วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๓)











ชุปปี้ก้อนสุดท้ายกำลัยเปื่อยยุ่ยอยู่ในปาก
และกำลังจะหมดไป

ดวงอาทิตย์บ่ายคล้อยมากแล้ว
ยอดเขาลูกนี้เป็นยอดเขาที่เจ็ด
มันใช้เวลาทั้งคืนและทั้งวันไปให้ไกลจากเมืองราลโปมากที่สุด ให้ไกลพอที่พ่อเขาจะตามตัวมันไม่พบ

หิมะบนภูเขาปกคลุมเบาบาง แสดงว่าใกล้ที่อยู่ของผู้คนแล้ว
อันตรายประการหนึ่งของการเดินบนภูเขาหิมะก็คือ หิมะยิ่งปกคลุมพื้นน้อยลง
ก็ยิ่งต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น เพราะอาจทำให้ให้มันละลายเลื่อนไหลลงได้ง่าย

จามรีฝูงหนึ่งกำลังเดินลัดเลาะตามแนวเขาเบื้องล่าง
พวกมันเหยาะย่างอย่างช้า ๆ อาศัยใบไม้ใบหญ้าที่โผล่ออกมาจากหิมะละลายเป็นอาหาร
ความหวังของเขาที่จะได้พบบ้านคนยิ่งเพิ่มทวี

ยามใดที่จิตใจลิงโลดมักเป็นจุดบดบังความระมัดระวัง
ขอเพียงท่านลิงโลดใจเกินไป
ก็จงเตรียมตนไว้สำหรับโศกนาฏกรรม

มีบ้างบางคนยึดถือเอาโศกนาฏกรรมเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคน
หากมีแต่โศกนาฏกรรมที่เกิดกับตนเองเท่านั้น
จึงเป็นโศกนาฎกรรมที่แท้จริง




ความอบอุ่นสัมผัสใบหน้า พร้อมกับมีเสียงร้องเรียก
เสียงนั้นคล้ายดังอยู่ห่างไกล คล้ายเป็นเสียงในความฝัน
สัมผัสแห่งความอบอุ่นที่กระทบใบหน้ากลายเป็นสิ่งที่เห็นในมโนภาพ
“กลับมาเถิดลูกรัก…ทำไมเจ้าทอดทิ้งพ่อแม่ได้ลง ผู้ใดจะมาดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าเล่า !
ใครเล่าจะดูเห็นพ่อแม่ตอนสิ้นใจ เมื่อเจ้าจากไปพ่อแม่อยู่ไปเพื่อประโยชน์อันใดกัน…..”

เสียงร้องเรียกของพ่อแม่กลายเป็นเสมือนกระบี่อันคมกริบบาดแทงจิตใจมันยิ่งนัก
“ลูกรู้สึกผิดที่กระทำเช่นนี้ ลูกยอมรับคำว่า “อกตัญญู”
แต่ท่านทั้งสองจงไว้เถิดว่า ทางที่ลูกกำลังเดินอยู่นี้เป็นทางอันยิ่งใหญ่
เป็นทางที่พระอริยะและเหล่าโยคีทั้งหลายกำลังเดินอยู่ ลูกจะทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ” เขาตอบด้วยน้ำตานองใบหน้า

มืออันบอบบางทั้งสองข้างของธากีณีฉุดเขาไว้ ดวงตาที่เอ่อนองด้วยน้ำตาจ้องมองด้วยอาการวิงวอน
หัวใจนางคล้ายดั่งจะหลุดลอยไปกับน้ำตาที่หลั่งริน ปากยังคงพร่ำรำพัน
“ธากีณี….มีอันใดที่ทำให้ไม่เป็นที่พึงปรารถนา เป็นสตรีที่อัปลักษณ์หรือไร
คงเป็นเพราะบาปกรรมแต่ปางก่อนจึงทำให้พี่ท่านต้องหลีกหนี หมดอาลัยใยดี
ทำให้ธากีณีนี้ต้องครองชิวิตกินแต่อัสสุชลนับแต่เมื่อรู้ว่าท่านพี่จากไป
เอาเถิด…แม้ไม่เห็นแก่น้อง ก็ควรเห็นแก่พ่อแม่ทั้งสอง….” นางยิ่งกล่าวน้ำตายิ่งไหลพราก
“?!?”

คำ “อภัยให้ข้าด้วยเถิด” ไม่อาจเปล่งผ่านลำคอออกมาได้

“ท่าน…ท่าน….ท่าน” เสียงเรียกดังขึ้นอีก มือทั้งสองของนางจัดแขนเขาไว้แน่น ในที่สุดมันรู้สึกไม่อาจขยับเขยื้อนได้
“ปล่อยข้าไปเถิด” ทินเล่กล่าวขอร้อง…ก่อนที่มันจะลืมตาขึ้น
ใบหน้าที่มันเห็นนั้นหาใช่พ่อแม่และธากีณีไม่ แต่กลับเป็นสตรีที่เขาไม่รู้จักนางหนึ่ง
“พวกเราหาได้กักขังหน่วงเหนี่ยวท่านไว้ไม่ รอท่านหายเป็นปกติค่อยไปเถิด” นางกล่าวคล้ายกลัวความผิด
“นี่ข้าพเจ้า….”
“ใช่…ท่านนอนกองอยู่ในซอกหิน หาไม่แล้วท่านอาจกลิ้งตกไปไกลกว่านี้และอาจ…..”
นางไม่กล่าวคำอัปมงคงต่อไป “ดีที่จามรีตัวหนึ่งของเราไปทางนั้น เราตามไปจึงพบท่านนอนสลบอยู่ สองวันแล้วที่ท่านนอนไม่รู้สึกตัว เอาแต่ละเมอให้เราปล่อยท่าน” นางเล่าเหตุการณ์ให้ฟังเสียยืดยาว พร้อมกับตัดพ้อเล็กน้อย
“ไม่ต้องกังวลหรอก เราย่อมไม่หน่วงเหนี่ยวท่านไว้แน่ และยิ่งกลัวท่านจะทอดทิ้งเหมือนทำกับผู้อื่นมา”
ทินเล่…พลันรู้สึกว่าตนคงเพ้อเรื่องราวออกไปมากมาย ทำให้นางกล่าวเช่นนั้นได้
อย่างน้อยในยามที่นางตัดพ้อ กล่าววาจาเหน็บแนม ทำให้มันพบเห็นความเป็นสตรีของนางเด่นชัดขึ้น
ความจริงในยามที่สตรีเง้างอน ใยมิใช่ทำให้นางน่ารักขึ้นเล่า!!

บุรุษใดไม่พอใจการเง้างอนของสตรี
แสดงว่ามันใกล้จะเป็นสตรีเข้าไปแล้ว
และบุรุษใดไม่เข้าใจธรรมชาติข้อนี้ของสตรี
น่ากลัวมันย่อมมีชีวิตไม่ยืนยาวนัก….

(อ่านต่อตอนที่ ๔)