วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๑๒)



บทที่สาม
พลังพิสดาร

อาทิตย์บ่ายคล้อยแล้ว
ทินเล่ทุ่มเทพลังแกะสลักรูปพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ยิ่งรูปสลักใกล้เสร็จสมบูรณ์มากเท่าไหร่
มันก็ยิ่งภาคภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น
ความภาคภูมิใจเป็นเสมือนสิ่งมีค่าบางอย่างที่ไม่อาจตีเป็นราคาได้แต่ทราบว่ามันยิ่งใหญ่

“อืม!!” คำรำพึงสั้นๆ ที่บ่งบอกความหมายมากมายดังขึ้นข้างหลังมัน

สิ้นสุดเสียง ทินเล่หันไปทำความเคารพเจ้าของเสียง เป็นท่านเจ้าอาวาสนั่นเอง
ท่านยืนเอามือไพล่หลัง ดูมั่นคงสง่ายิ่งนัก

สายตาของท่านยังไม่ละจากรูปแกะสลัก
แววตานั้นบ่งบอกถึงความเคารพนับถือหลายส่วน พลันกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าพึงพอใจ
“หกเดือน…เป็นหกเดือนที่เนิ่นนานยิ่ง”
ทินเล่กลับถอนหายใจยาวๆ
“ช่างเป็นช่วงเวลารวดเร็วเกินไปจริงๆ”
ที่แท้กาลเวลา เนิ่นนานหรือรวดเร็วกันแน่?!

กับผู้หนึ่งที่รีบเร่งกระทำในเรื่องที่พึงกระทำ
ช่างไม่มีเวลาเหลือให้เลย
“กลับไปทานข้าวเถอะ”
ท่านเจ้าอาวาสมาถึงที่นี่เพียงเพื่อมาบอกมันแค่นี้?
ทินเล่สงบฟังคำกล่าวต่อไปและท่านเจ้าอาวาสก็กล่าวแล้วจริงๆ
“ถึงเวลาที่เจ้าจะได้ฝึกฝนขั้นต่อไป”
ทินเล่มองตามท่านเจ้าอาวาสที่เดินจากไป
มันคล้ายมีวาจาจะกล่าวแต่แล้วทุกถ้อยคำก็สลายไปในห้องสมองที่ว่างเปล่า

[[[[[


ยืนบนเส้นทางโบราณ
ซาบซึ้งในเสียงพิณ
ใหม่เก่าบอกเล่าตำนาน
ใครเล่าจะได้ยิน
ได้พบดั่งเป็นวาสนา
กลัวฝันมลายสิ้น
เราเป็นเพียงคนธรรมดา
คงเศร้าในชีวิน..
เสียงเพลงดังผ่านแนวไผ่ที่มีสีเหลือง
ใบไผ่ที่ใกล้จะร่วงหล่นจนหมดต้น

ใบไผ่ที่ร่วงหล่นเฉกเช่นวิถีชีวิตคน
ชีวิตคนแล้วคนเล่าที่ร่วงหล่นไป!



เสียงเพลงดังมาจากเรือนท้ายสุดแนวไผ่อีกด้านหนึ่งของอาราม
เป็นเสียงขับขานของสตรีนางหนึ่ง
ผู้ฟังแม้ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดขับขาน
แต่ก็รู้สึกเข้าใจในบทเพลงของนาง

บทเพลง พระจันทร์ ความรัก ไม่เคยล้าสมัย
บทเพลงยิ่งไพเราะซาบซึ้ง ความรักยิ่งล้ำลึก
คงมีแต่ผู้เคยมีความรักเท่านั้นจึงเข้าใจประโยคนี้แจ่มแจ้ง
เฉกเช่นคำกล่าว
“โศกนาฏกรรมที่เกิดกับตนเท่านั้น จึงเป็นโศกนาฏกรรมที่แท้จริง”

นางขับเพลงบรรเลงพิณหาใช่เพื่อผู้ใด แต่กลับเพื่อตัวนางเอง
บางครั้งบทเพลงคือ
ทางระบายความอัดอั้นตันใจประการหนึ่งของผู้คน
หากโลกนี้ไร้เสียงเพลง คาดว่ามนุษยชาติคงมีชีวิตสั้นกว่านี้

เสียงเท้าเหยียบใบไม้ดังขึ้น
เสียงขับขานบทเพลงพลันหยุดลง
เป็นผู้ใดเข้ามา?
เป็นผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มผู้หนึ่ง
แต่เสื้อที่มันสวมใส่กลับเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงและคราบไคล
เรื่องที่น่าปีติยินดี มีแต่บุคคลที่ท่านรักเท่านั้นจึงควรได้ฟังเป็นบุคคลแรก
ทินเล่ไม่ยอมไปทานอาหาร แต่มันกลับมาบอกนาง
หรือบัดนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว?

หอน้อยที่ปลูกซ่อนอยู่ในสวนเบญจมาศขาว
ช่างเป็นสถานที่เหมาะสมกับสตรีที่งามสะคราญโดยแท้
แต่ไม่ใช่นาง เพราะนางเองก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของตนเป็นเช่นไร
นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาคนหนึ่ง
เป็นสตรีที่อยู่ในโลกมืดตลอดกาลผู้หนึ่ง
ผู้อยู่ในโลกมืดมาตั้งแต่กำเนิดไหนเลยทราบความหมายของความงดงามได้
บางครั้งดูเหมือนฟ้าจะไม่ยุติธรรมเสียเลยจริงๆ
มธุวรรษณี เป็นชื่อที่มารดาของนางตั้งให้ก่อนที่นางจะจากธิดาของตนไป
เมื่อธิดาน้อยอายุได้เพียงหกปี
เป็นเวลาสิบสองปีแล้วที่มธุวรรษณีอยู่กับบิดา
มีแต่บิดาที่ยังเป็นความหวัง
เป็นที่พึ่งที่ทำให้นางไม่รู้สึกเดียวดาย
และไม่รู้สึกว่าชะตาของตนโหดร้ายรันทดเกินไป


เบญจมาศในยามนี้กำลังเบ่งบาน
สายลมพัดเรี่ยยอดและดอกเบาๆ ทำให้ดอกใบเคลื่อนไหวไม่รุนแรง
เบญจมาศแกว่งไกว ใช่ดุจดังจิตใจของผู้คนที่กำลังเปลี่ยนไปหรือไม่?

จิตใจของผู้คนใยมิใช่คล้ายสายลมที่ยากจะคาดคะเนว่ามันจะพัดมาเมื่อใด
และขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าสายลมจากไปเมื่อใด

ผู้ยึดถือสายลมเป็นของตนน่ากลัวจะต้องทำใจตนให้เข้มแข็งอย่างยิ่ง

สายลมกับจิตใจของบุรุษสตรีที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
ยิ่งคล้ายสายลมที่กำลังปั่นป่วน
ไหนเลยผู้อยู่ในสายลมจะไม่หวั่นไหวได้

มธุวรรษณีบัดนี้นางเป็นสตรีผู้มีความสมบูรณ์ด้วยวัยและร่างกายทุกสัดส่วน
นางอดไม่ได้ที่จะถามใจตนเองว่า
ที่แท้นี่เป็นความรู้สึกใด? นี่มีความหมายใด?
นางถามตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
แน่นอน..นางย่อมตอบไม่ได้ เพราะแม้แต่นางเองก็ไม่อยากเชื่อว่า
นางมีจิตผูกพันกับบุรุษหนุ่มที่มาอาศัยเรือนของบิดาของนางแล้ว

“ความรัก” เป็นพลังพิสดาร
บางครั้งแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่ทราบว่ามันเข้ามาเยือนตั้งแต่เมื่อใด
หนึ่งเดียวที่นางตักเตือนตนเองเสมอว่า ไหนเลยเราคู่ควร เพราะเรา…
คำว่า ตาบอด แม้นางเองก็ไม่อยากเอ่ยออกมา
หากแต่ดวงตาของนางเท่านั้นที่บอด
หาใช่ดวงใจไม่ ดวงใจของนางกลับลุกโชน สว่างไสว
เรียกร้องถึงความต้องการบางประการ
มันคือ สัญชาตญาณที่ดึกดำบรรพ์ที่สุดเท่าที่มนุษยชาติมีมา
“ท่านอยู่ที่นี่ตลอดไปได้หรือไม่”
เนิ่นนานเท่าใด? กล้าหาญเพียงไหน? กว่าที่นางจะกล่าวประโยคนี้ออกมา
“ความหมายในเสียงขับขานของแม่นางน้อยน่าฟังอย่างยิ่ง”
ใช่เป็นคำตอบของมันหรือไม่ หรือนั่นเป็นคำตอบแล้ว?

“ข้าพเจ้าเข้าใจ แท้จริงไม่ควรถาม คำถามเช่นนั้นกับท่าน”

ในถ้อยคำของนางไหนเลยฟังเป็นถ้อยคำได้ ไม่ทราบทินเล่ฟังอยู่หรือไม่?
เป็นความโชคดีหรือโชคร้ายของนางที่ไม่เห็นความรู้สึกบนใบหน้าของผู้ที่นางสนทนาด้วย
ทินเล่ มันเล่า? ไม่ทราบตนเองจะทำเช่นไรในขณะนี้จึงควร


ถ้านางเป็นสตรีที่งดงามดังปกติคนหนึ่ง
มันคงผละไปจากที่นั่นง่ายดายกว่านี้
แต่เพราะนางตาบอดนี่เองทำให้มันตอบตนเองไม่ถูก

สิ่งที่มันกังวลตอนนี้หาใช่ใจของมัน แต่กลับเป็นความรู้สึกของนาง

กับผู้กล้าที่เข้มแข็งบางคน
กระทั่งกระบี่นับหมื่นนับพันในสนามรบ
มันหาได้เกรงกลัวไม่
แต่ไฉน มันกลับเกรงกลัว
ต่อความรู้สึกของสตรีเล็ก ๆ เพียงผู้หนึ่ง
กระทั่งถ้อยคำมันก็ไม่กล้าให้กระทบกระเทือนความรู้สึกนางแม้แต่น้อย
เนื่องเพราะมนุษย์มีความรู้สึกนี้เอง ทำให้มนุษย์จึงมีส่วนที่งดงามอยู่บ้าง
มีบ้างบางคนเนื่องเพราะความสงสารที่ล้ำลึกจึงกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้ง
เพราะแท้จริง ความสงสารก็เป็นต้นตอหนึ่งของความรัก
ในที่สุด มันจับมือที่บอบบางขาวสะอาดดุจดังเบญมาศขึ้นมาประคองไว้
พร้อมกับบีบกระชับแน่นๆ คราหนึ่ง ถ้อยคำใดล้วนไม่สำคัญ
บางเวลายิ่งไม่เอ่ยวาจา
กลับแทนความหมายร้อยคำ หมื่นวจี

เฉกเช่น ความรักที่ยิ่งสารภาพออกไป
ความรักก็ยิ่งสลายไป
ความรักที่เก็บไว้จนไม่มีถ้อยคำบรรยาย
จึงเป็นความรักที่ทรงคุณค่าอันสูงส่ง
เป็นรักนิรันดร ประตูแห่งดวงใจเปิดรับสัมผัสนั้นแล้ว
เบญจมาศในยามเย็นมากเช่นนี้
บางดอกน้อมก้านลง มิทราบนั่นเป็นการแสดงความยินดี
เป็นการอำลาตะวัน หรือมีความหมายอื่นแอบแฝง!!