ชีวิตแบบเทพ (ทฤษฎีเทพ)
อยากจะแสดงให้รับทราบว่า มนุษย์สามารถเอาอย่างและดำรงชีวิตแบบเทพได้ ไม่ควรลดตัวลงแค่เป็นคน คือ ชอบของเหม็น
การดำรงอยู่แบบเทพ ก็เพียงแค่ มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปทั้งมวลเพียงเท่านี้ก็เริ่มขยับฐานะแห่งมาตรฐานชีวิตจากคนขึ้นสู่มนุษย์และจากมนุษย์ขึ้นสู่ขั้นเทพได้ทันที
ไม่เพียงแต่การเอาอย่างเทพในเรื่องคุณธรรมเท่านั้น แม้กระทั่งการมีคู่ชีวิตก็ควรยึดแนวตามทางแห่งเทพได้
ก่อนอื่นให้เข้าใจก่อนว่า ปัจจุบันนี้ สังคมได้ถูกทำให้บิดเบี้ยวไปตามความเข้าใจของกรอบศาสนาบางศาสนาเท่านั้น แล้วยัดเยียดแนวคิดของศาสนาที่ไม่ได้เข้าใจชีวิตมนุษย์ที่ปราศจากตัวตน (Ego) เป็นความคิดของคนที่เต็มไปด้วยการยึดมั่นถือมั่นแบบสุดโต่งเลยทีเดียว โดยระบุไว้ว่า ชีวิตของชายหรือหญิงต้องมีคนรักเพียงเท่านั้นคน เท่านี้คนจึงจะเป็นคนดีตามกรอบศาสนา ถ้าไม่เป็นดังนั้นก็จะถูกประณามทันที เหมือนดังการระบุว่า ทุกคนต้องทานขนมปังแทนข้าวจึงจะดี ถ้าไม่งั้นก็ใช้ไม่ได้ในสายตาของศาสนานั้น
ที่ยิ่งหนักไปกว่านั้น สังคมได้นำชีวิตความรักไปผูกไว้กับกระดาษใบหนึ่งเรียกว่า ใบทะเบียนสมรส ใบที่กฎหมายรับรอง เสรีภาพในชีวิต ความรัก ความไว้วางใจกลับถูกกำหนดด้วยกระดาษแผ่นนี้ นี่เป็นชีวิตมนุษย์ประเภทไหนกัน บางครั้งไม่ได้รักกันเลยแต่เป็นเพราะกระดาษแผ่นนี้ การประกาศตนต่อสังคมที่เรียกว่า แต่งงาน ทุกอย่างได้จบลงตรงนั้น ชีวิตหยุดเจริญเติบโตนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
สังคมได้ระบุไว้ว่า ความรักมีได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นี่เป็นความรักของสัตว์ประเภทไหน มีมากกว่านี้จะถูกสังคมและความรู้สึกของคนๆ นั้นที่ถูกสังคมสั่งสอนมาให้รับรู้เช่นนั้นประณามทันทีว่าเป็นคนไม่ดี สุดท้ายชีวิตความรักของคนในสังคมนี้ก็ถูกดองไว้ ทำให้เป็นพลาสติกไว้ ไม่อาจงอกงามได้ ใครที่ทำตนเคลือบไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สวมหน้ากากได้อย่างเนียน แสดงบทบาทคุณหญิงได้เนียน จะได้รับการยกย่องจากสังคม นี่เป็นการ Starve ชีวิตไว้อย่างน่าสลดหดหู่ที่สุด ชีวิตและความรักของคนได้นำขึ้นทะเบียนให้เป็นไปตามความคิดของสังคมกำหนด โดยเฉพาะสังคมที่เรียกว่า สังคมถูกเด็ดปีกตั้งแต่เกิดหรือสังคมหมาหางด้วนตั้งแต่เกิด พวกเขาจะสรรเสริญผู้ที่เชื่อฟัง แต่จะประณามผู้ที่ขัดขืน
มาดูสังคมของเทพ เทพนั้นเป็นสังคมที่ได้อะไรมาก็ได้ด้วยบุญ (การกระทำของตน) ไม่ได้รอให้ใครมาบอกหรือมาแบ่งให้ ไม่ว่าจะเกิด ดำรงอยู่ และสิ้นอายุไขไป ก็เป็นไปตามบุญของตน เป็นไปตามการกระทำของตน มีอิสระที่จะตัดสินใจ เทพบุตรตนหนึ่งจะมีความรักถ้วนหน้า ไม่รักเฉพาะเทพธิดาคนเดียว เทพธิดาก็ไม่ได้เกิดความคิดแม้สักนิด ถ้าหากจะมีเทพธิดาอื่นมารักเทพบุตรตนนั้น แต่กลับยินดีกับเทพธิดาตนนั้นที่มีโอกาสได้มาอยู่กับเทพบุตรที่มีบุญมาก บ่งบอกถึงบุญญาบารมีของเทพบุตรตนนั้น ความรักจึงเบ่งบาน ทุกคนเบ่งบาน สังคมเบ่งบาน ไม่ต้องนำไปผูกไว้กับความคิดของใคร ศาสนาของใคร
ในทางกลับกัน ถ้าหากเทพธิดาตนไหนต้องจากไป กลับเสียใจที่เธอหมดบุญเสียแล้ว ก็ยังแนะนำอีกด้วยว่า ถ้าเป็นไปได้ขอให้ทำบุญเพื่อที่จะได้มาอยู่ด้วยกันอีก นี่คือสังคมของเทพ เป็นสังคมอิสระตามกรรม ตามความคิดของตน ไม่ต้องนำไปผูกไว้กับกระดาษ หรือกับกระแสสังคมที่ต้องการและไม่ต้องการให้สิ่งใดเจริญงอกงามตามที่อัตตากำหนด
ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว การหย่าร้าง การยิงรันฟันแทง การหึงหวง การตบตี การแย่งชิงรักหักสวาทก็ไม่เกิด ปัญหาทุกอย่างจะจบลงทันที นี่ไม่ใช่เป็นการพูดเพราะเห็นแก่ได้ของพวกผู้ชาย เพราะนั่นเป็นอิสระของทุกคน เมื่อไม่มีบุญต่อกัน ก็ไม่ต้องบังคับให้เสียเวลา จะมาหรือจะไปทำตามอิสระ ตามบุญของตนได้เลย ต่างฝ่ายต่างเข้าใจในบุญกุศลของกันและกันอย่างนี้ทุกอย่างก็จบ นี่เป็นสังคมของเทพ ทุกคนพบกัน รักกันและกัน ตามเวลาและโอกาสที่มาถึง
มันช่างเป็นสิ่งที่น่าเกลียดและสลดหดหู่ ถ้าผู้ชายและผู้หญิงร่วมรักกับคนที่ตนเองไม่ได้รัก เพียงแต่สามีและภรรยาได้ทำหน้าที่ต่อกันและกันให้สำเร็จเท่านั้น ทำไมเขาร่วมรักกับภรรยาของตนแต่ใจกลับคิดถึงคนอื่น ผู้หญิงก็เช่นเดียวกัน นี่มันเป็นสังคมคนบ้าที่สร้างกันขึ้นมา ถ้าไม่รักกัน อย่างน้อยก็ในฐานะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน บอกตรงๆ มันง่ายและก็สวยงาม แต่ปัจจุบันนี้มันจบลงแล้ว
ถ้าหากใช้ระบบสังคมเทพ ก็จะไร้ปัญหาอื่นๆ ที่จะเกิดตามมาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโสเภณี ความเครียด โรคจิต นอกจากนั้น ลูกๆ ที่เกิดถือว่าเป็นความรับผิดชอบของสังคม ไม่ใช่ความรับผิดชอบของครอบครัว สังคมเทพจะดูแลกันและกันในที แต่จะไม่ก้าวก่ายกัน จะบอกเหตุให้ทุกคนทำ ถ้าเหตุดี ผลก็จะดี ถ้าเหตุไม่ดี ผลก็จะไม่ดี ก็เท่านี้ ถ้าเขาทำไม่ดี ก็ต้องตกไปสู่ระดับอื่น ไม่สามารถอยู่ตรงนั้นได้ก็เท่านั้น
ดูอย่างที่นางสุชาดา ภรรยามฆมานพตอนเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งพระอินทร์บนสวรรค์ ตอนที่เขาทำเหตุคือ สร้างถนนหนทางร่วมกันในตอนเป็นมนุษย์ แต่ตนเองไม่ทำ มัวแต่แต่งหน้าทาเล็บ พอสิ้นชีวิต ภรรยาคนอื่นๆ ก็ได้ไปเกิดร่วมกันบนชั้นดาวดึงส์ ขาดแต่นางสุชาดาเท่านั้นที่ไปเกิดเป็นนกกระยาง ท้าวสักกะต้องไปบอกเหตุคือ ให้รักษาศีลในวันอุโบสถ งดกินปลาเป็น พอทำได้ก็ไปเกิดแดนสวรรค์ได้
ควรมาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ หันมาสร้างสังคมเทพกันเถอะ เพราะความไม่ไว้วางใจกัน เพราะความไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ เพราะมีการเพาะบ่มในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข พ่อแม่ต้องใช้เวลาสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้กับสังคม ไม่ใช่ใช้เวลาทั้งหมดของชีวิตเพื่อสร้างอนาคตให้ลูก แต่ว่า ความเข้าใจผิดของผู้นำที่สอนไม่ถูกต้อง กลัวเด็กจะก้าวไกล กลัวสังคมจะเจริญมากไป จึงต้องสอนให้เด็กสูญเสียความเข้าใจถูกตั้งแต่เริ่มต้นจากครอบครัว นี่คือความน่าเสียดายของมนุษยชาติ
ลองนึกภาพสิว่า ถ้าหากเด็กเหล่านั้นเป็นความรับผิดชอบจากสังคม เด็กๆ จะต้องทุ่มเทตนเองให้กับสังคม เพราะเขาได้รับความรักจากสังคม ได้รับความอบอุ่นจากสังคม ทุกคนหันหน้าไปทางไหนก็พบแต่ญาติของตน อย่างนี้จะทำให้สังคมของมนุษย์เจริญก้าวไกลไปแค่ไหน ทุกคนรับผิดชอบในสังคมแบบช่วยกันทำเหตุ ไม่ยึดเทพธิดาใดเป็นสมบัติของตน ทุกคนเป็นสมบัติของกันและกัน มีอิสระต่อกันและกัน
สิ่งที่บดบังความคิดนี้ก็คือ ความหวาดระแวงกันและกันที่ถูกเพาะเชื้อไว้ในใจที่เกิดจากการสอนที่ผิดๆ คนจึงรับไว้ คำสอนเหล่านี้ส่งเสริมให้อัตตาเจริญงอกงาม เป็นไปไม่ได้ที่อัตตาจะยินยอมให้ใครต่อใครสูญเสียอัตตาไป มันต้องสร้างเสริมอัตตาให้มากจึงเป็นงานที่ตรงกันข้ามกัน
นี่คือ ชีวิตตามแนวทางแห่งเทพ พระพุทธศาสนาเมื่อกล่าวถึงชีวิตคู่แล้วจึงไม่ได้กำหนดว่าทุกคนต้องมีคู่ครองเท่านั้นคน เท่านี้คน หรือต้องให้ยึดถือไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เพียงแต่ให้แนวทางไว้ว่า จะต้องไม่แย่งชิงมาจากบุคคลอื่นที่เขารักที่เขาดูแล ที่เขาไม่ยินยอมพร้อมใจ และที่มีอยู่แล้ว ก็ยินดีในสามีภรรยาของตน (สทารสันโดษ) ถ้าหากเขาหมดบุญจากเราก็ไป ถ้าใครมีบุญกับเราก็มา ทุกอย่างเป็นไปด้วยบุญ และด้วยอิสระทางความคิดของตน ทุกวันนี้ในความคิดของชายหรือหญิงที่เป็นสามีภรรยากันและกัน ถือเป็นสมบัติที่เป็นวัตถุอย่างหนึ่ง ใครมายุ่งมีอันต้องข้ามศพไปก่อน หรือไปยุ่งกับใครก็ต้องข้ามศพไปก่อนเช่นกัน นี่เป็นความอัปลักษณ์ของชีวิตมนุษย์โดยแท้