วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ฤาจะถึงกาล












โอ…เชี๊ยะเทียนใบไม้ร่วงโรย
อาดูรนัก ยืนดูเดียวดาย
หล่นเกลื่อนกล่นยากยิ่งทัดทาน
เฉกเช่นชะตากรรมมนุษย์เมื่อถึงกาล
ฤา…
ผู้ใดเล่าห้ามได้!!



ฟาเหวินยืนบนเนินหินรำพึงพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่

เชี๊ยะเทียนปีนี้ดูหม่นหมองกว่าทุกปี ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉาแห้งเกรียม



เปลวแดดต้นเชี๊ยะเทียนกระทบกายร้อนผะผ่าว

ในบางครั้งความร้อนนี้ยังน้อยกว่าความร้อนที่เกิดมาจากจิตใจของผู้คน

ลมพัดใบปังแห้งปลิวตกใกล้เท้าฟาเหวิน ดูเหมือนยิ่งทำให้จิตใจมันสลดหดหู่ยิ่งกว่าเดิม

จริงอยู่อีกไม่นานสถานที่แห่งนี้ก็จะเขียวชะอุ่มเช่นเดิม สองข้างทางจะสดเขียวไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า เหล่าผีเสื้อหมู่แมลงก็จะบินโฉบเฉี่ยวล้อเล่นดอมดมเหล่าพฤกษา สรรพสิ่งกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

แต่มีบางสิ่งบางเรื่องราว ก็ไม่อาจกลับคืนมาเหมือนเดิมเช่นกัน…ดุจดังผมที่หงอกขาว ไหนเลยจะกลายมาดำขลับได้อีกเล่า

ตอนนี้เป็นต้นฤดูกาล สภาพเช่นนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร จะต้องรออีกนานเพียงไหน?!

เด็กเลี้ยงวัวกลุ่มหนึ่งวิ่งต้อนวัวไปตามท้องทุ่งอันแห้งแล้ง เหลือแต่ตอข้าวที่ถูกแดดแผดเผาทุกวัน ฝูงวัวเล็มตอข้าว พวกเด็กวิ่งหลบเข้าร่มไม้ริมทุ่ง

ฟาเหวินยืนมองธรรมชาติไปทำให้จิตใจพลอยคลายความกลัดกลุ้มไปบ้าง

ในขณะที่มันลังเลไม่รู้จะตัดสินใจเช่นไรและก็ไม่รู้จะกระทำประการใด มันพลันพบว่า มีสตรีนางหนึ่งกำลังมองดูตัวมันและกำลังเดินมา ณ ที่ ๆ มันยืนอยู่

นางคือ เวียวมู่หลา (วิมลา) สตรีน้อยสาวแรกรุ่นนางหนึ่ง เป็นสตรีนางเดียวที่มันถือว่าเป็นเพื่อนในช่วงที่มันอยู่ที่นี่ห้าเดือน

นางคือสตรีชาวบ้านที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ทั้งมิใช่เสื้อผ้าที่ตัดมาจากร้านที่มีชื่อเสียงทั้งมิใช่ผ้าที่มาจากแคว้นกาสี เพียงแต่นางสวมใส่ชุดใดก็เหมาะสมกับนาง เนื่องเพราะความสมส่วนแห่งความเป็นสตรีอันสมบูรณ์เต็มที่ถูกปกปิดไว้ภายในแล้ว ผมที่ปล่อยยาวสลวยดำขลับสะท้อนกับแสงอาทิตย์บางครั้ง นางมีดวงตาที่บริสุทธิ์คู่หนึ่ง แววตานั้นลึกซึ้งไร้มารยาที่มากมายแอบแฝง

ลมร้อนปะทะผ้าคลุมไหล่นางปลิวพริ้วไป

“ข้ามองท่านอยู่เนิ่นนาน” นางกล่าวด้วยสีหน้าวิตก “ดูเหมือนท่านจะมีเรื่องยุ่งยากใจใช่หรือไม่”

“ข้าคงไม่ได้มายืนมองทุ่งนาแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว” ฟาเหวินไม่กล้าที่จะสบตานางเอ่ยคำ “ท่านคุรุสัมภาดรให้ข้ากลับจุงโกวภายในห้าวัน” มันเพียงนึกคำเหล่านี้หาได้กล่าวออกไปไม่

นี่เป็นครั้งที่สามที่มันพบนาง และเป็นเดือนที่ห้าที่มันมาจากดินแดนของตนมา จากพ่อแม่และน้องสาว

ฟูเลียนต้า (นาลันทา) เป็นสถานที่ๆ เต็มไปด้วยสรรพวิชา เป็นสถานที่ใฝ่ฝันของผู้คนมากมายที่อยากจะศึกษาและสร้างชื่อเสียงที่นี่ แต่ช่างน่าเสียดายฟาเหวินมาในยามที่ฟูเลียนต้า กำลังประสบชะตากรรม

“หามิได้…เพียงแต่” มันพยายามที่จะเลี่ยงคำตอบของนาง

“ข้าพอทราบมาบ้าง และเข้าใจท่าน” นางชิงเอ่ยขึ้น ก่อนที่รอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าของนางจะจางหายไป “ผู้คนภายในหมู่บ้านพากันพูดถึงชะตากรรมของฟูเลียนต้า พวกเขาบอกว่ายากที่จะต้านทานได้ ก็ที่ฟูสี่ต้ามีการป้องกันอย่างเข้มแข็งเพียงไรยังคงถูกทำลายไปแล้ว”

“ข้าคิดจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นป้องกันที่นี่” มันกำมือตนเองแน่นพลางกล่าวขึ้น

“ความคิดของท่านไม่ผิด” นางถอนหายใจกล่าว “เมื่อคราถึงกาลแล้วมีผู้ใดเล่าห้ามได้ ?!”



ดวงอาทิตย์เมื่อขึ้นสูงสุดแล้ว

มีผู้ใดห้ามมิให้อาทิตย์ตกได้

ที่สำคัญหาได้อยู่ที่การหายไปของดวงอาทิตย์ในยามค่ำคืน

หากแต่อยู่ที่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในยามไร้แสงอาทิตย์ได้



“ข้าจะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือไร ?” ฟาเหวินมองดูนางตรงๆ สายตามันประสานกับดวงตาที่ใสบริสุทธิ์คู่นั้น “ในเมื่อผู้อื่นขอต่อสู้อยู่ที่นี่”

“ท่านทราบหรือไม่ที่ฟูสี่เลี่ยวต้า มีผู้เสียชีวิตไปเท่าไร”

“สิบหมื่นกว่าชีวิต”

“มีผู้ใดตำหนิผู้มีชีวิตรอดบ้าง?!”

“??!…….”

“ท่านไปจุงโกวเถิด ท่านยังมีสิ่งที่จะกระทำเพื่อชีวิตของท่านอยู่มาก”

“แล้วเจ้าละ…?” ฟาเหวินถามคำนี้ออกไปจริงๆ หรือนี่คือเรื่องหนึ่งที่มันหนักใจ

วู่มู่เหลียวใจหายกับคำถามนั้น นางบอกไม่ได้กับความรู้สึกของตน

ความรู้สึกของบุรุษสตรีที่เริ่มจะมีความรักมักมีความรู้สึกเช่นนี้

“ข้าอยู่ที่นี่ได้พบกับท่านนับเป็นวาสนาแล้ว” วาจานี้ใช่เป็นวาจาที่นางต้องการเอ่ยออกมาหรือไม่

“เจ้าไปจุงโกวกับข้าเถอะ” ประโยคนี้เป็นเพียงสิ่งที่มันคิดจะกล่าว “ข้าเองก็เช่นกันนับว่าเป็นวาสนายิ่งที่ได้พบเจ้า” มันกล่าวประโยคนี้ออกไป



(อ่านในเรื่องสั้น ปุ๊ซินเนี่ยน)