วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๕)


บทที่สอง
ทุรชน


อาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาลูกหนึ่ง จนกลายเป็นร่มเงาธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ทำให้ความร้อนผ่อนคลายลงบ้าง
ในยามเที่ยงเช่นนี้ประกายแสงอันเจิดจ้าร้อนแรงแผดเผาสรรพสิ่ง ต้นไม้ใบหญ้าไหม้เกรียม

นั่นเป็นความสมดุลแห่งชีวิตเช่นกัน บางครั้งก็สงบเย็น บางครั้งก็เล่าร้อน
บางครั้งก็แทบไม่อยากเชื่อและนึกไม่ถึงว่า
แท้จริงยังมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่หรือ?
เพราะโลกเป็นจริงเช่นนี้จึงมีผู้คนร้องไห้ และผู้คนจึงหัวเราะ

ทินเล่อยากตั้งคำถาม ไฉนดวงอาทิตย์ที่นี่กับดวงอาทิตย์ที่ดินแดนของตนจึงแตกต่างกัน?
ใช่ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันหรือไม่
ใยดวงอาทิตย์ที่ราลโปช่างส่องแสงนุ่มนวล ดุจมีน้ำใจ
สายลมก็เย็นบางครั้งก็เหน็บหนาว แต่ที่นี่กลับรุนแรง
แผดร้อน สาดแสงลงมาคล้ายดั่งต้องการเผาใหญ่ทุกสิ่งบนโลกมอดไหม้เป็นจุณ

ต้นไม้บนภูเขาเตี้ยๆ ก็เป็นเพียงต้นไม้เล็กๆ กระแสลมได้พัดม้วนฝุ่นสีแดงคละคลุ้งกระจายไป
สายลมหอบเอาไอร้อนกระทบใบหน้า ทำให้พลอยเกลียดสายลมที่เคยรักมาแต่เดิม

นี่เป็นดินแดนใด?!
หรือนี่คือ…..ทะเลทราย
เพียงชั่วครู่ที่ได้หลบร้อนอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งภูเขา ช่วงเวลาเช่นนี้มักผ่านไปรวดเร็ว
ไม่นานดวงอาทิตย์โผล่ออกมาเยือนมันอีก คล้ายดั่งสาดส่องเพื่อมันเพียงผู้เดียว
ผู้คนมักเป็นเช่นนี้ ในยามประสบทุกข์
หรือได้รับหายนะมักคาดคิดว่า ไม่มีผู้ใดเลวร้ายกว่าตนอีกแล้ว
ชายร่างกายกำยำสามคนกำลังมุ่งตรงมาที่มันยืนอยู่ ร่างกายพวกมันทำจากเหล็กกล้าหรือไร?
แสงอาทิตย์ไม่อาจทำอะไรพวกมันได้?
ท่าทีที่พวกมันมาคล้ายดั่งหนีบางสิ่งมา
“เจ้าจะไปในหมู่บ้านหรือ?” ชายผู้หนึ่ง นุ่งเพียงผ้าผืนเปราะเปื้อนฝุ่นผืนหนึ่ง เอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ใช่” มันตอบอย่างไม่แน่ใจนักว่า ชายผู้นี้มีจุดประสงค์ใด
“ข้าเพียงอยากได้อาหาร อยากได้น้ำดื่ม และอยากอาศัยร่มเงาพักผ่อนเท่านั้น”
“ไม่ว่าเจ้าจะมีจุดประสงค์ใด พวกเราขอบอกเจ้าว่า อย่าได้ไปดีกว่า ไปกับพวกเราเถอะ”
“ทำไมเราต้องไปกับพวกท่าน”
“เพราะนี่คือ ทางรอด”
“ทางรอดใด?” มันยิ่งสงสัยมากขึ้น
“ภายในหมู่บ้านถูกพวกทหารมองโกลทำลายไปแล้ว พวกมันต้อนผู้คนไปทำงานในค่าย
พวกมันกำลังจะทำสงครามกับเมืองปุรุสปุระ”
“ทำไมท่านจึงหนีมาได้”
“เพราะพวกเราไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน” ชายอีกคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ คล้ายการจากมาของมันเป็นความผิดฉะนั้น
“แล้วผู้อื่นเล่า!”
“เจ้าอย่าได้ถามเลย” ชายอีกคนหนึ่งชิงตอบขึ้น “ขอเตือนเจ้าอย่าได้ไปเท่านั้น”
“ขอบคุณในความหวังดีของพวกท่าน” ทินเล่ กล่าวขอบคุณพวกมัน พร้อมทั้งให้เหตุผล “ข้าไม่ใช่พวกทหาร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ข้าต้องการเดินทางไปสู่วิกรมศิลา คงไม่เป็นไร พวกท่านไปเถอะ”
“เจ้าประเมินผู้อื่นเป็นวิญญูชนเกินไป” กล่าวเสร็จพวกมันจึงหลีกไปโดยเร็ว “อย่าได้บอกว่าเจอพวกเราละ”
“การประผู้อื่นเป็นวิญญูชนมีที่ใดไม่ดี?” ทินเล่ไม่ทันกล่าวคำนี้ออกไป แต่มันก็คิดไม่ออกว่า การมองผู้อื่นในแง่ดีนั้นไม่ดีตรงไหน




วิญญูชน มักประเมินผู้อื่นมีจิตใจงดงามเช่นตน
หารู้ไม่ว่ายังมีคนที่ตนคาดคิดไม่ถึงอีกมากนัก
ด้วยเหตุนี้วิญญูชน มักถูกทำร้ายอยู่เสมอ


ดวงอาทิตย์ลดความรุนแรงลงแล้ว
มันยิ่งไม่เข้าใจว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น

ความอยากรู้เป็นพลังขับเคลื่อนประการหนึ่ง
ยิ่งอยากรู้ก็ยิ่งไคว่คว้าแสวงหา
เป็นเหตุให้คลายความเหนื่อยล้าได้
บ้านเรือนไร้ผู้คน ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือบางหลังยังมีควันไฟครุกรุ่นเผาไหม้
กลิ่นควันไฟคล้ายเผาสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างจนทำให้อยากอาเจียน
ชายชราผู้หนึ่งนั่งเงียบซึมอยู่ข้างเกวียนคร่ำคร่า
ดวงตาทั้งสองของเขาขุ่นมัวไม่ทราบว่าเคยเห็นสิ่งใดหรือไม่
ไม่ทราบว่าดวงตาคู่นั้นสูญเสียน้ำตาไปมากเท่าใด?
ริมฝีปากมีรอยช้ำเพราะถูกฟันกัดแน่นคราหนึ่ง เสียงบ่นพึมพำไม่ได้ความดังแผ่วเบาไม่ได้ศัพท์
เสียงเคาะไม้เป็นจังหวะดังมาพร้อมกับเสียงหนึ่ง

ซ่างซัว ชายแดนกันดาร
เงียบสงบไร้ผู้รุกราน
ครอบครัวเป็นสุขสำราญ
บัดนี้…ถูกเผาผลาญย่ำยี
โอ…ฟ้าไหนว่าเมตตายุติธรรม
กรรมดีย่อมได้ดีน้อมนำ
ใยต้องให้ข้าทนทุกข์ จมอยู่ในความจำ
เสาเรือนซ่างซัว เป็นแต่ซากผงธุลี เอย….


ทินเล่ไม่ทราบเป็นผู้ใดคร่ำครวญ แต่เพียงทราบว่า
เสียงขับขานนั้นเศร้าจับใจ
เสียงขับขานนั้นมาจากจิตใจทุกข์ทนยิ่งแล้ว

เป็นความจริงยิ่ง บทกวีที่งดงามไพเราะ
ไม่ทราบแลกมาด้วยน้ำตาเท่าใด

(อ่านต่อตอนต่อไป)

