วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องสั้น เถระยุคสุดท้าย


มีแต่ต้องยอมรับจังจะทำให้ใจสงบลง
แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างสนิทใจ
คำ..ยอมรับ..
ที่ทำไดโดยไม่เสียน้ำตาเล่า!”
ขึ้นสิบค่ำเดือนสิบ
ดินแดนสารขันธ์กลายเป็นที่รู้จักกันทั่วเพราะมีสถานเริงรมย์ เหลาสุรา
โรงเตี๊ยมและนารี ผู้คนต่างพากันใฝ่ฝันอยากจะได้มาแวะชมสักครั้ง
แต่ผู้คนอดตั้งคำถามในใจตนไม่ได้ว่า
เหลาสุรานารีใยอยู่ใกล้อารามภิกษุยิ่งนัก
ป้ายอารามหมองมัว
แผ่นชื่อเหลาสุราสะดุดตา
น่าอาดูรต่อวิญญูชนอย่างยิ่ง
เสียงดนตรีประโคมดังผ่านช่องหน้าต่างเข้าสู่อารามในยามราตรี
สตรีสูงวัยสองนางกำลังทำความสะอาดเก็บเก้าอี้และโต๊ะอย่างเงียบๆ คล้ายไม่สนใจใยดีต่อเรื่องราวใดๆ
พลันประตูอารามเปิดออก สตรีชราสองนาง เงยหน้ามองว่าเป็นผู้ใด ใช่ว่านางไม่เคยเห็นผู้คนเข้าประตูนี้มา แต่มาเวลานี้นางก็อดดูไม่ได้


[[[[[



หนทางแผ่นศิลาเรียบสายหนึ่ง
สองข้างทางมีร้านค้าแบละเหลารุราเรียงเป็นแนวยาวดูเป็นระเบีรยบ
ผู้คนกำลังเดินไปบนเส้นทางที่มุ่งไปสู่ตึกหลังใหญ่หลังหนึ่ง
เอ้งฮวง เป็นภิกษุหนึ่งท่านหนึ่งที่เข้าไปสู่ห้องบรรยายธรรมที่ตึกใหญ่หลังนั้น
ตัวห้องปูพรมหสีแดงงดงาม บนโต้ะมีเครื่องรับภาพอันทันสมัยทุกตัว
ท่านยังใหม่ในธรรมวินัย นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งพร้อมกับดึงสมุดบันทึกขึ้นมาไว้บนตัก

สตรีนางหนึ่งเดินผ่านไป
กลิ่นน้ำหอมมีราคาปะทะจมูกจนทำให้มันต้องยกมือขึ้นลูกจมูกพร้อมกับเหลือมองด้วยหางตาแวบหนึ่ง
ชุดสีเท่าที่นางสวมใส่เป็นชุดที่ทันสมัยยิ่ง
ในยุคนี้ ตุ้มหูมุกส่องประกายจากติ่งหูทั้งสองข้างของนาง
ทรงผมสั้นเพียงบ่าคล้ายทรงผมสตรีแดนอาทิตย์อุทัย กระโปรงสีครีม่ยามคลุมมาถึงข้อเท้า รองเรท้สีน้ำตาลอ่อนที่รองรับเท้าที่เล็กเรียวดูปราดเปรียว
มันอดนึกชมนางในใจไม่ได้ว่า สตรีนางนี้ดูสง่างามภาคภูมิ
สองมือนางหอบหนังสือชุดหนึ่งแนบอกเดินผ่านไปเบื้องหน้า

ความสง่างามของบุคคลดูได้จากพฤติกรรม
ความสง่างามเกิดจากความเพียร
ความสง่างามเกิดจากความสุขุมคัมภีรภาพ
สง่างามด้วยอาการสงบ
สมาธิเป็นการรวมพลังความสง่างามให้แผ่ซ่านไป…

ในขณะที่มันกำลังปล่อยจิตให้คิดอย่างเป็นอิสระนั้น เอ้งฮวงต้องตกใจเมื่อมันได้ยินเสียงหนึ่งทักขึ้น
เป็นเสียงชายผู้มีอายุท่านหนึ่งยืนอยู่ข้างมันเมื่อไรไม่ทราบ
“ขอโทษ ข้ามารบกวนท่านหรือไม่?”
“หามิได้” มันผายมือไปยังม้านั่งที่ว่าง
“เชิญท่านอาวุโส”
“ข้ามิเคยพบเจ้ามาก่อน มิทราบมาแต่ที่ใด” อาวุโสท่านนั้นถามพร้อมกับแนะนำตนเอง
“ข้าแซ่ลี้ นางเอียงกอ”
“ข้ามาจากลุ่มอิรวดี” เอ้งฮวงตอบตามมารยาทสังคม “ข้าแซ่ซือ นามเอ้งฮวง”
“ท่านมาด้วยธุระใด?”
“ข้าเพียงต้องการทราบข่าวพระเถระท่านหนึ่งที่อยู่ ณ อารามแห่งนี้”
“ท่านรู้จักหรือ?”
“หามิได้”
“หากเจอแล้วจะรู้จักหรือ?”
“หากท่านพระเถระต้องการปกปิด ไหนเลยจะทราบได้”
“ถ้าเช่นนั้นหวังว่า ท่านจะได้พบในเร็ววัน” ผู้อาวุโสแซ่ลี้ให้ความหวัง นัยตาเป็นประกายวูบหนึ่ง
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”

ไม่ว่าผู้ใด ในชีวิตหนึ่งย่องต้องพบกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปรกระทันหันมากมาย
เหตุการณ์เหล่านั้นมีทั้งน่ายินดีและทั้งเลวร้าย มีทั้งน่าปีติหรรษา
มีบ้างที่น้างความท้อแท้รันทดแก่ผู้คน
กระนั้นผู้คนก็ยากยิ่งจะบังคับให้ทุกสิ่งเป็นไปดังที่ผู้คนคาดหวัง
ทุกคนต่างมีปมของตนที่แก้ไม่ตกและไม่อาจแพร่งพราย

ผู้อาวุโสเดินจากไปด้วยท่าทางเฉื่อยชา คล้ายเบื่อหน่ายต่อชีวิตอย่างยิ่ง
เอ้งฮวงลอบคิดในใจ ผู้อาวุโสท่านนี้มาหลายส่วนน่าเลื่อมใส



(อ่านต่อในรวมเรื่องสั้น ปุ๊ซินเนี่ยน)