วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2563

“จากวงจรชีวิตหนูสู่โควิด-19” (Rat Life Cycle – COVID-19)


โลกทัศนะสถานการณ์โลกมนุษย์
“จากวงจรชีวิตหนูสู่โควิด-19 (Rat Life Cycle – COVID-19)

รศ.ดร.สุวิญ  รักสัตย์

         สืบเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสบุกโลกปัจจุบัน ทำให้นึกย้อนถึงเหตุการณ์ใส่หน้ากากเข้าหากันเมื่อไวรัสซาร์ส (SARS-CoV) ระบาดในปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๖ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกกว่า ๖๐๐ คน ต่อมาไวรัสเมอร์ส (MERS-CoV) ระบาดในปี พ.ศ.๒๕๕๕ และ ปี พ.ศ.๒๕๕๘ ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตเกือบ ๙๐๐ คน บัดนี้โคโรน่าไวรัส หรือ coronavirus (CoV) หรือ COVID-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในช่วงนี้ นับเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งคาดกันว่าแม้จะมีความรุนแรงไม่เท่าสายพันธุ์ก่อนๆ และเชื้อไวรัสสามารถพัฒนาตัวเองจนมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ยังไม่สามารถระบุว่าจะมีการเสียชีวิตไปอีกเท่าไร ขณะที่เขียนนี้เป็นวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ มีสถิติพุ่งขึ้นจำนวนมากและทวีคูณในบางประเทศ นำมาแสดงเฉพาะ ๕ ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากและ ๔ ประเทศสุดท้ายที่มีผู้ติดเชื้อน้อย ดังนี้ 

         จากการสังเกตวงจรไวรัสที่ผ่านมา พบว่า เกิดห่างกันเฉลี่ยเพียง ๘-๑๐ ปี เท่านั้น แสดงถึงการเกิดขึ้นถี่มาก การเกิดขึ้นแต่ละครั้งที่ผ่านมาได้คร่าชีวิตคนไปหลักร้อยถึงหลักพันคน และยังไม่รวมถึงผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่คนล้มละลาย ฆ่าตัวตาย เป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้าอันเนื่องมาจากไวรัสก็คงน่าจะคร่าชีวิตถึงหลักหมื่นคน  สำหรับในครั้งนี้ดูจากสภาพสถานการณ์แล้ว นับว่าหนักหนาสาหัสมากเท่าที่เคยได้พบมา ผลจากการระบาดของเชื้อไวรัสกระทบเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้สนามบินสุวรรณภูมิแทบจะร้าง นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไม่เคยนึกว่าจะเห็นภาพแบบนี้ครับ”


ภาพประกอบ : Thai PBS ข่าวไทยพีบีเอส วันจันทร์ที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓

เมื่อภาพแห่งการใส่หน้ากากเข้าหากันปรากฏอีกครั้ง ภาพแห่งการประกาศปิดสถานประกอบการและสถานที่ทำงานในประเทศได้เกิดขึ้น จนไปถึงการปิดประเทศ ทำให้ความคิด ๓ เรื่อง กลับมากระตุ้นเตือนชัดเจนขึ้นอีกรอบ
๑. วงจรชีวิตหนูน่าจะเป็นจริง
๒. การดำเนินชีวิตของผู้คนจะต้องเปลี่ยนไป
๓. ต้องใช้หุ่นทำงานแทน

วงจรชีวิตหนู (Rat Life Cycle)
ครั้งหนึ่งได้ดูสารคดี “วงจรชีวิตหนู” เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นกับชีวิตหนู ดังนี้
ระยะที่ ๑ เมื่อนำหนูไปอยู่ในอาณาจักรที่มีระบบนิเวศที่เหมาะสมกับจำนวนหนู พวกหนูจะอยู่กันด้วยความสงบสุข
ระยะที่ ๒ เมื่อหนูแพร่พันธุ์มากขึ้น พวกหนูจะกัดกันเองจนตายประปราย
ระยะที่ ๓ เมื่อประชากรหนูมีมากขึ้นอีก พวกหนูจะยกพวกกัดกันบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากขึ้น
ระยะที่ ๔ เมื่อประชากรหนูยังไม่ลดลง ระบบนิเวศหนูเสียหาย ห่วงโซ่ชีวิตขาดสมดุล ก็เกิดโรคระบาดขึ้น พวกหนูบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
ระยะที่ ๕ เมื่อประชากรหนูยังไม่ลด พวกหนูต่างพากันไปกระโดดหน้าผาตาย ประชากรหนูลดลงเป็นจำนวนมากอีกครั้ง และพวกหนูก็อยู่กันอย่างสงบสุขอีกครา
เมื่อได้ดูสารคดีนั้น ก็นึกถึงวงจรชีวิตมนุษย์บนโลก มนุษย์มักอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขเมื่อมีประชากรเหมาะสมกับระบบนิเวศ มนุษย์เริ่มทำร้ายและทำลายกันมากขึ้นเมื่อมีประชากรเพิ่มขึ้น นับแต่ประวัติศาสตร์ที่เคยมีมนุษย์มา สังคมมนุษย์ก็ไม่เคยหมดการทำร้ายและทำลายกัน ที่รุนแรงมากขึ้น ก็คือ มนุษย์ยกกลุ่มฆ่ากันที่เรียกว่า “สงคราม” นับตั้งแต่สงครามกรุงลงกา พระรามกับทศกัณฐ์ สงครามทุ่งกุรุเกษตร ตระกูลเการพและปาณฑพ สงครามเมืองทรอยระหว่างชาวอะคีอันส์ (ชาวกรีก) กับชาวกรุงทรอย มาจนถึงสงครามศาสนา สงครามชาวมองโกล สงครามไทย-พม่า สงครามฯ อื่น ๆ เป็นต้น ที่รุนแรงมากก็เรียกว่า “สงครามโลก” ที่ผ่านมา มีสงครามโลกแล้ว ๒ ครั้ง สงครามโลกครั้งที่ ๑ (World War 1) เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๗-๒๔๖๑ (ค.ศ.๑๙๑๔-๑๙๑๘) ต่อมาผ่านไปเพียง ๒๑ ปี สงครามโลกครั้งที่ ๒ (World War 2) ก็เกิดขึ้นอีก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒-๒๔๘๙ (ค.ศ.๑๙๓๙-๑๙๔๕) บัดนี้ห่างจากสงครามครั้งที่ ๒ มาแล้ว ๗๔ ปี ดูเหมือนมีสงครามย่อย ๆ ก็มีมากพอสมควร ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็สื่อให้เห็นวงจรชีวิตมนุษย์ไม่ต่างอะไรจากวงจรชีวิตหนู หลายคนก็เกรงว่า สงครามโลกครั้งที่ ๓ จะเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาสาเหตุโดยรวมของสงครามทั้งหลายก็พบว่า เกิดจาก “แย่งอาหารกันกน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันพิสวาส แย่งอำนาจกันครอง”

ภาพสงครามโลกครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒
  
บัดนี้เข้าสู่ระยะโรคระบาด โรคระบาดแต่ละครั้งได้คร่าชีวิตของมนุษย์ไปเป็นจำนวนมากนับกาลเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคที่การผลิตวัคซีนรักษายังไม่ทันสมัย จนกระทั่งมาถึงโลกยุคปัจจุบันที่วงการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก แต่การผลิตวัคซีนก็ยังไม่สามารถทำได้ทันกับการระบาดของโรค มีการเก็บสถิติไว้ว่า ทุก ๑๐๐ ปี จะมีการระบาดใหญ่ ๑ ครั้ง พ.ศ.๒๒๖๓ กาฬโรค คนตายทั่วโลกประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน พ.ศ.๒๓๖๓ อหิวาตกโรค มีคนเสียชีวิตประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน พ.ศ.๒๔๖๓ ไข้หวัดใหญ่ มีคนเสียชีวิตประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน และ ๒๕๖๓ โคโรน่า (COVID-19) ข้อมูล ณ วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๓ จำนวนสถิติผู้ป่วยโควิด-19 สะสมทั่วโลก ๒๗๘,๕๕๗ คน สถิติผู้เสียชีวิตไปแล้ว ๑๑,๕๕๔ ราย (สถิติกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข)
  
ภาพประกอบ : กาฬโรคและอหิวาตกโรค
เมื่อดูจากวงจรชีวิตหนู ก็เหลือแต่การฆ่าตัวตายหมู่ที่ยังไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีการชวนกันฆ่าตัวตายของลัทธิบางลัทธิอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่มีมาก จะมีก็แต่การฆ่าตัวตายเดี่ยวที่เริ่มมีสถิติมากขึ้นทั่วโลก จากรายงานการจัดอันดับประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลกประจำปี พ.ศ.๒๕๖๒ (ค.ศ.๒๐๑๙) โดย World Population Review ที่สำรวจและพิจารณาข้อมูลการฆ่าตัวตายขององค์การอนามัยโลกในปีที่ผ่านมา พบว่าลิทัวเนียเป็นประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลกอยู่ที่ ๓๑.๙ คนต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน จาก ๑๘๓ ประเทศทั่วโลก ญี่ปุ่นอยู่อันดับที่ ๑๔ คือ ๑๘.๕ สำหรับไทยอยู่อันดับที่ ๓๒ คือ ๑๔.๔ (ข้อมูลจาก The Standard Stand up for the people) การที่จะเข้าสู่ยุคแห่งการตัดสินใจตายหมู่หรือไม่นั้น ไม่อาจบอกได้ แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาของวงจรชีวิตหนูบอกไว้ก็มีความเป็นจริงอยู่มาก มนุษย์จะต่างไปจากหนูหรือเปล่าก็อยู่ที่สติปัญญาหรือจะปล่อยให้ยีนส์กระตุ้นเตือนให้กระทำ


ภาพประกอบ : สถิติการฆ่าตัวตาย (google.co.th/search?q=สถิติการฆ่าตัวตาย)

การดำเนินชีวิตจะต้องเปลี่ยนไป
ในครั้งนั้นเมื่อเหตุการณ์โรคซาร์สเกิดขึ้น ทุกคนสวมใส่หน้ากากกัน แต่ก็ไม่ถึงกับหน้ากากอนามัยขาดแคลน ไม่ถึงกับกักตุนและหารายได้จากหน้ากาก ภาพที่ทุกคนใส่หน้ากากเป็นเหมือนมนุษย์ต่างดาว เหมือนกับคนที่ต้องเผชิญอยู่กับความไม่ปลอดภัยอันเกิดจากเชื้อโรคที่สามารถติดต่อกันทางอากาศ คนและสัตว์ สุดท้ายภาพนั้นก็เลือนหายไปภายในระยะเวลาประมาณ ๖ เดือน จากเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๖ - เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗ บทเรียนครั้งนั้นไม่มีอะไรมาก เพียงแต่รู้สึกตื่นกลัวกันบ้างเท่านั้น แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า (COVID 19) ในครั้งนี้กระทบไปทั่วโลก ภาพการปิดเมือง ปิดประเทศ ปิดสถานบันเทิง สถาบันการศึกษา และสถานที่ที่คิดว่าเชื้อไวรัสจะแพร่ไปได้ ก็เกิดขึ้นจริง
บทเรียนจากการรับมือเชื้อไวรัสเช่นนี้จะต้องเกิดขึ้น เพราะจากสถิติคือ มีไวรัสเกิดขึ้นทุก ๑๐ ปี ในช่วง ๓๐ ปีมานี้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจครั้งนี้มีมหาศาลจริง ๆ ตัวอย่างได้ถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่มีการสร้างเขตกักกันไวรัส บัดนี้มีขึ้นจริงๆ แต่เป็นการกักกันตนเองไม่ให้เคลื่อนที่ไปไหน ภาพของการปิดเมือง หรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเป็นวิธีจัดการกับไวรัสที่ดีที่สุด จีนสั่งปิดเมืองอู๋ฮั่น มาเลเซียปิดประเทศในแถบภูมิภาคนี้เป็นประเทศแรก ไต้หวันก็ปิดประเทศ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก็สั่งปิดประเทศ นี่คือบทเรียนที่ต้องศึกษาเรียนรู้กันอย่างจริงจัง การดำเนินชีวิตหลังจากสถานการณ์กลับมาเป็นปกติคงต้องมีการคิดทบทวนกันใหม่ ทั้งระบบ

ภาพเมืองอู๋ฮั่น และมาเลเซีย หลังจากถูกปิด

ต้องใช้หุ่นทำงานแทน
         ภาพของโลก ที่ทุกคนจะอยู่กันแต่ในบ้าน ส่วนนอกบ้านนั้นให้หุ่นทำแทนใกล้ความเป็นจริงแล้ว ภาพยนตร์ชุด Surrogate คือ หุ่นตัวแทนร่างจริงกำลังเกิดขึ้นจริง สาเหตุเพราะฝุ่นละอองพิษ อากาศเป็นพิษ ไวรัสร้าย กำลังคุกคามชีวิตมนุษย์มากขึ้น ขณะนี้วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ กรมควบคุมมลพิษประกาศว่า คุณภาพอากาศบริเวณ ๕ อำเภอในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะที่อำเภอเมือง อำเภอแม่สาย พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน (PM2.5) มีค่า ๒๐๓ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (µg/m3) อยู่ในเกณฑ์มีผลกระทบต่อสุขภาพ ปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๑๐ ไมครอน (PM10) มีค่า ๒๔๒ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (µg/m3) อยู่ในเกณฑ์มีผลกระทบต่อสุขภาพ แสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ภัยอันตรายจากไวรัสเท่านั้น สภาพอากาศก็มีความผันแปรเลวร้ายมากขึ้น
          ผลกระทบอันเกิดจากไวรัสและสภาพอากาศอันเป็นพิษทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันต้องใช้งบประมาณไปกับการดูแลรักษาสุขภาพของคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสภาพที่เป็นพิษนี้มากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องหาวิธีแก้ไข หนึ่งในวิธีก็คือ ก็แต่ในบ้าน นอกบ้านให้หุ่นยนต์ทำงาน
  
ภาพประกอบ : หุ่นยนต์ทำงานร่วมกับคน และ การให้หุ่นทำงานนอกบ้าน

          โลกยุค 5G จะช่วยให้การจัดการกับการดำรงชีวิตของมนุษย์มีลักษณะเปลี่ยนไป พฤติกรรมมนุษย์ก็จะเปลี่ยนไป เพราะไม่ว่าการประชุม การส่งข้อมูล การศึกษาเล่าเรียน ระบบการขนส่ง และอีกจำนวนมาก เทคโนโลยี AI และ VR จะเข้ามามีบทบาทแทนบทบาทที่มนุษย์เคยทำอยู่มากยิ่งขึ้น มนุษย์ก็จะทำงานในบ้านที่ปลอดภัย งานต่าง ๆ จะส่งผ่านเครื่องมือทางเทคโนโลยีแทน หลายมหาวิทยาลัยกำลังฝึกให้บุคลากรทางการศึกษาใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีมาเพื่อการศึกษาอย่างจริงจัง ต่อไปการศึกษาก็จะไม่ต้องใช้พื้นที่นับเป็นร้อย เป็นพันไร่ ในการสร้างอาคารสถานที่ แต่จะสร้างอาคารสำหรับเป็นศูนย์เทคโนโลยีเชื่อมผ่านเครื่องมือสื่อสารแทน ไม่ว่าจะเป็น Hologram, VR – AI - AR จะได้รับการนำมาเป็นเครื่องมือการศึกษาสำหรับโลกอนาคต ชีวิตแบบ 5 – 6 G กำลังเข้ามาปรับพฤติกรรมของทุกคน
  
          ภาพประกอบ : การ Debate ผ่าน Hologram Technology
intelligence.businesseventsthailand.com/en/blog/future-meeting-in-thailand

         ความคิด ๓ เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน กลับเข้ามาอีกครั้ง และภาพแห่งความเป็นจริงของโลกยุคเปลี่ยนแปลงฉับพลัน (Disruptive Age) เกิดขึ้นในขณะนี้ นี่คือจุดเปลี่ยน (Turning Point) ของโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง

ความตายกับโรคภัยของมนุษย์
         สถานการณ์ภัยธรรมชาติพิบัติก็ดี โรคระบาดก็ดี สถานการณ์โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องก็ดี โรคร้ายประจำโลก เช่น มะเร็ง หัวใจ ความดัน เบาหวาน วัณโรค ปอด ไต เป็นต้นก็ดี อุบัติเหตุประจำฤดูกาลก็ดี ยังไม่ต้องพูดถึงการทำร้าย ทำลายให้บาดเจ็บล้มตายด้วยวิธีการต่าง ๆ ของมนุษย์ด้วยกันเอง ล้วนแล้วแต่คร่าชีวิตของมนุษย์ไปจำนวนมากในแต่ละปี แต่มนุษย์ไม่เคยให้ความสนใจกับการบาดเจ็บล้มตายกับเหตุการณ์การเสียชีวิตที่ผ่านมา เหมือนกับว่า เป็นเรื่องรับได้ ปกติธรรมดา ทั้งที่เมื่อนับชีวิตที่ต้องเสียชีวิตไปกับโรคภัยดังกล่าวจำนวนมากกว่าไวรัสที่กำลังเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
          
          ภาพประกอบ : สถิติคนตายด้วยโรคมะเร็งเฉพาะในประเทศไทย
ยกตัวอย่าง เฉพาะสองโรคสำคัญ คือ โรคมะเร็งและโรคหัวใจ จากรายงานขององค์กรระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง หรือ IARC ขององค์การอนามัยโลก พบว่า สถานการณ์มะเร็งทั่วโลกในปี พ.ศ.๒๕๖๓ คาดว่า มีจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งมากกว่า ๑๘ ล้านคน และมีผู้ป่วยใหม่ประมาณ ๙ ล้านคนในทุกๆ ปีและจะมีคนตายด้วยโรคมะเร็งมากกว่า ๑๑ ล้านคน และจะเกิดขึ้นในประเทศที่กำลังพัฒนามากกว่า ๗ ล้านคน สำหรับประเทศไทยพบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่วันละ ๓๓๖ คน หรือ ๑๒๒,๗๕๗ คนต่อปี เสียชีวิตวันละ ๒๑๕ คน หรือ ๗๘,๕๔๐ คนต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ ๘ ราย (ที่มา : ฝ่ายแผนงานและสถิติ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute) ส่วนโรคหัวใจจากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี ๒๕๕๙ พบทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจปีละประมาณ ๕๗ ล้านคน สำหรับประเทศไทยในปี ๒๕๖๐ พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือดถึง ๒๐,๗๔๖ คน เฉลี่ยเสียชีวิตวันละ ๕๗ คน
เมื่อพิจารณาจากสถิติดังกล่าว เพียงแค่ ๒ โรคสำคัญ ก็ทำให้คนเสียชีวิตไปทั่วโลกเกือบร้อยล้านคนต่อปี แต่ทำไมคนจึงไม่ได้ตื่นกลัว อาจเป็นเพราะโรคมะเร็งและโรคหัวใจไม่ใช่โรคระบาดจึงทำให้มนุษย์ไม่กลัว แต่หากมองในแง่เป็นสาเหตุทำให้คนตายมากจัดเป็นโรคระบาดในอีกความหมายหนึ่งได้เช่นกัน ตัวเลขดังกล่าวไม่น่าจะธรรมดา เหตุใดมนุษย์ไม่พยายามหาวิธีรักษา หรืออาจเป็นเพราะว่า นี่คือมหันตภัยเงียบที่ทำให้มนุษย์ตายโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น โลกจึงไม่ให้ความสนใจ ไม่พยายามร่วมกันระดมสรรพกำลังในการหาวิธีการรับมือกับโรคร้ายเช่นนี้ เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันว่า เพราะเหตุใด สันนิษฐานได้ประการหนึ่งก็คือ มนุษย์ได้สูญเสียความรู้สึกที่มีต่อความตายของมนุษย์ด้วยกันไปแล้ว คงมีแต่ภัยอันเกิดจากไวรัสนี่แหละที่ทำให้มนุษย์วิตกกังวลร่วมกันได้ถึงขั้นนี้บ้าง

สาเหตุ? ฝากไว้ให้คิด
         หายนะหลายครั้งต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติภัย โรคภัย หรือมนุษยภัย ล้วนมีที่มาทั้งสิ้น ไม่มีคำว่า บังเอิญ สาเหตุหลายอย่างเกินที่สายตามนุษย์จะสามารถเห็นได้ แต่สายตาของเหล่าเทพเทวาทั้งหลายท่านเห็น เทพเหล่านั้นต่างหวังว่ามนุษย์จะคิดได้ และได้คิด ขอประมวลสาเหตุของหายนภัยมาฝากไว้ให้คิด
          ๑. เกิดจากความไม่สมดุลของดินฟ้าอากาศ ระบบนิเวศวิทยา สาเหตุนี้มาจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพนิเวศวิทยาโลก ที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เลวร้ายรุนแรงและรวดเร็ว ทั้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติโลกเอง ไม่ว่าจะเป็นไฟป่า ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม เป็นต้น และเกิดจากการเสริมแรงเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ คือ โรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลาย การทดลองระเบิดนิเคลียร์ที่ผ่านมา เป็นต้น
          ๒. เกิดจากความไม่สมดุลของระบบห่วงโซ่อาหาร ธรรมชาติของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งแอบอิงอาศัยซึ่งกันและกันอย่างเป็นระบบสัมพันธ์ หากมีการทำลายห่วงโซ่อาหารของบางสิ่ง ก็อาจกระทบไปสู่การดำรงอยู่ของระบบอื่น ๆ ด้วย
          ๓. เกิดจากการกลืนกินไม่เลือก มนุษย์เริ่มกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ขาดสติปัญญาไตร่ตรองว่า สิ่งใดควรกิน ไม่ควรกิน และชอบทานแปลก ๆ ดิบ ๆ ด้วยทัศนคติผิด ๆ ว่าเป็นยาบำรุงโน่น นี่ นั่น สัตว์บางตัวมีลักษณะเป็นที่เพาะพันธุ์ไวรัสมานานนับปี พอมีการกินเข้าไปก็ทำให้ไวรัสแพร่สายพันธุ์ทันที
          ๔. เกิดจากแรงกรรมของสัตว์ที่ตายคราวละมากๆ ปัจจุบันมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สัตว์คราวละมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเพราะเหตุผลทางธุรกิจ ฆ่าเพราะเทศกาล ฆ่าเพราะบูชายัญ คราวหนึ่งมีข่าวการฆ่าบูชายัญโค กระบือนับร้อย นับพันตัว สุดท้ายก็เกิดแผ่นดินไหว คร่าชีวิตคนไปพอสมควร ประเทศไทยฆ่าไก่ทั่วประเทศปีนั้น พลันก็เกิดอุทกภัยได้รับทุกข์ร้อนกันถ้วนหน้า สึนามิญี่ปุ่นครั้งใหญ่ปี ๒๕๕๔ มีผู้เสียชีวิตสองหมื่นกว่าราย แรงพยาบาทของสัตว์มีมากก็บันดาลธรรมชาติเอาคืน
          ๕. บ้านเมือง โลกขัดแย้ง ห้ำหั่นกันมาก จะเกิดภัยพิบัติกำจัดมนุษย์ ในอดีตกาลถ้าหากเกิดข้าวยากหมากแพง โรคร้ายเกิดกะทันหัน สันนิษฐานไว้ประการหนึ่งว่า ผู้นำไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม กลั่นแกล้ง ใช้นโยบายทำร้ายผู้คน
          ๖. เกิดจากแรงกรรมชั่วของชาวโลก จะเห็นได้ว่า เกิดโรคร้ายคร่าชีวิตมนุษย์จำนวนมาก เกิดมาจากความเป็นพิษของดิน น้ำ อากาศ พืชพันธุ์ สัตว์ อาหาร ที่สั่งสมมาตั้งแต่ยุคสมัยทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในอากาศ บนดิน ใต้ดิน กัมมันตภาพรังสียังคงสะสมอยู่ในธรรมชาติ ทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย
          สรุปเป็นภาพวงจรสาเหตุที่เห็นได้และไม่อาจเห็นได้ เชื่อมโยงเชิงสัมพัทธ์และสัมพันธ์ ตามแผนภาพนี้

          คำว่า “กรรมยุติธรรมเสมอ” เป็นคำที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ให้มาก กรรมมีหลายระดับทั้งระดับส่วนบุคคล ครอบครัว สังคม ประเทศและโลก เมื่อคนระดับโลกทำก็ย่อมกระทบไปทั่วโลกเช่นกัน สาเหตุเหล่านี้เป็นผลกรรมที่มนุษย์ทำขึ้น การจะแก้กรรมได้ก็ต้องแก้ที่พฤติกรรม เมื่อพฤติกรรมเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยน ขอยกสุภาษิตจีนบทหนึ่งที่เข้าได้กับประเด็นนี้ว่า “เมื่อฟ้าลงทัณฑ์ ไหนเลยฎีกาได้”

ทางเลือก ทางรอด
         ปรากฏการณ์ COVID-19 นั้นมาแรงอันเนื่องจากการสื่อสารที่รวดเร็วทั้งในประเทศและต่างประเทศ จุดดีของการข่าวที่รวดเร็วก็ทำให้มีการป้องกันกันอย่างได้ทันท่วงที แต่ก็เกิดภาวะผลกระทบตามมาด้วย ได้แก่ ความวิตกกังวล ระบบเศรษฐกิจชะงักงัน เกิดการกักตุนอาหาร เกิดภาวะเครียด เกิดภาวะหวาดระแวงกันและกัน เกิดการปรับตัวในภาวะวิกฤติ เกิดภาวะก่นด่ากันและกัน เป็นต้น ประเทศไทยปัจจุบันเปรียบเหมือนถูกพิษ ทำให้อวัยวะประเทศไม่สามารถทำงานได้บางส่วน ถ้าปล่อยไว้นานก็จะทำให้เป็นภาวะอัมพาตได้ ผลที่เกิดจากอัมพาตนั้นจะมีผลข้างเคียงอีกหลายประการตามมา มวลความเครียดของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น (GDT-Gross Domestic Tension Increasing)
          ขอเสนอทางเลือกเพื่อให้รอดในภาวะอย่างนี้ ถอดบทเรียนจากประเทศที่มีการบริหารจัดการที่ดี รักษาชีวิตของประชาชนในประเทศไว้ให้มีผลกระทบน้อยที่สุด ดังมีแนวทางต่อไปนี้
          ๑. อนุมัติงบประมาณมาเพื่อการช่วยเหลือและป้องกันโรคระบาดทันที งบประมาณเพื่อดูแลชีวิตคนในประเทศไม่ต้องกลัวเสียเปล่า ทำอย่างอื่น เสียอย่างอื่นยังเสียได้ แต่การใช้งบประมาณมาเพื่อแก้ไขชีวิตในยามวิกฤติเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง ได้บุญมหาศาล ได้ใจประชาชน
          ๒. ให้ความสะดวกแก่หน่วยปฏิบัติการช่วยเหลือ คือ แพทย์ พยาบาล อาสาสมัครทางการแพทย์ การปฏิบัติการของแพทย์และพยาบาลในช่วงนี้นั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ บุคลากรทางการแพทย์นั้นสั่งสมภูมิความรู้ไว้มาก จำเป็นต้องได้รับการดูแล ให้อุปกรณ์ที่เพียงพอ ให้ความเอาใจใส่ที่เพียงพอ บัดนี้ต้องเห็นความสำคัญ ส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคคลเข้ามาสนใจเข้ามาสู่วิถีบำเพ็ญตนช่วยเหลือชีวิตคนอย่างแท้จริง นับแต่โบราณกาลมา แพทย์ พยาบาลเปรียบเหมือนผู้ให้ชีวิต พึงรักษาความรู้สึกนี้ไว้ อย่าให้กลายพันธุ์ ได้เห็นตัวอย่างบุคลากรทางการแพทย์ของจีนทั้งในและต่างประเทศอุทิศตนแล้ว เชื่อว่า “ได้ใจกรรมการ” ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันบุคคลที่สนใจจะเข้ามาเป็นแพทย์ พยาบาลนั้นน้อยลง โดยเฉพาะแพทย์และพยาบาลแบบจิตวิญญาณ ไม่สอดคล้องกับคนไทยที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บจำนวนมากในแต่ละปี ใครอยากรู้เข้าไปดูในโรงพยาบาล
          ๓. พยุงเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบมากและกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดความเคลื่อนไหวในระดับรากหญ้าขึ้นไป ถึงเวลาที่จะต้องฝึกให้คนไทยได้รับรู้ว่า ประเทศนี้มีของดี ให้ซื้อ ให้ใช้ และให้สนับสนุนของภายในประเทศ โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรและศิลปหัตถกรรม สนับสนุนให้คนไทยทำงานที่ตนรัก ส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ระดับย่อย ถึงระดับใหญ่ พัฒนาแหล่งการท่องเที่ยวเชิงภูมิปัญญา อย่าส่งเสริมคนไทยเสียนิสัยได้เงินโดยง่ายดาย การจะช่วยใคร อะไร ให้ช่วยแบบมีอุบายวิธี ให้คิดอุบายวิธีที่เหมาะสมด้วย
          ๔. ให้บทบาทแก่ปัญญาชนทางการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือประเทศอย่างเป็นอัศจรรย์ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยนับเป็นปัญญาชน จากสถิติของศูนย์ข้อมูลวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ สำรวจเมื่อปี พ.ศ.๒๕๖๑ มีนักศึกษา จำนวน ๔๐๔,๕๘๑ คน พลังบุคลากรที่สำคัญของประเทศมีมากถึงเพียงนี้ ควรใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อให้ทุกคนทำหน้าที่ในการรณรงค์คนละไม้ คนละมือ สื่อสัญญาณทั้งแบบจิตอาสาและแบบเฝ้าระวัง แบ่งสรรปันส่วนภาระหน้าที่ให้ลงตัว ถือเป็นโอกาสอันดีให้ปัญญาชนได้แสดงฝีมือออกมาบ้าง ในยามที่ประเทศชาติต้องการ อย่าปล่อยให้คนมีความรู้นั่งมองคนอื่นทำงาน
          ๕. ให้ศาสนาเข้ามามีบทบาทรักษาภาวะเครียดของศาสนิก อีกองค์กรหนึ่งที่สำคัญมากในฐานะเป็นที่พึ่งทางใจ คือ ศาสนา ในสถานการณ์เช่นนี้ศาสนาต้องเข้ามามีส่วนช่วยอย่างเต็มกำลัง เพราะไม่เพียงเกี่ยวกับการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อเท่านั้น ยังเกี่ยวกับภาวะทางจิตใจที่ได้รับผลกระทบสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ในหลายมิติอีกด้วย แนวทางที่ศาสนาสมควรแสดงบทบาท โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา คือ
                     ๑) ให้ปัญญา ใช้หลักอริยสัจ ๔ มาเป็นกรอบ คือ เข้าใจสถานการณ์ล่าสุด รู้สาเหตุของไวรัสโคโรน่า และสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ โรคนี้สามารถป้องกันได้ แก้ไขได้ โดยวิธีการไม่อยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อ และไม่ให้ผู้ติดเชื้อเคลื่อนที่ รู้จักเฝ้าระวังตนเองและผู้อื่นไม่ให้เข้าไปในสถานที่ชุมชนจำนวนมาก ทำให้ครบทั้ง ๓ ระบบ สัจญาณ คือ รู้สถานการณ์ กิจญาณ คือรู้ภาระหน้าที่ที่ต้องกระทำ และกตญาณ คือได้กระทำตามคำแนะนำที่ถูกต้องแล้ว
                     ๒) ให้ความเข้าใจ การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เนื่องเพราะชีวิตนี้เกิดมาแล้วก็ต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดา ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ต้องวิตกกังวลมาก ให้ระลึกถึงอภิณหปัจจเวกขณะเสมอ คือ “เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้” แต่ไม่ได้หมายถึง ปล่อยตัวให้เป็นไปตามเรื่องตามราว ให้ปฏิบัติตามข้อแรก เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติตื่นตูม กลายเป็นโรคซ้อนโรค คือ โรคเครียดและโรคกังวล จนมีผลต่อสุขภาพร่างกายและวิถีการดำรงชีวิต
                     ๓) ให้ความรู้ ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ข้อมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้เป็นเรื่องสำคัญ จำเป็นต้องให้ความรู้ในเรื่องต่อไปนี้
(๑) ให้ความรู้เรื่อง “COVID-19” ติดตามจากข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข หรือ WHO (World Health Organization)
(๒) ให้ความรู้เรื่อง “เหตุปัจจัยสัมพันธ์” “เด็ดดอกไม้ กระเทือนดวงดาว” สถานการณ์ COVID-19 เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดเกี่ยวกับเหตุปัจจัยสัมพันธ์ เหตุเกิดขึ้นที่อู๋ฮั่น ประเทศจีน กระเทือนไปทั่วโลกในเวลาต่อมาเพียงไม่นาน จะได้ไม่ประมาทว่า เป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว จะต้องช่วยกันดูแลรักษาโลก โดยเฉพาะธรรมชาติและพฤติกรรมมนุษย์ที่วิปริตผิดเพี้ยน รับประทานสัตว์ด้วยวิธีการแปลกๆ จนเป็นพาหะขยายเชื้อไวรัส ความสัมพันธ์กันของโลกนั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจอย่างมาก “โลกนับวันจะอยู่ยาก หากไม่ร่วมกันรักษาสมดุลใหม่ใน 5C Re-Equilibrate” คือ Capitalization-Crisis-Catastrophe-Crime-Covid 19 Pandemic เป็นเรื่องที่ต้องปรับสมดุลทั้งสิ้น ในประเด็นนี้ รศ.ดร.สมเจตน์ ทิณพงศ์ ได้ให้มุมมองของการอยู่บนโลกที่ต้องจัดสมดุลภายใต้แผนภาพนี้ (รายละเอียดต้องสอบถามในโอกาสต่อไป)




ที่มา : รศ.ดร.สมเจตน์ ทิณพงศ์ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๑๒

(๓) ให้ความรู้เรื่อง ครอบครัวโลก (Global Village) อย่าถือคติ เอาตัวรอด (คนเดียว) เป็นยอดดี ปัจจุบันนี้โลกกลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เรียกว่า Global Village ทุกคนเป็นเหมือนญาติพี่น้องร่วมสุข ร่วมทุกข์ ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน สมควรช่วยเหลือแบ่งปันกัน ให้ใช้คติที่พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาว่า “จรถ ภิกขเว จาริกัง พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ อัตถายะ หิตายะ สุขายะ เทวามนุสสานัง” ภิกษุ (ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ) ทั้งหลาย จงจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขแก่คนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย จะเห็นได้ว่า จากพุทธพจน์นี้ พระองค์ขยายผลไปถึงเทวโลก ในฐานะผู้ยังเวียนว่ายตายเกิด ทุกวันนี้โลกใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม เรื่องทั่วทุกมุมโลกรู้ได้ภายในอึดใจเดียว
                     ๔) ให้ความรักและเมตตาช่วยเหลือกันและกัน ในสถานการณ์อย่างนี้ เปรียบเหมือนสถานการณ์นกที่อยู่ในตาข่ายดักจับ ถ้าหากต่างถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นหน้าที่ของคนนั้นคนนี้ ฉันไม่เกี่ยว มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด สุดท้ายก็ตายยกชุด ถอดประเทศออก ถอดโลโก้ ยี่ห้อ ผลกำไร ขาดทุน พรรค ขั้วอำนาจออก ความโง่ ฉลาดออก มองเห็นทุกคนเป็นคน (Human Being) มองด้วยสายตาแห่งพ่อแม่ที่รักและเมตตาต่อลูก ๆ ที่กำลังได้รับความทุกข์ร้อนจากโรคภัย ให้ความรักความเมตตาอาทร ช่วยเหลืออย่างไม่มีข้อแม้
                     ๕) ให้เกิดศรัทธา คือ ความเชื่อมั่น เป็นความเชื่อมั่นประกอบปัญญาว่า กายและใจสัมพันธ์กัน ปัจจุบันหน่วยงานทางพระพุทธศาสนาได้ให้ชาวพุทธสวดมนต์ช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ป้องกันลูกศรดอกที่สอง” ในสัลลัตถสูตร สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค โดยความว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงเปรียบเทียบบุคคล ๒ ประเภท คือ คนโง่กับคนฉลาด คนโง่พอได้รับความทุกข์ทางกาย เหมือนถูกลูกศรดอกแรกอยู่แล้ว กลับเดือดร้อนทางใจอีก เปรียบเหมือนถูกลูกศรดอกที่สองยิงซ้ำเข้าไปอีก ส่วนคนฉลาดนั้น เมื่อได้รับความทุกข์ทางกายย่อมไม่เดือดร้อนทางใจ คือไม่ถูกลูกศรดอกที่สองยิงซ้ำ การสวดมนต์เป็นการสร้างศรัทธาว่าตนจะไม่ถูกลูกศรยิงซ้ำ เจ็บเฉพาะทางกาย แต่ใจไม่กระวนกระวาย รตนสูตร เป็นพระสูตรที่เกี่ยวกับความศรัทธาในพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อกล่าวทางวิทยาศาสตร์ การตั้งใจสวดมนต์ย่อมทำให้โมเลกุลน้ำในร่างกายเรียงตัวได้ดี นั่นส่งผลให้มีจิตใจสงบ เยือกเย็นขึ้น มีสติปัญญาขึ้น ไม่สับสนวุ่นวาย วิตกกังวล
          ๖. ได้โอกาสอันดีที่จะ Detox ประเทศ เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้ว ประเทศไทยนั้นมีพิษหลายอย่างคงค้าง จะเห็นได้จากประเทศไทยในฐานะประเทศพระพุทธศาสนา แต่ภาพที่ปรากฏยังไม่สามารถสื่อนัยว่าได้ปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา ดังดัชนี้เรื่องอาชญากรรม การละเมิดกฎเกณฑ์พื้นฐานของมนุษย์ด้วยกัน ได้แก่ ทำร้าย เข่นฆ่าคนและสัตว์ แย่งชิงลักขโมยสิ่งของผู้อื่น ทำลายสัมพันธภาพของครอบครัวตนเองและผู้อื่น บิดพลิ้วผิดสัญญาข้อตกลงที่ให้ไว้ และทำลายสุขภาพของตนเองด้วยยาเสพติด การไม่ทำหน้าที่ชาวพุทธให้ถูกต้อง เป็นต้น แสดงว่า มีสารพิษตกค้างในประเทศมาก บัดนี้ได้โอกาสอันดีที่จะ Detox ประเทศไทย COVID-19 เข้ามาท้าทายภูมิปัญญาของคนไทยแล้ว เพราะมนุษย์โดยมากมักจะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์หนัก ๆ เข้ามาในชีวิต ต้องอาศัยสถานการณ์นี้
                     (๑) Detox ด้านคุณค่าแท้ คนไทยได้รับพิษการเสพคุณค่าเทียมสูง ต้องถอนพิษด้านนี้ให้ออกไป และให้รู้คุณค่าแท้ของชีวิตตามปัจจัย ๔ คือ อาหารที่มีประโยชน์ทางโภชนาการ สะอาด ปลอดภัย ทานในเวลาที่ควรทาน ทานเท่าที่ร่างกายต้องการเท่านั้น ไม่ทานสัตว์แปลกประหลาด ทานแบบพิสดารเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้าอาภรณ์ใช้ปกปิดร่างกาย ป้องกันอันตรายจากดิน ฟ้า อากาศ แมลง สิ่งมีพิษทั้งหลาย     นุ่งห่มอย่างมีความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เหมาะสมกับภูมิประเทศ ที่อยู่อาศัย ให้ถูกสุขลักษณะ ใช้ประโยชน์เต็มพื้นที่ บ้านคือสถานให้ความสุข สงบ พักผ่อน สบาย ไม่สร้างบ้านให้คนรับใช้อยู่และเอาไว้อวดฐานะ ยารักษาโรค รู้จักใช้ยาสามัญประจำบ้าน สมุนไพรใกล้ตัว รู้จักปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แก่กันและกัน และใส่ใจสุขภาพ ไม่ใช่ผลิตยาเพื่อทำกำไร
                     (๒) Detox ด้านการศึกษา ถือได้ว่า มีความเป็นพิษค่อนข้างสูง การศึกษาต้องพัฒนาอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีคุณภาพ ศักยภาพ สมรรถภาพ และประสิทธิภาพ ทุกองค์ความรู้ ทุกหลักวิชา ต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาชีวิตให้สูงขึ้น เจริญขึ้น ขับไล่ความเห็นแก่ตัวได้อย่างชะงัด ปลูกความเสียสละให้งอกงาม มีทั้งความรู้ควบคู่คุณธรรม ไม่ใช่การศึกษาหมาหางด้วน การศึกษารับใช้โรงงาน
                     (๓) Detox ด้านทัศนคติ ประเทศไทยมีความเป็นพิษทางทัศนคติสูง ให้ใช้หลักสามัคคีธรรมและอหายนธรรม ได้แก่ สาราณียธรรมและอปริหานิยธรรมมาเป็นตัว Detox โดยใช้ Goal Setting คือ ความสงบสุขร่มเย็นเป็นสุขถ้วนหน้า เป็นเป้าหมาย คนมีทรัพย์สมบัติมากอนุเคราะห์ สงเคราะห์คนมีน้อย ให้โอกาสคนมีปัญญาทำงาน ดึงคนมีความรู้เข้ามาพัฒนาประเทศ ดังที่สมเด็จพระปิยมหาราชได้ทรงทำไว้ พึ่งพาตนเองให้มาก ดังที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงทำไว้ Detox ขจัดพิษหมั่นไส้และความคิดลบ (Negative Thinking) ออกไป พิษตกค้างนี้กัดกร่อนชีวิตคนไทยมาหลายชั่วอายุคน ทั้งที่แต่เดิม คนไทยได้รับสมญานามว่า สยามเมืองยิ้ม (Land of Smile) หรือ แดนแห่งพระพุทธศาสนา (Land of Yellow Robe) คือ ประเทศสงบร่มเย็น
                     (๔) Detox ด้านรังสรรค์ขุมปัญญา ประเทศไทยมีพิษขุมปัญญาตีบตัน ไม่ว่าจะเป็นความเจริญในด้านใดๆ ไทยต้องไปรับมาจากต่างประเทศ ทั้งที่ประเทศของเรานั้นมีขุมปัญญาอันยิ่งใหญ่ ได้แก่ พระไตรปิฎก ภูมิปัญญาของโลกที่มีอยู่กัปป์นี้ไม่มีใครเกินพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา มาร พรหม ใน ๓ โลก ปูพรมทำวิจัยแบบรังสรรค์นวัตกรรมออกมาใช้ในทุกมิติเพื่อพัฒนาประเทศนี้ รังสรรค์ความเจริญบนตารางพื้นที่ประเทศไทยอาศัยพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าในการส่งเสริมคุณภาพชีวิต อย่าให้พระไตรปิฎกเป็นเพียงคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนาใช้สำหรับกราบไหว้บูชา คำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีอภินิหาริย์ก็ต่อเมื่อนำมาปฏิบัติ ปรับใช้ได้กับชีวิตทุกมิติ ที่เรียกว่า “อนุสาสนีปาฏิหาริย์”
                     (๕) Detox ด้านกล้าคิด กล้าทำ สารตกค้างพิษในประเทศไทย คือ การไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ กลัวถูกตำหนิ ถูกเอาโทษ ถูกกลัวว่า ล้ำหน้า เป็นสารพิษ “กลัวมันเก่ง” ตกค้างมา เพราะถ้าเก่ง เกรงว่าคนไทยไม่เชื่อฟัง ใครคิดจะทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้ ต้องรายงานก่อน รออนุญาตก่อน รอผู้ใหญ่ก่อน รอเห็นชอบก่อน มุ่งแต่เอาผิด ไม่เอาถูก เขียนระเบียบบอนไซความสามารถคน พิษในตัวประเทศด้านนี้มีสูง ต้องได้รับการ Detox ให้เป็นกล้าคิด กล้าทำ ใครทำได้ให้มารับเหรียญอัจฉริยะ ส่งเสริมให้พัฒนาความสามารถเพื่อความเป็นเลิศ ทั้งสองด้านคือ ความรู้และความประพฤติ คนไทยมีเชื้อสายมาจากคนหลายเผ่าพันธุ์ แต่ละเผ่าพันธุ์จะมีความโดดเด่นของตนเอง ส่งเสริมให้แต่ยีนส์ของเผ่าพันธุ์นั้น ๆ แสดงศักยภาพของตนออกมาให้ได้ ภายใต้หลักการที่ว่า “ภูมิปัญญาไทย รับใช้โลก”
          ทางเลือก และทางรอดที่แสดงมา เป็นไปทั้งระบบ เพียงแต่อาศัยจังหวะและโอกาสที่ประเทศได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสระบาดครั้งนี้มาสร้างทางรอดให้คนไทย ศึกษาได้จากแผนภูมิต่อไปนี้


 ที่มา : รศ.ดร.สุวิญ รักสัตย์ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๓

จากพฤติกรรมวงจรชีวิตหนูมาสู่การเรียนรู้ปรับตัวของมนุษย์ อาศัยสถานการณ์ COVID-19 ถึงเวลา Detox ประเทศ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าน่าจะให้บทเรียนแก่มนุษย์ มนุษย์ต้องหันกลับมาทบทวนตนเองกันได้แล้ว มิฉะนั้น ธรรมชาติก็จะลงโทษ ธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่ต้องพิชิตเอาชนะ แต่ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และปรับสมดุล เหตุปัจจัยที่เรียกว่า ปัจจยการ ซึ่งเป็นรากฐานของธรรมชาติมีความจำเป็นต้องได้รับการเรียนรู้ให้ชัดแจ้ง ทฤษฎีห่วงโซ่อาหาร ทฤษฎีสัมพัทธภาพเชิงนิเวศ แนวคิดหมู่บ้านโลก (Global Village) หรือ บ้านของฉัน (My Gaia) เป็นเรื่องที่มนุษย์ต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อการดำรงอยู่บนโลกได้อย่างปลอดภัย โลกต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง รังสรรค์ให้โลกให้น่าอยู่มากกว่านี้ แม้ว่าโลกจะต้องเสื่อมสลายไปตามกาล แต่ถ้ามนุษย์รู้จักเรียนรู้โลกให้เข้าใจและรู้จักรักโลกดุจดังรักชีวิตของตนเองก็จะเป็นทางรอดได้ บัดนี้ พึงใช้โอกาสการแพร่ระบาดของ COVID-19 มาสร้างความเข้าใจรากฐานของสาเหตุ และร่วมมือกันรักษาโลกไว้ มาช่วยกันทำโลกนี้ให้เป็นมรดกอันมีค่าแก่ลูกหลานในอนาคตกาล ไม่ทิ้งโลกที่เป็นมรดกพิษไว้ให้พวกเขา
สำหรับประเทศไทย เรามีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานของชีวิต ชาวพุทธต้องรู้จักนำหลักพุทธธรรมในพระไตรปิฎกมาใช้ในทุกมิติ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งชีวิต หลักคำสอนก็มีไว้สำหรับการดำรงชีวิตอย่างแท้จริง มิใช่มีไว้ให้เป็นพิษทางความรู้ หรือมีไว้เป็นเพียงเครื่องประดับหิ้งบูชา หรือมีไว้เป็นเพียงฉลากยาสำหรับอ่าน แต่มีไว้สำหรับใช้เป็นสารตั้งต้น Detox ประเทศ มีไว้เพื่อให้รู้จักอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล มีไว้สร้างภูมิปัญญาป้องกันเชื้อไวรัสทั้งหลายในโลก ไวรัส COVID-19 เป็นเพียงแค่กรณีตัวอย่าง ยึดหลักอริยสัจ ๔ มาปรับใช้ เสริมสร้างพลังใจให้มีศรัทธาและปัญญา เมื่อถูกลูกศรแรกยิงเข้าทางกาย ก็ต้องไม่ให้ลูกศรดอกที่สองยิงซ้ำเข้าไปทางใจ “ธัมโม กุโลกปตนา ตทธาริธารี” ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรมไม่ให้ได้รับความทุกข์ เดือดร้อน “ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง” ธรรมย่อมรักษาผู้ทำคุณความดี “ธัมโม สุจิณโณ สุขมวาหติ” คุณความดีที่ผู้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ย่อมนำมาซึ่งความสงบสุข



¥¥¥¥¥¥¥