วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๑)





บทที่หนึ่ง
วิถีอันโดดเดี่ยว




ยอดเขาสูงตระหง่านเสียดขึ้นไปบนบนอากาศ แม้ไม่ต้องขึ้นไปพิสูจน์ก็สัมผัสได้กับความหนาวเหน็บได้ หรือนี่คือที่มา “ยิ่งสูงยิ่งหนาว”

แสงอรุณต้องยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะกลายเป็นสีชมพูดูคล้ายสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ เมื่ออาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้วประกายเงินวูบวาบของหิมะก็ปรากฏขึ้นแทนที่

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเหยียบย่ำลงบนพื้นหิมะตามเชิงเขาที่มีสนเหยียดลำต้นขึ้นท่ามกลางความเหน็บหนาวของกองหิมะที่ปกคลุมมันอยู่ รอยเท้าที่ประทับลงบนหิมะเป็นแนวยาวคล้ายดั่งปฏิมากรรมบางอย่าง

ดวงตาของเขายังคงมองไปเบื้องหน้า แววตาบ่งบอกถึงความหวังที่เปี่ยมด้วยความหมายอันยิ่งใหญ่ บัดนี้ใบหน้าของเขาซีดขาวเพราะต้องลมและละอองหิมะ แต่กระนั้นเค้าหน้าที่หล่อเหลาคมคายยังรักษาไว้ซึ่งความสง่างาม กุยเล้งสานใบหนึ่งยังคลุมปกปิดศีรษะ เสื้อปอขาวปนน้ำตาลบัดนี้มีรอยขาดหลายแห่งแล้ว

ลำธารเล็กสายหนึ่งเป็นเสมือนธารหิมะ เป็นลำธารที่เกิดจากน้ำแข็งละลายส่งเสียงไหลริน

เขายืนมองลำธารที่กำลังรินไหลพรางรำพึงกับตนเอง

“หลายวันแล้วสินะที่เราเดินทางมา หนทางเส้นนี้ยาวไกลจริง ๆ

วิถีชีวิตที่โดดเดี่ยวเช่นนี้มีให้บุรุษเช่นเราได้เรียนรู้รสชาด ?!

เรามิใช่คนเร่ร่อน เช่นขอทาน

คนเร่ร่อนเป็นคนปราศจากอุดมคติ แต่เราไม่ใช่” เขาย้ำในความคิด

ความแตกต่างแยกแยะสมณะผู้จาริกแสวงบุญออกจากขอทาน

ก็คือ จิตใจและอุดมคติเท่านั้น

“ความเหน็บหนาวที่ล้อมรอบตัวเรายังเทียบไม่ได้กับความหนาวภายในใจ

มันคือ ความโดดเดี่ยว มันคือความเงียบเหงา มันคือความถวิลหาความอบอุ่นจากผู้คน ที่เรายังรู้สึกเช่นนี้ ก็เพราะจิตใจยังตกผลึกฝึกฝนไม่เพียงพอ”

เขาหยิบชุปปี้ (นมที่แข็งเป็นก้อน) ออกมาจากถุงหนังที่เหน็บไว้ที่เอวใส่ปาก

“เหลือเพียงสองก้อนสุดท้ายแล้วนะ” เขาพูดกับตนเอง “ต้องไปให้ให้ถึงหมู่บ้านข้างหน้าก่อนที่จะสิ้นใจอยู่บนภูเขาหิมะแห่งนี้”


.....................................



คฤหาสถ์โบราณหลังหนึ่ง เป็นคฤหาสถ์ของตระกูลสรองกาปะ ตระกูลนี้ยิ่งใหญ่มาหลายชั่วอายุคนจึงเป็นที่รู้จักของทุกคน และยังเป็นที่ต้อนรับของแขกผู้มาเยือนของเมืองนี้

สิ่งที่ตระกูลสรองกาปะภาคภูมิใจที่สุดก็คือ การมีทายาทสืบสกุล และสิ่งที่พวกเขากำลังจะเตรียมการต่อไปก็คือการวิวาห์ของบุตรชาย

ขึ้นสิบค่ำ เดือนห้า

ทุ่งหญ้ากำลังเขียวขจี ฝูงจามรีสามสี่ตัวเล็มหญ้าอยู่ตามเชิงเขาซึ่งเป็นธรรมชาติ ณ ดินแดนแห่งขุนเขากลายเป็นที่อันลึกลับ น้อยคนนักจะได้มาย่างกราย ณ ดินแดนแห่งนี้ ผู้คนดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติอย่างธรรมดาที่สุด ชีวิตกับธรรมชาติคล้ายเป็นสิ่งเดียวกัน

อันที่จริงมนุษย์ก็เป็นส่วนของธรรมชาติ แต่มนุษย์กลับพยายามหลีกหนีจากมัน มีผู้คนมากมายดิ้นรนค้นคว้าหาแนวทางเปลี่ยนแปลงและเอาชนะธรรมชาติ แต่เขาหาทราบไม่ว่าหายนะอันใหญ่หลวงกำลังรออยู่เบื้องหน้า

อาชีพที่สามัญที่สุดของผู้คนที่นี่คือเลี้ยงจามรี นมจามรีถูกนำมาดัดแปลงเป็นอาหารนานาประการเพื่อเก็บไว้ในยามที่หิมะปกคลุมพื้นดิน นอกจากนั้นพวกเขายังแสวงหาสมุนไพรมาบำรุงร่างกายให้แข็งแรงเพื่อให้อยู่ได้กับธรรมชาติ

ณ หมู่บ้านแห่งนี้มีคำบอกเล่าถึงโยคีมาราเรปะ ท่านบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขากาญชุ ภายในถ้ำลึกลับบางแห่ง ชาวบ้านถกเถียงกันถึงเรื่องอายุของท่าน บ้างก็บอกว่าท่านมีอายุยาวนานนับร้อยปีมาแล้ว บ้างก็บอกว่าท่านยังเป็นโยคีหนุ่มมือหนึ่งถือดอร์เจ้ (สัญลักษณ์แห่งวัชระของธิเบต) อีกมือหนึ่งถือประคำลูกโต แต่ยังไม่มีผู้ใดได้เห็นท่านอย่างถนัดตาสักครั้ง ทั้งหมดก็ยังเป็นเพียงคำเล่าลืออยู่นั่นเอง

ทินเล่ ลอปซัง….บุรุษหนุ่มแห่งตระกูลสรองกาปะรู้สึกสนใจในวิถีชีวิตของท่านมาราเรปะโยคีเป็นอย่างยิ่ง เขาเพียงแต่คิด…. “ชีวิตอันโดดเดี่ยว วิถีชีวิตแห่งการบำเพ็ญตนเช่นนั้นคือ ชีวิตอันสูงสุด ?!”

ในบางครั้งความสงสัยคือ จุดกำเนิดแห่งขุมปัญญามากมาย

เนื่องจากมีความสงสัยจึงมีการคิดค้นหาคำตอบ

เพื่อต้องการคำตอบจึงต้องทดลองกระทำ

ในโบราณกาล ปราชญ์ในโลกบรรลุธรรม

ก็เพราะทำลายความสงสัยเสียได้…

“อีกเจ็ดวันเท่านั้นนะทินเล….ที่เจ้าจะต้องดูแล…ธากิณี…ภรรยาของเจ้าแล้ว” มิเกโส สรองกาปะ ผู้เป็นบิดา กล่าวกับบุตรของตนด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความหวัง

การได้เห็นบุตรของตนมีเนื้อคู่ ครอบครองคฤหาสถ์เก่าแก่หลังนี้ให้ยั่งยืนต่อไปเพื่อดำรงไว้ซึ่งวงศ์ตระกูลให้ยาวนานนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับบิดามารดาทุกคน

“ครับ…ท่านพ่อ” เขาตอบอย่างสงบ

คำตอบ “ครับ” ของเขาคล้ายดั่งทรายที่ผ่านลำคอ คำตอบของตนทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เพราะแท้จริงแล้วเขายังสับสนในชีวิตที่ตนต้องการอย่างแท้จริง แต่ภายในใจอันบ่งบอกให้เขารับทราบได้ว่า มิใช่การดูแลธากิณี สตรีสาวแห่งตระกูลโทรกาปะแน่

มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความคิดซับซ้อน ซับซ้อนจนตนเองก็ไม่บอกไม่ได้ว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ แล้วฉะนี้ผู้อื่นใครเล่าจะมาเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้

การจะไปเข้าใจผู้อื่นมิใช่เป็นเรื่องกระทำได้ง่ายดายจริง ๆ

เขาถามใจตนเอง…. “แน่ใจหรือที่จะบอกแก่บิดาว่า ตนเองต้องการออกไปท่องโลกกว้าง แน่ใจหรือว่าโลกกว้างที่เขาต้องการท่องไปจะให้สิ่งที่เขาต้องการแสวงหาพบ…”

สภาวะสองสิ่งกำลังเข้าต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง พลัดกันชนะ พลัดกันแพ้อยู่ภายในความคิด มิทราบเส้นทางไหนคือเส้นทางสว่างสำหรับชีวิต ถ้าหากสองสภาวะมีตัวตนจริงป่านนี้ร่างกายของเขาคงฉีกขาดไปแล้ว

คำ “อกตัญญู” เป็นคำที่หนักยิ่งกว่าหินผา

แล้ว..ธากิณี…เล่า! เธอกำลังหวังในตัวเขาอยู่

ดูเหมือนมิใช่แต่สองตระกูลเท่านั้น แต่กลับเป็นผู้คนทั้งเมืองที่กำลังรอคอยแสดงความยินดี เขากล้าหรือที่จะพังทลายความหวังทั้งมวลลง

ยิ่งคิด…ทินเลลอปซัง…กำลังพบว่าตนเองกำลังจะยอมรับชะตาฟ้า พันธนาการนี้แน่นหนาเหลือเกิน ตนเองกำลังพ่ายแพ้ที่จะคิดต่อสู้….

“ท่านมาราเรปะ”…เขาคิดถึงท่านโยคี ท่านคือที่พึ่งสุดท้ายของเขาในยามนี้

ผู้คนมักเป็นเช่นนี้ ท้ายสุดแล้วคนห้อมล้อมนับหมื่นนับพันก็หาได้เป็นบุคคลที่ตนเองสนิทได้อย่างแท้จริง และหาใช่ผู้ที่จะช่วยเหลือตนได้

“สหายคู่ใจ” จึงเป็นบุคคลที่ควรแสวงหาตลอดมา

การพบสหายคู่ใจ (กัลยาณมิตร) จึงนับเป็นวาสนาอย่างยิ่ง
............................