัตย์
ประธานสาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา
เลขานุการกรรมการบริหาร
หลักสูตรศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต


เส้นทางสายไหม (Silk Route)
การเดินทางเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ บ้างต้องการแสวงหาสถานที่หรือแหล่งที่เหมาะสมต่อการดำรงชีพและดำรงเผ่าพันธุ์ บ้างเดินทางเพื่อติดต่อกันและกันระหว่างเผ่าพันธุ์ของตนกับเผ่าพันธุ์อื่นเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและสร้างวัฒนธรรม ในอดีตนั้นมีการติดต่อกันด้วยการเดินทางด้วยเท้าและสัตว์พาหนะตามเส้นทางที่เชื่อมกันระหว่างรัฐต่อรัฐ ประเทศต่อประเทศ เส้นทางที่ยาวไกลและมีชื่อเป็นที่รู้จักกันในขณะนั้นก็คือ เส้นทางสายไหม (Silk Road)
เส้นทางสายชีวิตนี้เชื่อมต่อระหว่างโลกตะวันออกกับตะวันตก เริ่มจากประเทศจีนไปถึงกรีก โดยเส้นทางผ่านทะเลทรายตาลิมากันที่มีความร้อนสูงถึง ๕๐ องศาในเวลากลางวัน และลบ ๒๐ องศาในเวลากลางคืน นอกจากนั้นยังมีพายุทะเลทรายอีกด้วย บางครั้งเส้นทางสายนี้ยังถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความตาย (Land of Death) เพราะยากที่ใครจะผ่านไปได้ แต่ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ยังคงเห็นเป็นสิ่งท้าทาย ยังคงใช้เส้นทางนี้เพื่อเดินทาง
ความเจริญทางวัฒนธรรมตะวันตกนั้นสิ้นสุดไวกว่าทางตะวันออก เพราะทางตะวันออกนั้นพัฒนารุ่งเรืองในอาณาจักรเปอร์เซียและซีเรียที่กินบริเวณกว้างมากในตะวันออกกลางมาจดถึงอาณาจักรอินเดีย ทั้งสองอาณาจักรนี้ติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกันอยู่ก่อนแล้ว เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดินทัพของพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชแห่งมาเซโดเนียของกรีกที่ครอบครองจักรวรรดินี้มาเมื่อก่อน ปีค.ศ. ๓๓๐ แม้ว่าพระองค์จะครอบครองอาณาจักรทั้งหมดนี้เป็นระยะเวลาอันสั้น แต่วิถีแห่งวัฒนธรรม โดยเฉพาะงานสถาปัตยกรรมและปติมากรรมได้มีการแลกเปลี่ยนกันสืบต่อมาภายในอาณาจักรของอินเดียนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้เส้นทางของเอเชีย ได้แก่ เปอร์เซีย ซีเรีย อินเดีย และกรีก เชื่อมกัน อาณาบริเวณที่มีเส้นทางเชื่อมถึงนั้นไกลถึงแถบที่ราบลุ่มหรรษา (Hunza Valley) แห่งเทือกเขาการาโกรัม (Karakorum Range) จากปากีสถานถึงกาชการ์ (Kashgar) ในอาฟกานิสถาน ปัจจุบันเป็นถนนสายหลักเชื่อมระหว่างสองประเทศ แต่เดิมนั้นเส้นทางสายนี้เคยเป็นจุดพักทัพของพระเจ้าเลกซานเดอร์มหาราชด้วย จะเห็นได้จากมีศิลปะผสมระหว่างกรีกและอินเดียอยู่ตามเส้นทางเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นที่คันธาระ ตักสิลาในปากีสถานและอาฟกานิสถาน นอกจากนั้น เส้นทางสายนี้ยังเชื่อมกับทะเลทรายตาลิมากัน ปัจจุบันยังคงเห็นร่องรอยของประชาชนที่อยู่บริเวณนี้เป็นเชื้อชาติผสมระหว่างกรีกและจีน และยังมีศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมอื่นๆ ให้ได้พบอีกด้วย
ประมาณปี ค.ศ.๑๒๐ ชนชาติเผ่าหนึ่งเรียกว่า เผ่าง้วยสี ที่อยู่บริเวณนี้ได้มีอิทธิพลมากขึ้นกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่สร้างความยิ่งใหญ่ในกาลต่อมาโดยตั้งตนเป็นราชวงศ์ขึ้น ชื่อว่าราชวงศ์กุษาณะ หนึ่งในพระราชาแห่งราชวงศ์นี้ ได้แก่ พระเจ้ากนิษกะ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของพระเจ้าอโศกมหาราชองค์ที่สองของอินเดีย เพราะพระองค์ได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและถือเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำราชอาณาจักรของพระองค์ จึงทำให้ในช่วงระยะเวลาที่พระองค์ครองราชย์อยู่นั้นพระพุทธศาสนาได้ขยายจากทางตอนเหนือของอินเดียเข้าไปถึงจีน
ในรัชสมัยของพระเจ้าหมิ่งตี้ พระองค์ได้นำพระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดียเข้ามาสู่ประเทศจีนทั้งทางด้านคัมภีร์และพระภิกษุสงฆ์ ส่วนศิลปะนั้นได้รับอิทธิพลศิลปะแบบคันธาระ จากนั้นพระพุทธศาสนาก็ขยายเข้าไปสู่ประเทศทิเบต ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาขยายไปอย่างเต็มที่ในยุคราชวงศ์เว่ยประมาณคริสศตวรรษที่ ๔-๕ เจ้าเมืองต่างๆ ได้พากันส่งเสริมพระพุทธศาสนา มีการส่งพระธรรมทูตไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียจำนวนมาก ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองตามเส้นทางสายไหม ไม่ว่าพ่อค้า ประชาชน และพระภิกษุสงฆ์ต่างก็สนับสนุนให้มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนากันมากในยุคนี้ โดยเฉพาะเผ่าฮุ่ยฮี (Huihe) ได้รับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชนชาติตามที่ท่านฟาเหียน พระภิกษุผู้จาริกบุญแห่งประจีนได้บันทึกรายละเอียดเอาไว้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในเมืองโขตานและเมืองกาชการ์ ในปีคริสตศักราช ๓๙๙ ว่า “มีการสร้างวัด สร้างสถูป เจดีย์ พุทธศิลป์ ขึ้นจำนวนมากและมีการจัดงานประเพณีทางพระพุทธศาสนาในเมืองนี้ ส่วนมากจะเรียงรายอยู่ตามหน้าผา และถ้ำตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะที่เด่นที่สุดก็ที่ถ้ำตุนหวง”
บนเส้นทางสายไหมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาผ่านไปจนถึงเทือกเขาฮินดูกูฏ ที่เรียกว่า บามิยัน ในอาฟกานิสถาน มีพระพุทธรูปใหญ่ขนาดสูงถึง ๕๕ เมตร ที่เจาะแกะสลักหน้าผา นอกเหนือจากรูปพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายยังมีรูปของการดำเนินชีวิตของคนในช่วงเวลานั้นด้วย ภาพการเฉลิมฉลองประเพณีชาวบ้าน
ประมาณคริสศตวรรษที่ ๗ เมื่อศาสนาอิสลามได้มีบทบาทขึ้นและแผ่ขยายไปสู่ดินแดนต่างๆ บริเวณนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาอิสลามจากมองโกล พระพุทธศาสนาก็ได้รับผลกระทบจากการแผ่ขยายไปของศาสนาอิสลามตามเส้นทางสายไหมจนถึงประเทศอินเดียซึ่งเป็นประเทศแม่ และในที่สุดพระพุทธศาสนาก็หมดไปจากประเทศเหล่านั้น ไม่เว้นแม้แต่ประเทศอินเดีย แต่ก็นับว่าโชคดีที่พระพุทธศาสนาได้เข้าไปเจริญในประเทศทิเบต ซึ่งเป็นประเทศเชื่อมระหว่างประเทศอินเดียกับประเทศจีน หลังจากเส้นทางสายไหมส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยมุสลิม เส้นทางสายไหมก็ถึงการเสื่อมลงอีกทั้งเมื่อมองโกลได้ครอบครองพื้นที่บริเวณแถบทะเลทรายแทบทั้งหมด ก็แทบจะปิดเส้นการเดินทาง ส่วนทางจีนก็มีนโยบายไม่คบค้ากับมองโกลซึ่งเป็นช่วงของกุบไลข่านและราชวงศ์หมิง เส้นทางสายไหมก็ถูกปิดตัวลง การติดต่อระหว่างตะวันออกและตะวันตกก็ปิดตัวลงไปด้วย
นี่คือประวัติศาสตร์การเดินทางของมนุษย์ในยุคที่ผ่านมาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนสินค้า ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม นับตั้งแต่การเริ่มขึ้นของเส้นทางสายไหมจนกระทั่งถึงจุดสูงสุดเมื่อสมัยราชวงศ์ถังจนกระทั่งถึงการล่มสลายไปเมื่อประมาณ ๗๐๐ ปี ก่อนหน้านี้ เส้นทางสายไหมเป็นเส้นทางที่หล่อหลอมความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมสองสาย คือวัฒนธรรมตะวันตกมาสู่ตะวันออก แม้ว่าเส้นทางสายไหมจะไม่ได้มีการใช้อีกต่อไป แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมกับเส้นทางสายไหมมิได้สิ้นสุดตาม เรื่องราว อารยธรรมเหล่านั้นยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

นักจาริกบุญผู้อุทิศตน
เมื่อยิ่งนับวันกิตติศัพท์แห่งพุทธบารมีได้ฟุ้งกระจายแผ่ไปทั่วผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลของประเทศจีน พุทธบริษัททั้งหลายต่างได้รับน้ำอมตรสที่มีผู้นำมาหยาดหยดให้ แม้กระทั่งดินแดนอันห่างไกลเช่นนี้พุทธบารมียังแผ่ซ่านไปถึง ด้วยเหตุนี้ทำไมจึงไม่มีผู้ใดไปดื่มด่ำจากต้นน้ำนั้นเล่า ดังนั้น เหล่านักแสวงบุญจากดินแดนอันไกลโพ้น ได้แก่ประเทศจีน จึงมีนักจาริกบุญออกเดินทางไป ไม่ว่าเส้นทางจะยากเพียงใด ลำบากเพียงไหน อันตรายอย่างไร แต่แรงบันดาลใจที่ต้องการสั่งสมบุญและนำภูมิปัญญานั้นกลับไปสู่บ้านเกิดเมืองนอนของตนนั้นมีมากกว่า แรงบันดาลใจนั้นจึงเป็นพลัง กลายเป็นปณิธานที่จะฝ่าฟันอุปสรรคอันจะมากีดขวางไปได้
(อ่านฉบับเต็มได้จากหนังสือ MBU ACADEMIC PILGRIM : INDIA)

บนเขาสถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ สาวัตถี