วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552
เชิงผาลู่ซัว
หมอกบางเบากระทบหลิวลู่ซัว
หอน้อยเก่าแก่ริมทางบุราณ
จิตใจมุ่งมั่นหวังแต่ความสงบเย็น
ยืนในหอริมทางดูหมอกสลาย
ป้ายไม้สองแผ่นตอกติดไว้ที่ด้านหน้าหอเก่าแก่ ข้อความดูเลือนลางอย่างยิ่ง
คราบหมึกที่ถูกแดดฝนกะเทาะออกมาเป็นเกร็ด
กระนั้นก็ยังพออ่านได้ความหมาย
ผู้เขียนจะเป็นผู้ใดก็ตาม จิตใจขณะเขียนย่อมเป็นผู้ใฝ่หาความสงบ
ดั้นด้นมาถึงเชิงเขาแห่งนี้เพียงเพื่อแสวงหาสัจธรรมอันจีรัง
คนผู้หนึ่งยกน้ำในกระบอกไม้ไผ่ขึ้นดื่มขณะที่ถึงหอน้อยแล้ว
หมอกใกล้อาทิตย์อัสดงเลื่อนลอยคล้ายดั่งฟองคลื่นของทะเลสวรรค์
เชิงเขาสูง………
เสียงระฆังดังแว่วมา
เสียงลมหายใจพ่นออกจากปากอย่างหนักหน่วงดุจเสียงรังสูบกระบี่ เป็นเสียงลมหายใจที่บ่งบอกถึงความโล่งใจอย่างยิ่ง
รุ่งอรุณแสงสุริยาเรืองรอง
นกกางเขนคู่หนึ่งบินตัดขอบฟ้าไปทางทักษิณ
ณ หมู่บ้านลกเอี๋ยง
วิถีชีวิตของคนยังเป็นดั่งเช่นเคย บ้างถือตะกร้าเพื่อเก็บพืชผล บ้างถือจอบออกไปสู่ท้องทุ่ง บ้างถือถุงเก่าๆ เก็บเห็ดป่า
กี่มากน้อยปี กี่มากน้อยชีวิตที่ดำรงอยู่เช่นนี้ก่อนลาโลกไป
งานเลี้ยงชีพจึงกลายเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก พวกเด็กๆ เดินข้ามสะพานไปยังอารามเทียนเว่ยเพื่อเรียนหนังสือ
วิถีชีวิตอันเรียบง่ายเช่นนี้ยังมีส่วนให้น่าหลงไหลอยู่ไม่น้อย
ขึ้นสามค่ำเดือนสิบเอ็ด
สายแล้ว….
เมฆฝนตั้งเค้าอีกครา
ธรรมชาติทำหน้าที่ของมันอย่างไม่บกพร่อง
สายมากแล้ว…
ฝนเริ่มโปรยปรายยังคงตกมาหล่อเลี้ยงพืชผลและข้าวกล้าในนา ฝนที่มาในวสันตฤดูคล้ายดั่งเบื้องบนเป็นทะเลใหญ่ที่จะหลั่งไหลมาอย่างไม่มีวันหมด
ซือเยี๊ยะกวงยืนที่ระเบียงบ้านมองดูสายฝนคล้ายดั่งต้องการให้สิ้นชิวเทียนเร็วๆ นางเป็นดังเทพธิดาน้อยที่อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น รองเท้าไหมที่รองรับเท้าที่ขาวสะอาด ปกคลุมมาถึงเรียวเท้าที่กลมกลึงไร้ตำหนิใดๆ ของนาง นั่นนับว่าเป็นสมบัติอย่างยิ่งของสตรี
น่าเสียดายที่นางไม่ใส่ใจกับสรีระของตนนัก อีกทั้งไม่ร่าเริงแจ่มใสดังสตรีแรกรุ่นทั่วไป
บิดานางเป็นข้าราชการดูแลความสงบอยู่ ณ มณฑลนั้น ทำให้ซือเยี๊ยะกวงเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายและมีบ้างที่ส่งผู้ใหญ่มาทาบทาม
พลังสองกระแสเกิดขึ้นภายในจิตใจของนาง นี่คือสัญชาตญานเพียงสิ่งเดียวที่มนุษย์มีเรียกว่า “เหตุผล”
สายน้ำที่ลำธารไหลผ่านโขดหินแตกเป็นฟองขาวสะอาด ลมหอบละอองน้ำปลิวกระทบเกาะใบหน้าอันบอบบางขาวนวลของนางเป็นดังหยดน้ำค้าง ยิ่งทำให้ซือเยี๊ยะกวงชอบลำธารสายนี้ยิ่งนัก
สาวน้อยนั่งที่เก๋งริมธารข้างอารามเทียนเว่ย
กระแสธารบ่งบอกเรื่องราวมากมาย
ชีวิตของผู้คนก็คือสมุดพงสาวดารเล่มหนึ่ง
ในยามที่มีโอกาสอยู่เพียงลำพังริมลำธารที่สงบเย็น ผู้คนจึงเข้าใจตนเองมากขึ้น
มันคือสัจธรรมของชีวิตที่มีแต่ความเปลี่ยนแปลง
ชีวิตก็เหมือนสายน้ำที่ไหลริน
ยากยิ่งที่จะบังคับควบคุม
ไม่มีสิ่งใดบังคับควบคุม
ผู้เข้าใจสัจธรรมนี้ย่อมมีชีวิตงดงามดังอริยชน
(อ่านต่อในเรื่องสั้นปุ๊ซินเนี่ยน)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)