วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

BV 4M ทฤษฎีสร้างวัฒนธรรมไทย

แผนพัฒนาวัฒนธรรมด้วยปณิธานพระโพธิสัตว์








ทฤษฎี BV 4M เป็นทฤษฎีที่ได้จากการทำ SWOT วัฒนธรรมไทย จึงขอเสนอแนวทางพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมไทยด้วยหลักปณิธาน ๔ ของพระโพธิสัตว์

KEYWORDS


BV = Bodhisatva Vows หมายถึง ปณิธาน ๔ ของพระโพธิสัตว์
CM = Compassion Management หมายถึงการใช้หลักจิตอาสา ช่วยเหลือด้วยจิตกรุณาต่อสรรพสัตว์ถ้วนหน้า
KM = Knowledge Management หมายถึง การศึกษาหาความรู้ที่ถูกต้อง และใช้ความรู้นั้นเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาตนและสังคม
EM = Emotion Management หมายถึง การจัดการอารมณ์ที่ควบคุมด้วยกิเลสด้วยการพิจารณาให้เห็นความเป็นจริง ละความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์
TM = Target Management หมายถึง การจัดการเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้อง เป็นระดับ คือ เป้าหมายปัจจุบัน เป้าหมายอนาคต และเป้าหมายสูงสุดโดยการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ในรูปแบบการบรรลุ ๓ มิติ คือ มิติอนุพุทธะ มิติปัจเจกพุทธะ และมิติสัมมาสัมพุทธะ



มีคำอธิบายทฤษฎี ดังนี้
๑. ต่อวัฒนธรรมด้านคติธรรม ให้ใช้ฐานศรัทธาจริตของคนไทยมาเป็นประโยชน์ โดยการเพิ่มระดับของสื่อและการประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจถึงศรัทธาที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่เป็นเพียงระดับหนึ่งของการสร้างสรรค์สังคม ทำให้สังคมรู้จักหวั่นเกรงต่อสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผล ต้นไม้ใหญ่จะได้หลงเหลือเพราะเชื่อว่ามีรุกขเทวดา ป่าดอนปู่ตา ก็จะเหลือเพราะเกรงผีจะทำร้าย แต่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งใดให้ได้หวั่นเกรงอีก



๒. วัฒนธรรมด้านวัตถุธรรม สิ่งก่อสร้างใดๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ด้านประติมากรรม และจิตรกรรม สร้างแบบมีความหมายทางจิตวิญญาณระดับสูง เป็นไปตามปรัชญามหายานไม่ว่าจะเป็น เจดีย์ ๔ เหลี่ยม หรือ ๘ เหลี่ยม เจดีย์ทำเป็นดอกบัวซ้อน บัวสี่กลับ ดอกบัวใหญ่ ประดับอลังการ เจดีย์ที่สร้างพระพุทธรูปล้อมรอบ แล้วมีกรุตรงกลาง หรือเจดีย์ ๓ ยอดบนฐานเดียวกัน ห้ายอด หรือ เก้ายอด เจดีย์แบบพระปรางค์ มีความหมายทางสัญลักษณ์ศาสตร์ชั้นสูง มิใช่สร้างอย่างไร้ความหมาย หรือเอาประโยชน์เป็นหลักแต่ไร้จิตวิญญาณ ไร้เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม

๓. ต่อวัฒนธรรมด้านเนติธรรม ใช้กรอบแห่งเงื่อนไขทางศิลปวิทยา วิชชาความรู้ เวทมนต์ อาคม เครื่องรางของขลังเป็นสื่อ แต่แฝงเงื่อนไขทางเนติธรรมไว้ให้สังคมดูแลสังคม ใช้กรอบความเชื่อในจารีตประเพณีอันถูกต้องมาเป็นเครื่องยับยั้งชั่งใจ ไม่กล้าทำผิดเพราะเกรงเภทภัยแต่ตนและสังคม มิใช่ใช้กฎหมายมาเป็นกรอบแต่คนไม่ได้เข้าใจกฎหมาย กฎหมายจึงกลายเป็นเครื่องมือทำผิดของผู้ดูแลเสียเอง

๔. ต่อวัฒนธรรมด้านสหธรรม เป็นการสร้างความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กันในสังคม ตามหลักของทิศ ๖ เป็นการปฏิบัติต่อกันภายใต้กรอบแห่งการทำ พูด คิดด้วยความเคารพรัก แบ่งปันเกื้อกูลกัน ร่วมกันรักษาหน้าที่ ร่วมกันสร้างสรรค์สังคม
เนื้อทางวัฒนธรรมทั้ง ๔ ด้านนี้ นำเข้าสู่กระบวนการจัดการตามทฤษฎี “BV 4M” (Bodhisatva Vows in 4 Managements)
CM ใช้จิตอาสา ช่วยเหลือด้วยจิตกรุณาต่อสรรพสัตว์ถ้วนหน้า
KM ใช้หลักวิชาความรู้ที่ถูกต้อง
EM ขจัดอารมณ์ขุ่นหมองและเป็นปฏิปักษ์ต่อการพัฒนาสังคม
TM กำหนดเป้าหมายให้ถูกต้อง เป็นระดับ


เมื่อนำทฤษฎีนี้ไปใช้จะทำให้วัฒนธรรมไทยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี เป็นการสร้างโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่เหมาะสมกับภูมิหลังและลักษณะนิสัยของคนไทย



(รายละเอียดติดตามวารสารบัณฑิตศาส์น มมร ฉบับต่อไป)






วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๑๑)





ศิลาทรายเหลืองสูงประมาณสิบเชี๊ยะพิงอยู่กับหน้าผา
ก้อนศิลาที่ไร้ความหมายบัดนี้เริ่มกลายมาเป็นรูปลักษณ์อันทรงคุณค่ายิ่งแล้ว
เสียงกระทบระหว่างแท่งเหล็กแกะสลักกับก้อนศิลา
สะท้อนก้องไปในอากาศ เสียงนั้นยังก้องอยู่ในโสตประสาท แม้บัดนี้จะไม่มีเสียงกระทบแล้วก็ตาม


ริมพระโอษฐ์ล่างหนากว่าริมพระโอษฐ์บนเล็กน้อยรับกันจนปรากฏเป็นรอยยิ้มที่เอิบอิ่มคล้ายดั่งรอยแย้มแห่งมหาเมตตาที่ประทานแด่สรรพสัตว์ทั่วหล้า ฉะนั้น
พระเกศาขมวดสูง ผ้าโพกพระเกศามีสายสร้อยประดับรัดไว้
ระหว่างกลางผ้านั้นมีรูปพระธยานีอมิตาภพุทธะประทับนั่งสมาธิอยู่
เหนือพระนลาฏะเป็นแนวอัญมณี ลักษณะพระขนงเป็นเกลียว
มีพระอุณาโลมจรดกันขอบพระเนตรบนสูง
พระหัตถ์ซ้ายทรงถืออัษมาลา และกมัณฑลุ
พระหัตถ์ขวาทรงถือบัวชมพูที่กำลังเบ่งบาน ผ้าคลุมพันรอบพระอังสะ
ผ่านไปที่ท่อนพระหัตถ์ซ้าย ส่วนผ้าปริธาณ (ผ้านุ่ง) พันผ่านจากด้านหนังมาสู่ด้านหน้า
แล้วสอดไว้ที่ประคตมีชายผ้าห้อยลง
ปลายด้านหนึ่งงอนคล้ายดั่งปลิวขึ้น
พระบาทซ้ายน้ำคู่เข้าส่วนพระบาทขวาห้อยลงเกือบถึงพื้น

เหงื่อบนใบหน้าของมันไหลผ่านร่องแก้มเข้าไปในปาก
รสเค็มของเหงื่อทำให้มันคลายสายตาที่เพ่งมองรูปสลักที่มันใช้พลังศรัทธาผสมความพากเพียรพยายามกระทำจนเกือบจะเสร็จสิ้น เหลือเพียงแต่เทพยดาน้อยสองตนด้านข้างเท่านั้น
ฝ่ามือที่เคยบอบบาง บัดนี้หยาบกร้านบางนิ้วยังมีคราบเลือดและเป็นสีศิลาทรายเหลืองที่แห้งติดในเล็บเพราะค้อนตีเหล็กแกะสลักพลาดมาถูกนั่นเองแต่มันก็หาได้ใส่ใจไม่

…โอ..อวโลกิเตศวรผู้เป็นใหญ่
ผู้ทรงพระเมตตา
ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์
พระองค์ประทับอยู่กลางใจผู้คน
สรรพสัตว์จะเพรียกหาพระองค์จากดวงจิต..
เสียงเพรียกพระนามของพระองค์นั้นลี้ลับ
ศักดิ์สิทธิ์ดุจเสียงฟ้าเหนือมหาสมุทร
หาสิ่งใดเสมอเหมือนมิได้…

ทินเล่รำพึงต่อพระพักตร์รูปสลักพระอวโลกิเตศวร ที่เกิดจากศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของมันเอง
คำ “ศรัทธา” บางครั้งคือขุมพลังที่เป็นประโยชน์ใหญ่ บางครั้งก็คล้ายพลังที่พุ่งไปในความมืดมนอนธกาล
แต่ธรรมชาติของศรัทธามักสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้ปรากฏแก่โลกเสมอ

ขอเพียงปักใจแน่วแน่และมานะฝึกปรือ
แม้แต่ฟ้าก็ยังหลีกทางให้
“ในที่สุดเจ้าก็พิสูจน์ความตั้งใจของเจ้าให้ปรากฏแล้ว”
เสียงที่ทรงพลังเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นเบื้องหลังของมัน
แม้มันไม่เห็นว่าผู้พูดเป็นใคร แต่มันก็ทราบว่าเสียงนี้เป็นเสียงของผู้ใด


[[[[[

เรือนไม้เล็กๆ หลังหนึ่งแทรกอยู่ในดงไผ่
บริเวณพื้นกอไผ่เตียนโล่งเหมาะสำหรับการบำเพ็ญธรรมยิ่งนัก
หน่อไผ่หลายหน่อเพิ่งจะแทงทะลุดินออกมา เพื่อสืบสานดำรงพันธุ์ของมัน
ชายผู้นั้นพามันเดินผ่านแนวไผ่ และเรือนไม้ไปอีกด้านหนึ่ง
ณ ที่นี้เป็นเรือนศิลาทรายเหลือง ดูเข้มแข็งทนทาน
สมณะหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากภายในเรือนศิลาแล้วเอ่ยขึ้น
“ประสกพาผู้ใดมาด้วย?”
“บุรุษที่เดินทางมาจากดินแดนตะวันออกผู้หนึ่ง”
“มานพน้อย เจ้ามาด้วยประสงค์ใด?”
“ยังไม่ทราบแน่ชัด” ชายผู้นั้นคล้ายนึกออกถึงการสนทนาครั้งแรกได้ จึงกล่าวคำต่อไป
“มิทราบที่นี่มีโมกขธรรมให้หารือหรือไม่ ดูเหมือนเขาจะมาเพื่อจุดประสงค์นั้น”
สมณะหนุ่มไม่กล่าวกระไรอีก ได้แต่เชิญทั้งคู่เข้าไปภายใน
โต๊ะเก่าตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง โดยมีเก้าอี้สี่ตัวล้อมรอบ ข้าฝาผนังมีภาพวาดสมณชราแขวนอยู่
เพียงครู่..สมณะหนึ่งรูปนั้นก็พร้อมกับมันต้มถั่วเหลืองถ้วยหนึ่ง
“ประสกทานนี่ก่อนเถิด” ท่านวางมันต้มบนโต๊ะ “ขออภัยด้วยที่ต้อนรับท่านด้วยมันต้มถั่วเหลือง”
“โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น นับเป็นพระคุณยิ่งแล้ว มันต้มก็ประทังชีวิตได้” ทินเล่กล่าวขอบคุณ


แท้จริงแล้ว
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ดำรงชีพได้ง่ายที่สุด
แต่มนุษย์กลับทำตนเป็นสัตว์ที่อยู่ยากที่สุด
สิ่งที่กีดขวางไม่ให้มนุษย์ได้รับสิ่งดีที่สุดในชีวิตก็คือ…
การไม่รู้จักใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
เกือบค่อนเวลาของชีวิตที่มนุษย์ใช้ไปกับการแสวงหาปัจจัยดำรงชีพ
อุทิศชีวิตเพื่อแสวงหาของเสพสนองความอยากที่ไม่จำเป็นทั้งนั้น
แทนที่จะใช้เวลาไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต

[[[[[

แรมสามค่ำ เดือนสาม
จิ้งหรีดภูเขาส่งเสียงร้องดังไปทั่วบริเวณสวนไผ่
เบื้องหลังอารามแห่งนี้เป็นหน้าผาศิลาทรายเหลืองเกือบทั้งลูก
ศิลาจากเขาแห่งนี้เป็นแหล่งที่ได้มาซึ่งวัสดุเพื่อนำไปแกะเป็นเทวรูปพระโพธิสัตว์ที่พบเห็นตามมุมถนนภายในเมืองอุทกขัณฑะ
อารามการาตะปะ เป็นเพียงอารามเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
มีภิกษุสงฆ์ภายในอารามเพียงเจ็ดรูป
เจ้าอาวาสชื่อว่า จินโตชยโฆษ อายุห้าสิบแปดปี มีพรรษาสี่สิบห้าแล้ว ท่านศึกษาตามแนวของจิตตมยมาตรสิทธิ (โยคาจาร)
ทินเล่ใช้ชีวิตอยู่ในอารามแห่งนี้เพื่อพิสูจน์ตนเอง
บทพิสูจน์ของมันคือการไปที่เชิงผาเพื่อแกะสลักรูปพระอวโลกิเตศวรองค์หนึ่ง
ชายที่นำมันมาคือผู้ที่ถ่ายทอดศิลปะการแกะสลักให้
กล่าวกันว่า การแกะสลักเป็นการฝึกความแข็งแกร่งของพลังนิ้วมือประการหนึ่ง
นิ้วมือทุกนิ้วมีส่วนเชื่อมต่อกับอวัยวะภายในร่างกาย
นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือสร้างเสริมพลังสมองช่วยให้ตัดสินใจว่องไว
ส่วนนิ้วกลาง นิ้วนางและนิ้วก้อยนั้นเสริมสร้างความปราดเปรียวฉับไว คล่องแคล่วให้กับร่างกาย
จอมยุทธ์มากมาย มักมีความชำนาญในการใช้นิ้วมือของตนไปตามแขนงศิลปะหลายประการ
เช่น ดีดพิณ วาดภาพ แกะสลัก เขียนอักษร เป็นต้น
เพราะนั่นคือแนวทางแห่งการฝึกปรือพลังนิ้วของตนนั่นเอง

หกเดือนสิบสองวันที่ทินเล่ทุ่มเทชีวิตเพื่อรูปสลักพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรองค์นี้
พระองค์งดงามตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
มันพรางเปล่งเสียงรำพึงที่ออกมาจากเสียงเพรียกจากดวงจิต....
เมื่อเสียงรำพึงหยุดลง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

[[[[[

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๑๐)

ผู้คนที่อุทกขัณฑะออกมาต้อนรับเหล่านักรบผู้กล้าของตน
บ้างดีใจที่ยังพบบุคคลที่ตนร่ำลา
แต่มีบางคนเปล่งเสียงร่ำไห้เมื่อบุคคลที่ตนรอนั้นไม่มีโอกาสได้ทักทายกับตนต่อไป
เรื่องราวเช่นนี้ ยังคงมีอยู่คู่โลกใบนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

บ้านเรือนล้วนสร้างด้วยอิฐทรายแดง แข็งแรงทนทาน
ทินเล่ ปลีกตัวไปจากกองทหาร มันสังเกตว่า
ผู้คนที่นี่มีร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้ามีเคราดกหนา
ดวงตาโปนโต รับกับขนตาที่งอน ดวงตามีสีน้ำตาล
จมูกโด่งเป็นสัน ทั้งที่เป็นชายก็ยังมีลักษณะอันน่าเกรงขามยิ่ง
ลักษณะเช่นนี้คล้ายดั่งรูปนักปราชญ์ในตำนาน หรือไม่ก็เป็นเชื้อสายของพระเจ้ากนิษกะเป็นแน่

มันเดินมาไกลยิ่งแล้ว ไกลจนเกือบถึงอีกด้านหนึ่งของตัวเมือง
แพะสามสีตัวเดินเหยาะย่างผ่านหน้ามันไปอย่างสบายใจ
สิ่งที่มันพบอีกประการหนึ่งก็คือ
ทุกหนทุกแห่งจะมีรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ประจำอยู่ทุกมุมกำแพงถนน
เยื้องป้อมหนึ่งไปมีสวนไผ่เรียงรายดูเป็นระเบียบอย่างยิ่ง
มันอดคิดไม่ได้ว่า ที่ผ่านมานั้นคือดินแดนนรก
บัดนี้มันได้เข้ามาสู่ดินแดนเทพเจ้าแล้ว

[[[[[

















ความร่มรื่นของธรรมชาติมักช่วยย้อมจิตใจผู้คนให้เยือกเย็นลงได้
ผู้ใดเข้าใจธรรมชาติ
ไม่แยกตนออกจากธรรมชาติ
ชื่อว่าย่อมบรรลุแก่นแท้ของธรรมชาติ
และเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง
เฉกเช่นดี ชั่ว
หากผู้ใดภายในใจยังแยกแยะมีดีมีชั่ว
ก็ยังไม่ชื่อว่าบรรลุถึงแก่นแท้สัจธรรม
เพราะแท้จริงต้องบรรลุถึงความไม่มีทั้งดีและชั่ว ข้ามพ้นดีชั่ว
ที่ยังมีดีและชั่วเนื่องจากจิตมีความเป็นเราเป็นเขา
พระอริยะทั้งหลายเข้าถึงสภาวะไม่มีนี้เองจึงหลุดพ้นได้



สายน้ำในลำธารไหลรินคละเคล้าโคลนตม
สายฝนโปรยปรายลงจากก้อนเมฆเบื้องบน
ถ้ายังแยกแยะสายน้ำกับสายฝนก็ยังไม่เข้าถึงความจริงแท้
ก็เพราะสายน้ำกับสายฝนคือสิ่งเดียวกันเพียงแต่ต่างสถานะเท่านั้น

ทางสายเล็กๆ ราบเรียบทอดยาวไปตามแนวไผ่ เสียงไผ่เสียดสีกอกลายเป็นเพลงธรรมชาติ
ชีวิตที่พ้นจากความทุกข์ยากมาได้ย่อมพบกับความเบิกบาน น่าภาคภูมิใจอยู่บ้าง สมควรที่ผู้คนควรอดทนให้ถึงวันนั้น



รางวัลสำหรับผู้อดทน ดิ้นรน ต่อสู้
มักน่าภาคภูมิใจยิ่ง หอมหวานเสมอ
หากผู้คนเพราะพันธุ์ความอดทนลงในตัวเอง
ในที่สุด…เขาจะเก็บเกี่ยวผล
ของความสำเร็จภายหลัง


ในขณะที่ทินเล่ชื่นชมธรรมชาติและยังไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป
“เจ้ามาจากดินแดนตะวันออกหรือ?”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง มาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เอ่ยวาจาขึ้น
“ท่านเคยไปที่นั่น?” ทินเล่หันไปตามเสียงนั้น พร้อมกับตั้งคำถามแทนคำตอบ
“ไม่เคย” ชายผู้นั้นมีท่าทีเฉยๆ รักษาสีหน้าไว้เป็นปกติ “แม้ข้าไม่เคยไปที่นั่น แต่เมืองของเราก็มีพ่อค้าหลายคนมาจากดินแดนตะวันออก” เขาหยุดนิดหนึ่ง คล้ายดั่งสังเกตดูทินเล่ พร้อมกับเอ่ยขึ้นอีก “เจ้ามาค้าขายที่นี่หรือ?”
“หามิได้” ทินเล่บอกจุดประสงค์ของตนเอง ซึ่งมันไม่เคยปิดบังเพราะนั่นคือปณิธาน “ข้าเดินทางหลายพันลี้มาก็เพื่อศึกษาทางแห่งโมกขธรรม”
“เอาเถอะ….ไม่ว่าเจ้าจะมาเพื่อจุดประสงค์ใด แต่ข้าก็เชื่อว่าเจ้าต้องทานอาหาร”

เขากล่าวความจริงอย่างยิ่ง
ไม่ว่ามนุษย์จะยิ่งใหญ่ปานใด
จะมีปณิธานยิ่งใหญ่ปานใด
แต่มนุษย์ก็ไม่อาจไม่กินอาหาร
มันไม่รู้จักชายผู้นี้มาก่อน
แต่ตอนนี้มันกำลังเดินตามเขาไป
ชายผู้นั้นเดินอ้อมสวนไผ่ไปอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองเดินห่างออกไปจากตัวเมือง
เสียงน้ำในลำธารไหลเอ่ยๆ ด้านล่าง ลมสายัณหกาลพัดเบาๆ
เสียงสดใสไพเราะของธรรมชาติฟังคล้ายเทพธิดากำลังกรีดพิณโบราณบรรเลง
ฟังแล้วสามารถกล่อมเกลาจิตใจให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลได้ไม่น้อย
ทั้งสองข้ามสะพานไม้เก่าๆ ไป


เบื้องหน้าเป็นหน้าผาหินทรายเหลือง มองดูดุจดังเป็นที่สุดสิ้นขอบโลกเด่นตระหง่านขวางกั้น
ทั้งสองหยุดที่ประตูโบราณแห่งหนึ่ง