วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

My favorite

Now, nothing is better than the Eagle.








ชีวิตบำเพ็ญ


โศลกที่สิบสอง "ชีวิตบำเพ็ญ"

อย่าได้แยกธรรมออกจากภาระหน้าที่
การดำเนินชีวิตคือการเดินตามธรรม
วิถีแห่งพุทธะที่แท้คือการอยู่ในธรรม
จิตจะเข้าถึงธรรมได้
ก็ต่อเมื่อจิตมีแต่เมตตาต่อสรรพสัตว์
การนั่งสมาธิเป็นเพียงการฝึกธรรม

และเป็นการพักผ่อนทางจิตเท่านั้น
ลมหายใจคือธรรม
การกระทำคือธรรม
จิตที่งดงามคือธรรม
ความอ่อนน้อมถ่อมตน
การเอื้อเฟื้อเสียสละ
ชีวิตที่บำเพ็ญ
และรอยยิ้มแห่งเมตตา
นั่นต่างหากที่สื่อถึงธรรม




ความเป็นธรรมดาเป็นเรื่องที่กระทำได้ยาก เนื่องจากอัตตานั้นไม่ต้องการให้มนุษย์อยู่อย่างธรรมดา เพราะเมื่อมนุษย์อยู่อย่างธรรมดา อยู่อย่างธรรมชาติเมื่อใด อัตตาก็ไร้อาภรณ์เมื่อนั้น อัตตาที่ไร้อาภรณ์ตกแต่งเป็นอัตตาที่ไร้อำนาจ ไหนเลยจะยินยอมให้มนุษย์ทำเช่นนั้นได้ อาภรณ์ของอัตตาก็คือเงื่อนไขทั้งหลายในชีวิตนั่นเอง อาหารต้องไม่ธรรมดา เสื้อผ้าต้องไม่ธรรมดา แฟนต้องไม่ธรรมดา เพื่อนต้องไม่ธรรมดา บ้านต้องไม่ธรรมดา การเดินทางต้องไม่ธรรมดา เงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องจริงๆ ต้องไม่ธรรมดา



ความเป็นธรรมชาตินั้นเปลือยเปล่าเกินไป อย่างน้อยต้องเป็นธรรมชาติที่ไม่ธรรมดาจึงจะเป็นธรรมชาติที่แท้จริง ชีวิตของคนตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความคิด ความดำริและการปรุงแต่ง เงื่อนไขเหล่านี้เองทำให้ชีวิตของมนุษย์มีแต่สิ่งแปลกปลอมเข้ามา อัตตาก็จะใส่ความไม่ธรรมดาเข้าไป อัตตาจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตนี้จะเป็นเพียงแค่ชีวิตธรรมดา ต้องไม่ธรรมดา ธรรมชาติธรรมดานั้นคิดทำอะไรไม่ได้ นี่คือเงื่อนไข



ต้องระมัดระวัง ความอยากที่จะเป็น เพราะความอยากที่จะเป็นนี่คือสาเหตุนำไปสู่ความไม่เป็นธรรมชาติที่ธรรมดา ลองตั้งคำถามดูสิ ชีวิตที่เป็นธรรมชาติธรรมดาเป็นอย่างไร ในที่สุดก็ต้องหาคำตอบ เพราะมีความอยากก็ต้องมีการสนองความอยาก ผู้คนชอบหาคำตอบจากผู้อื่น และดูเหมือนทุกคนก็ชอบที่จะให้คำตอบ เนื่องจากทุกคนต้องการแสดงให้ใครต่อใครเห็นถึงความเป็นผู้ฉลาดของตน ยิ่งแสวงหาก็จะยิ่งไม่พบ เพราะความเป็นธรรมชาติของธรรมดานั้นไม่อาจหาได้ด้วยการนำมาเติมใส่ สิ่งที่เติมใส่นั้นเป็นของปลอมทั้งสิ้น เป็นอาภรณ์ของอัตตาทั้งนั้น


อัตตาจะยิ่งพอใจหากได้คำตอบที่ถูกใจ ยกตัวอย่างเช่น การจะกินอาหารอย่างธรรมดาทำอย่างไร คำตอบของคนไม่ทานอาหารเย็นก็จะบอกว่า ต้องไม่ทานอาหารเย็น คนที่ชอบอาหารเจ ก็บอกว่า ต้องทานอาหารเจบ้าง ต้องมังสะวิรัตบ้าง ต้องจืดๆ บ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่จะได้คำตอบมา ยิ่งคำตอบที่ได้มาจากศาสตราจารย์ ท่านจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจกับการทานอาหารที่เป็นธรรมดา เพราะเขาจะสรรหาถ้อยคำที่ไพเราะเพราะพริ้ง เคลิบเคลิ้ม น่าฟัง ทำให้น่าเชื่อว่าอาหารที่เขาบอกนั่นแหละเป็นอาหารที่ธรรมดาที่สุด แท้ที่จริงเพียงแค่การตั้งคำถามก็ทำให้ผิดทางแล้ว เป็นเล่ห์กลของอัตตาต่างหากที่ทำให้คนไม่สามารถอยู่อย่างธรรมดาได้ จึงได้ใส่ความอยากไว้ในความสงสัยเสียตั้งแต่ต้น


อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้กระทั่งสัตว์ก็สูญเสียความเป็นธรรมชาติไปแล้ว ดังคำที่เรากล่าวกันแบบเสียดสีหมาว่า “เสียหมา” ก็แปลว่า แม้แต่หมาก็ถูกความไม่ธรรมดานี้ครอบงำไปแล้ว หมาเริ่มมีท่าทีฉลาดแกมโกง และเริ่มเป็นหมาการเมืองมากขึ้น ลองไม่ให้มันนั่งในห้องรับแขกเมื่อแขกมาเยี่ยมบ้านคุณสิ มันจะทำหน้าไม่พอใจ แต่ถ้าหากมันทำอย่างนั้นมันจะไม่ได้รับความเห็นใจจากเจ้าของทันที มันจึงเก็บความไม่พอใจไว้ แต่ทำทีเป็นพะเน้าพะนอ กระดิกหาง ทำหน้าเจี๋ยมเปี้ยมใส่คุณ ทำให้คุณยินยอม นี่เริ่มเสียหมาแล้ว ไม่ใช่ธรรมชาติของหมาแล้ว หมาเริ่มเลียนแบบคนแล้ว

มีเรื่องเล่าว่า มีหญิงวัยชราคนหนึ่งชอบนั่งและนอนบนโซฟาตัวโปรดอย่างมาก เธอมักจะนั่งและนอนหลับอยู่ที่โซฟาตัวโปรดนี้เสมอ เธอมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่งที่ชอบขึ้นมานั่งที่โซฟาตัวนั้นเมื่อเธอลุกไป เธอรู้สึกเคืองเมื่อมีมันมาครอบครองที่นั่งที่นอนของเธออย่างนั้น แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะไปลากมันลงจากโซฟา เธอได้แต่ไปยืนที่หน้าต่างพร้อมกับตะโกนดังๆ ว่า แมวมาแล้วๆๆ สุนัขได้ยินเสียงก็กระโดดลงจากโซฟาวิ่งไปเห่าที่นอกหน้าต่าง อยู่มาวันหนึ่งมันเข้ามาในห้องเห็นหญิงวัยกลางคนนอนโซฟาตัวนั้นอยู่ มันก็ไปยืนที่หน้าต่างแล้วก็เห่าอย่างเอาจริงเอาจังเหมือนดังว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่นั่น สตรีวัยกลางคนจึงพรวดลุกขึ้นมาที่หน้าต่าง เจ้าสุนัขก็เดินหลบไปเงียบๆ ขึ้นไปนอนแทนเธอ

เห็นไหมว่าแม้แต่หมาก็เริ่มสูญเสียความเป็นธรรมชาติ มันเริ่มสร้างเงื่อนไขเป็น เริ่มเสริมอาภรณ์แห่งอัตตาของมันเป็น เนื่องจากการเลียนแบบคนนั่นเอง ทุกวันนี้คนได้กลายเป็นคนพลาสติกไปทุกวันแล้ว เป็นคนที่ไม่เป็นธรรมชาติไปเกือบค่อนโลก คนได้เข้าไปอยู่ภายในห้องรวมคนบ้าที่เรียกกันเสียไพเราะว่า “ตลาดหลักทรัพย์”

ไม่ว่าจะเป็น ดาวน์ โจนส์ (Dow Jones) แนสแด็ก (NASDAQ) ฟุตซี่ (FTSE) นิคเคอิ (Nikkei) ล้วนแล้วแต่เป็นที่รวมคนบ้าอยู่ จะเห็นได้ว่าวันๆ หนึ่งพวกนี้จะยกไม้ยกมือกันวุ่นเพื่อแสดงให้เห็นถึงการเล่นหุ้น ซื้อหุ้น ขายหุ้น นั่นคืออาภรณ์ของอัตตาขนานแท้ อัตตาตัวแม่เลยทีเดียว
สิ่งที่เขากระทำกันก็เพื่อเติมแต่งอัตตากันอย่างเอาจริงเอาจัง นั่นคือโรงละครแห่งคนบ้าที่แท้ เขาเหล่านั้นได้สูญเสียความเป็นธรรมชาติของคนไปแล้ว ชีวิตของเขาขึ้นลงไปตามตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์ของเขาก็ผันผวนตามดัชนีหุ้นที่ผันผวน สิ่งที่เขาต้องการก็คือตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ ชีวิตของเขาก็สูญสิ้นไปตามตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ ตัวเลขเหล่านั้นเขาสมมติกันว่าเป็นคุณค่าของชีวิต เป็นความร่ำรวยของชีวิต นี่คือความไม่เป็นธรรมชาติที่ไม่ธรรมดาของชีวิต ชีวิตที่ไม่เป็นธรรมชาติ

โศลกว่า “ลมหายใจคือธรรม” คนทั้งหลายไม่ได้สนใจลมหายใจเข้าออกที่แสดงถึงปราณ ที่แสดงถึงความมีชีวิตอยู่ ลมหายใจนี้หล่อเลี้ยงชีวิตนี้ให้เป็นไป น้อยคนนักจะเฝ้าพิจารณาลมหายใจ ลมหายใจนี่แหละเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องทำอะไร เป็นความบริสุทธิ์ เป็นธรรมดา ธรรมชาติ ชีวิตนี้เป็นธรรมชาติอย่างนี้ ธรรมชาติที่เป็นธรรมของลมหายใจ ผู้ใดเข้าถึงลมหายใจก็เข้าถึงธรรมชาติ ผู้เข้าถึงธรรมชาติก็เข้าถึงลมหายใจ ไม่ต้องมุ่งหวังอาภรณ์ตกแต่งใด เป็นความหมดจด สะอาด ธรรมชาติ ไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่หายใจเข้าและออก ชีวิตนี้ก็เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นธรรมดา ไม่ต้องคิดให้พิเศษอะไรอีก


ความเป็นพุทธะก็คือการเข้าถึงลมหายใจนี้ บริหารลมหายใจนี้ไปด้วยความบริสุทธิ์ ปราณนี้มีพลังยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่พอจะทำให้อัตตาเหี่ยวแห้งสลายไป ในลมหายใจไม่มีที่ให้อัตตาได้ประดับตกแต่งอาภรณ์ ให้ปรุงแต่ง ให้ประดับประดา ให้ไม่เป็นธรรมชาติได้ง่าย ดังนั้น ลมหายใจนี้จึงเป็นธรรมชาติ ธรรมดา และเป็นธรรมสภาวะ

แน่นอนว่า ในขณะที่หายใจก็เป็นวิถีชีวิต เป็นกิจกรรมของชีวิต เป็นความรับผิดชอบ เป็นภาระหน้าที่ เป็นการดำเนินชีวิต ทุกกิจกรรมที่อยู่ภายใต้ลมหายใจนี้จึงเป็นธรรม ไม่ต้องไปใส่ยี่ห้อว่า ลมหายใจพุทธ ลมหายใจคริสต์ ลมหายใจยิว ลมหายใจอิสลาม ลมหายใจพ่อค้า ลมหายใจประชาชน ลมหายใจนักการเมือง นายก ฝ่ายค้าน รัฐบาล เพราะลมหายใจนั้นเป็นธรรมชาติไม่ประดับประดา ไม่มีอาภรณ์ของอัตตา ผู้เข้าถึงธรรมชาติของลมหายใจย่อมเป็นธรรมชาติเดียวกัน ลมหายใจไม่ได้แบ่งชั้นวรรณะ ลมหายใจไม่มีเล่ห์กล


นักปฏิบัติธรรมหนุ่มผู้หนึ่งต้องการแสวงหาอาจารย์ที่คู่ควรในการเป็นอาจารย์ของตน เพราะอาจารย์ที่พบเห็นทั่วไปนั้นธรรมดาเกินไป เขาจึงแสวงหาอาจารย์ไปทั่วประเทศ ในที่สุดเขาก็พบอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับคนหนึ่ง เขาจึงขอสมัครเป็นศิษย์ศึกษาอยู่ที่นั่น จนแล้วจนรอดเขาไม่เห็นได้รับอะไรที่เรียกว่า พิเศษจากอาจารย์ท่านนี้เลย เขาปรารถนาที่จะได้รับอะไรที่พิเศษๆ จากอาจารย์ จนเวลาผ่านไปเกือบสองปี เขาจึงได้ไปลาอาจารย์ อาจารย์ถามว่า ทำไมไปเสียละ ไม่ศึกษาแล้วหรือ เขาจึงสารภาพว่า รู้สึกผิดหวังที่อยู่ที่นี่เป็นเวลานาน แต่ไม่เห็นได้รับฟังคำสอนอะไรที่พิเศษใดๆ เลย เป็นแต่คำสอนพื้นๆ ทั้งนั้น อาจารย์จึงได้บอกแก่เขาว่า


พุทธศาสนานั้นไม่มีอะไรที่พิเศษ ทุกอย่างมีแต่ความเป็นธรรมดาเท่านั้น ในขณะที่เธอทำความเคารพมา ฉันก็รับความเคารพเธอตอบ เมื่อเธอยื่นน้ำชามา ฉันก็รับน้ำชานั้นไว้ เมื่อเธอหิว ก็ทาน เมื่อเธอง่วง ก็หลับ นี่แหละพุทธปรัชญาหละ

นักปฏิบัติหนุ่มผู้นั้นอุทานออกมาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่า นั่นไง เป็นเพราะมีความนัยแฝงแห่งปรัชญานี้เองจึงทำให้ผมไม่เข้าใจ อาจารย์จึงรีบห้ามทันทีว่า หยุดความคิดว่าเป็นปรัชญาลงเสียบัดนี้ มิฉะนั้นก็จะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธศาสนาอีกต่อไป

โศลกว่า “การนั่งสมาธิเป็นเพียงการฝึกธรรม” คนในโลกอดไม่ได้ที่จะตกแต่งลมหายใจให้มีความพิเศษ เกินธรรมดาอยู่เสมอ อัตตาจะไม่ยอมให้คุณเข้าถึงธรรมชาติและความเป็นธรรมดาได้ง่ายๆ แม้กระทั่งในขณะนั่งสมาธิ ก็อดไม่ได้ว่าที่จะเข้าใจว่า นี่แหละที่เรียกว่า “ลมหายใจแห่งธรรม” หมายความว่า หากไม่นั่งสมาธิก็ “ไม่ใช่ลมหายใจแห่งธรรม” ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายจึงเข้าใจผิดว่า ชีวิตที่อยู่ในรูปแบบเท่านั้นที่เรียกว่า ชีวิต ชีวิตที่ไม่อยู่ในรูปแบบนั้นไม่ใช่ชีวิต


ชาวพุทธคือคนที่ระบุตนว่าเป็นพุทธในที่ใดที่หนึ่ง เป็นชาวพุทธในวัด ในขณะที่นั่งสมาธิ ในสำนักปฏิบัติธรรม พอออกจากสถานที่ตรงนั้นหรือสำนักนั้นไปแล้ว ความเป็นชาวพุทธก็หายไป เขาได้แยกลมหายใจออกจากธรรม แยกการดำเนินชีวิตออกจากธรรม แยกความเป็นพุทธออกจากการดำเนินชีวิต แยกภาระหน้าที่ออกจากการปฏิบัติธรรม จึงทำให้ความเป็นพุทธะมีได้ในขณะที่อยู่สถานที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น

แท้จริงการนั่งสมาธินั้นมีนัย ๒ ประการ ก็คือ


หนึ่งเป็นการฝึกฝนให้หยุดประกอบอาภรณ์ให้อัตตา ฝึกฝนให้ปล่อยวาง ฝึกฝนให้เป็นธรรมชาติ เนื่องจากชีวิตไม่ได้เป็นธรรมชาติไปแล้วเพราะธรรมเนียม ประเพณี คำสอน การศึกษา จริยธรรม วัฒนธรรมได้ประดับประดาชีวิตนี้ให้อลังการไปด้วยอาภรณ์ของอัตตา การจะสลัดหลุดจากสิ่งเหล่านั้นต้องฝึกฝน

อีกนัยหนึ่ง การนั่งสมาธิก็เพื่อทำให้จิตได้พักผ่อน จิตที่เคลื่อนไหวไปกับสิ่งที่ปรากฏนับไม่ถ้วน จิตเคลื่อนไหวไปกับอายตนะภายในและอายตนะภายนอก จับเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นฐานที่ตั้งให้วิญญาณเกิดขึ้น การเกิดขึ้นของวิญญาณนั่นแหละคือการทำงานของจิตอย่างไม่เวลาได้พักผ่อน ยิ่งวุ่นมาก ยิ่งกังวลมาก ยิ่งเครียดมาก จิตก็ทำงานมาก จิตเริ่มเป็นโรคแล้ว แม้บางครั้ง ผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ชีวิตกับธรรมเป็นสิ่งเดียวกันแล้ว ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งใดอีกแล้ว แต่การให้จิตพักผ่อนด้วยการนั่งสมาธิก็จำเป็น นั่นเป็นการให้พลังงานต่อจิต การพักผ่อนกายและใจเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ เป็นเงื่อนไขแห่งขันธ์นี้ เรียกว่า การบริหารขันธ์


โศลกว่า “รอยยิ้มแห่งเมตตา” การที่ผู้ใดก็ตามมีธรรมอยู่แต่ในขณะอยู่ในรูปแบบ อยู่ในเครื่องแบบ อยู่ในพิธี อยู่ในสัญลักษณ์ พอพ้นรูปแบบก็ไม่ประกอบด้วยธรรม นั่นแสดงว่า เป็นการหลอกลวงของอัตตาที่ต้องการแสดงถึงความพิเศษขึ้น เพราะแท้ที่จริงชีวิตทั้งชีวิต ลมหายใจทุกลมหายใจต้องประกอบด้วยธรรม สื่อที่แสดงออกแห่งชีวิตที่ประกอบด้วยธรรมคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเอื้อเฟื้อ เสียสละ รอยยิ้มแห่งเมตตา และสุดท้ายการกระทำทุกการกระทำมีแต่ช่วยเหลือผู้คน นี่แหละที่สื่อถึงชีวิตที่เป็นธรรม เป็นชีวิตที่บำเพ็ญ



ชาวพุทธคนหนึ่ง ได้เข้ามาถามหลวงพ่อในขณะที่บรรยายธรรมให้ฟังว่า อยากจะมาฟังบรรยาย แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะภาระหน้าที่รัดตัวไม่สามารถปลีกตัวมาฟังบรรยายได้ ยิ่งมาเห็นทุกคนนั่งฟังธรรมบรรยายอย่างสงบเรียบร้อยก็ยิ่งอยากจะทำให้ได้อย่างนั้น ดูเหมือนว่าการทำเช่นนั้นเป็นชาวพุทธที่แท้


หลวงพ่อได้ชี้แจงให้ทราบว่า คงมีความเข้าใจผิดเป็นแน่ ธรรมะที่หลวงพ่อบรรยายนั้นไม่ใช่มีเอาไว้เพื่อมาฟังที่วัด แต่เป็นนำไปใช้กับชีวิต ตราบใดที่มีลมหายใจ ตราบใดที่มีชีวิต ตราบใดที่ทำภาระหน้าที่ ตราบนั้นก็ได้ชื่อว่า ปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมมิได้หมายถึงการเข้ามาภายในวัด ชีวิตในวัดกับนอกวัดต้องเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าเข้ามาวัดจึงเป็นชาวพุทธ แต่พอออกนอกวัดเป็นชาวพุทธไม่ได้ นั่นแสดงว่ามีอะไรที่ผิดพลาดทางความเข้าใจ



อีกตัวอย่างในพุทธกาล คนรับใช้ของพระนางสามาวดี ชื่อว่า ขุชชุตตราเป็นหญิงสาวพิการหลังค่อม มีหน้าที่จัดหาดอกไม้ จัดซื้อดอกไม้บูชาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก โดยได้รับค่าชื้อดอกไม้วันละ ๘ กหาปณะ แต่นางเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งหมด ก็ซื้อดอกไม้เพียง ๔ กหาปนะ อีก ๔ กหาปนะ ก็เก็บไว้เสียเท่านี้ก็พอ ชื่อว่าได้ทำแล้วเหมือนกัน การที่แอบเก็บเงินหลวงไว้อย่างนี้ เรียกว่า “บังหลวง” ดังที่เราเปรียบเทียบสมัยปัจจุบัน รัฐมนตรีได้งบประมาณมา ๘๐ ล้านจัดงานวันวิสาขบูชา แต่ไม่ต้องใช้หมด ใช้เพียง ๔๐ ล้านก็พอ นอกนั้นก็เก็บไว้เสีย

อยู่มาวันหนึ่งคนขายดอกไม้ ได้นิมนต์พระพุทธเจ้ามาถวายเพลที่บ้าน คนขายดอกไม้ได้ขอร้องให้นางขุชชุตตราช่วยจัดแจงแต่งภัตตาหารในวันนั้นด้วย หลังภัตตาหารพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ทราบถึงโทษของการฉ้อราษฎร์ บังหลวง โทษของการทุจริตในหน้าที่ นางพอได้ฟังธรรมนั้นก็บรรลุธรรมด้วยปัญญาอันแจ่มแจ้งของตน

ในวันนั้นนางได้ซื้อดอกไม้กลับไปครบตามจำนวนเงินที่ได้เบิกมา คือ ๘ กหาปนะ ทำให้ได้ดอกไม้มากเป็นพิเศษ พระนางสามาวดีสังเกตเห็นดอกไม้มากจึงได้ถามว่า วันนี้เธอซื้อดอกไม้ ๑๖ กหาปนะหรือ นางขุชชุตตราจึงได้รับสารภาพว่า ที่ผ่านมานั้นนางได้แอบยักยอกเงินไว้ ๔ กหาปนะ แต่วันนี้ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว เห็นโทษของการทุจริต ยักยอกเงิน ไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ แม้ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่ดิฉันก็รู้อยู่แก่ใจเสมอ


พระนางสามาวดีแทนที่จะดุด่าว่ากล่าว แต่กลับบอกให้นางช่วยแสดงธรรมที่นางได้ฟังมานั้นให้ทราบด้วย นางขุชชุตตรามีความเคารพในธรรมของพระพุทธเจ้าขออาบน้ำชำระร่างกายก่อนแสดงธรรม พระนางสามาวดีจึงได้ให้คนช่วยอาบน้ำแต่งตัวให้กับนางอย่างดี จัดที่นั่งให้เหมาะสมที่จะแสดงธรรมให้แก่นาง หลังจากฟังธรรมแล้ว พระนางสามาวดีและบริวารอีกมากได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
การปฏิบัติธรรมนั้นต้องปฏิบัติธรรมทุกลมหายใจ ชีวิตนี้ต้องเป็นธรรม ไม่มีช่องว่างระหว่างชาวพุทธกับสถานที่ เพราะความเป็นชาวพุทธนั้นมิได้เป็นความพิเศษใด แต่คือความเป็นคนธรรมดาที่ธรรมชาติที่สุด มีจิตใจที่งดงาม มีความเอื้ออารี มีความเย็นภายในจิตเสมอ ความเป็นธรรมชาตินี้ต้องได้รับการฝึกฝน เพราะถ้าไม่ฝึก อัตตาก็ไม่ปล่อยให้เป็นไปได้
นี่คือ โศลกที่สิบสองแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาภาษา






โศลกที่สิบเอ็ด ปัญหาภาษา
เนื้อหาในภาษาหนึ่งใด
ย่อมมีระดับความลึกซึ้งแคบกว้างต่างกัน
ดังคำ ย่อมศึกษา (สิกขติ) ในเชิงปฏิบัติ
มิใช่เรียนรู้ สั่งสมข้อมูลตามโลกเข้าใจ
แต่เป็นการพิจารณาด้วยสติ
รู้ตัวทั่วพร้อม เห็นแจ้งทั่วถึง
น้อมใจประคอง ตั้งมั่นรู้ยิ่งรู้ชัดหยั่งรู้ (ญาณ)
อีกทั้งต้องผ่านขั้นกำหนดรู้ (ปชานาติ) ก่อน
สิกขติอยู่ในบริบทเหลือแต่ลมหายใจ
บริบทลมหายใจแผ่วเบาและสงบระงับ
เป็นต้นไปจวบจนถึงการปล่อยวาง


สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดสำหรับการดำเนินชีวิตของมนุษย์นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั่นก็คือการสื่อสาร สิ่งที่รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องการถ่ายทอดออกไปให้ใครๆ ได้รับรู้ แต่สื่อที่จะส่งไปให้เขาผู้นั้นเข้าใจได้ตามที่ตนต้องการทุกความรู้สึกที่มีอยู่ภายในนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ ภาษาที่มีอยู่ ที่ใช้อยู่ในเผ่าพันธุ์ของคนจำกัดเหลือเกินที่จะแสดงความรู้สึกนั้นให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างหมดจด แจ่มแจ้งทุกแง่มุม ทุกความรู้สึกที่มีอยู่ภายในตน


ระบบภาษาเป็นกฎเกณฑ์ เป็นกรอบแห่งคำและเสียงที่สมมติขึ้นเรียกปรากฏการณ์ อารมณ์ ความรู้สึกของคนในเผ่าของตน เฉพาะเผ่าเดียวกันฟังภาษาเดียวกันก็ยากพอแล้วที่จะเข้าใจทุกเจตจำนงที่ต้องการแสดงให้ผู้อื่นทราบ ไม่ต้องพูดถึงหากมีการนำภาษาของเผ่าพันธุ์หนึ่งไปใช้กับอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งให้เข้าใจอย่างที่ความรู้สึกของเผ่าพันธุ์ตนเข้าใจ เป็นเรื่องยากจริงๆ กล่าวได้แต่ว่าให้ทำใจไว้ ความเข้าใจในภาษานั้นลดลงประมาณ ๑๕ เปอร์เซ็นต์


เช่นคำว่า ศาสนา โลกใช้คำภาษาอังกฤษว่า Religion ผู้ที่เป็นเจ้าของภาษาที่ใช้คำนี้ต่างเข้าใจไปตามฐานแห่งบริบทวัฒนธรรมของตนของตน ซึ่งไม่ตรงกับความเข้าใจเดียวกัน แม้จะอธิบายให้ทราบได้ว่า สมมติให้เรียกความเชื่อของใครของมันทั้งระบบ แต่เมื่อฟังคำนี้ระบบความเข้าใจที่เป็นรากเหง้าของตนก็จะแสดงความรู้สึกอย่างนั้นออกมา หากมีใครแสดงไปในทางอื่นตามรากเหง้าของเขาเอง ก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาทันทีว่า Religion ไม่ใช่หมายความอย่างนั้น

ในพระพุทธศาสนา คำว่า “ศาสนา” มีความหมายว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ทางตะวันตก เจ้าของคำว่าว่า “Religion” หมายถึง วิวรณ์ที่ได้รับจากพระเจ้า แล้วอย่างนี้จะให้ความเข้าใจของคนสองเผ่านี้เข้าใจกันและกันที่ตรงกันภายในระบบความเชื่อของตนได้อย่างไร


ปัญหาที่ยากเข้าไปอีกระดับหนึ่งก็คือ ระบบภาษาเป็นความคุ้นเคยของเผ่าพันธุ์ที่ตนได้ผลิตคำขึ้นมาใช้ เป็นคำที่เป็นเสียงก่อน ก่อนที่จะกำหนดเป็นสัญลักษณ์ (อักษร) ขึ้นมาแทนเสียงที่พูดกัน อักขระที่ใช้กันนั้นก็จำกัดเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ทุกคนถูกกรอบแห่งอักขระนี้บังคับให้พูดตามที่ภาษากำหนด พูดเกินหรือน้อยกว่านั้นก็ไม่ได้ พูดสั้นหรือพูดยาวกว่านั้นก็ไม่ได้ สุดท้ายแล้วกรอบแห่งระบบอักขระที่เรียกกันว่า ภาษา นี้ก็บอนไซคนให้สื่อสารได้เพียงเท่าที่อักขระที่รัฐกำหนดไว้เท่านั้น ไว้อย่างนั้น เท่านั้นเอง มีหรือที่เราจะพูดหรือคิดได้นอกเหนือไปจากภาษาที่กำหนดไว้ ลองทำดูได้ เพราะเราไม่สามารถคิดได้เกินเลยจากระบบภาษาที่เขาระบุให้พูด (สังกัป) นี่คือการบอนไซคนไว้ให้อยู่แต่ภายในกรอบภาษาเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เมื่อมีใครก็ตามทำตามระบบภาษานี้อย่างเคร่งครัด ฝึกตามเกณฑ์ภาษาอย่างถูกต้อง ถ่ายทอดตามเกณฑ์ภาษาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ยึดมั่นในกฎเหล็กแห่งภาษาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาผู้นั้นจะได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ ฉลาด เป็นอัจฉริยะ เมื่อมองอีกแง่มุมหนึ่งเขาคือคนบอนไซที่ถูกตัด ถูกดัด ถูกตอน ถูกกระถางครอบได้อย่างไม่มีที่ติเท่านั้นเอง



ปัญหาที่ยากเข้าไปอีกระดับหนึ่งของภาษาก็คือ "การตีความ" แม้แต่เป็นคำของเผ่าพันธุ์เดียวกันซึ่งน่าจะเข้าใจกันได้ไม่ยาก แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะมีการตีความคำนั้นไปคนละอย่างตามความรู้สึก โดยเฉพาะความรู้สึกของชายหญิง ซึ่งมักตรงกันข้ามกับคำที่พูดออกไป ตามฐานแห่งความรู้และตามฐานแห่งศาสตร์ของคำ ปัจจุบันจึงมีคำว่า “วาทกรรม” ขึ้น วาทกรรมนี้เป็นองค์ความรู้ของคนที่ใช้ จะตื้นลึกแคบกว้างก็อยู่ที่ฐานข้อมูลที่มีอยู่ในตนของบุคคลผู้นั้น เช่น คำว่า ความตาย วาทกรรมของนักกฎหมาย ของตำรวจ ของแพทย์ ของนักสังคมสงเคราะห์ ของนักการศาสนา ของนักธุรกิจ ของนักจริยธรรม ของนักปกครอง นักภาษา ล้วนมองความตายไปคนละแง่มุม ทั้งที่เป็นภาษาเดียวกันและเผ่าพันธุ์เดียวกัน

ความตายของนักกฎหมายมองความตายเป็นมาตราตามกฎหมายอาญา ความตายของตำรวจมองไปที่ความเป็นอาชญากรรมหรือไม่ มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่ตรงนั้น นักธุรกิจมองความตายว่าเป็นการสูญเสียทางทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลคือคนที่ตาย และทรัพย์สินที่ต้องใช้ไปกับคนที่ต้องตาย นักการศาสนา มองความตายเป็นการสิ้นอายุ สิ้นบุญ สิ้นอายุและบุญ กรรมมาตัดรอน มองเห็นเป็นบาปบุญ นรกสวรรค์ นี่เป็นการตีความไปตามวาทกรรมของคนที่มีฐานใดก็ตีความไปตามบริบทของฐานนั้น สำหรับนักภาษาก็จะมองความตายอยู่ที่อักขระที่ใช้เรียกอาการและฐานะของคนตาย ไม่ว่าจะเป็นการเห็นเป็นภาษาว่า ตาย สิ้นลม อาสัญกรรม ทิวงคต มรณภาพ สวรรคต เป็นต้น การตีความเหล่านี้ถ้าหากไม่เข้าใจวาทกรรมของกันและกันตามฐานของบุคคลที่พูดก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้นเพราะมองคนละมุม คนละสังกัปแห่งวาทกรรม



ปัญหาความยากของภาษามีอีกชั้นหนึ่งก็คือ ความก้าวกระโดดระหว่างภาษาที่เกิดขึ้นกับสังคมที่เจริญเติบโตขึ้นโดยเฉพาะเครื่องมือถ่ายทอดภาษา ได้แก่ สื่ออิเลคโทรนิคและโลกไซเบอร์ทั้งหลาย เครื่องมือเหล่านี้ใช้ภาษาของตน ทำให้ภาษาที่เข้าใจกันแต่เดิมสำหรับคนยุคเดิมกับคนยุคใหม่มีความเหลื่อมล้ำ คนละมิติ ไม่ไปด้วยกัน จึงมีคนในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ปู่ย่าตายายไม่เข้าใจลูกหลาน ลูกหลานก็ไม่เข้าใจพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เนื่องจากสังกัปของภาษาเป็นคนละระบบ ระบบหนึ่งเป็นระบบแบบ Analog ส่วนระบบหนึ่งเป็นแบบ Digital อีกระบบหนึ่งเป็นแบบ 3G


ความเข้าใจภาษาของแต่ละระบบนั้นต่างกัน มีความลึกซึ้งต่างกัน มีแง่มุมที่ถ่ายทอดความรู้สึกต่างกัน ก่อนนั้นรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายต้องหนังสือเงียบๆ คนเดียวจะได้มีสมาธิจดจำได้ง่าย บัดนี้เด็กอ่านหนังสือเงียบๆ ไม่ได้ อ่านไปด้วยต้องเปิดทีวีไปด้วย ปัจจุบันอ่านไปด้วย ต้องเปิดทีวีไปด้วย Chat ไปด้วย และบางครั้งต้องคุยโทรศัพท์ไปด้วย โลก Digital ต้องทำพร้อมกันหลายระบบได้ ทำระบบเดียวทำให้เสียโอกาสและเวลา ดังนั้นภาษาโลก Analog และ Digital จึงไม่สามารถเข้าใจกันตามที่คนพูดและคนฟังจะรับรู้ได้ทุกความรู้สึก ทุกแง่มุมและสมบูรณ์ตามเนื้อหาและบริบทที่ต้องการสื่อได้



โศลกว่า “ดังคำ ย่อมศึกษา (สิกขติ) ในเชิงปฏิบัติ” ภาษาแห่งการปฏิบัตินั้นเป็นภาษาที่ไร้กฎเกณฑ์ของระบบภาษาศาสตร์ที่โลกสมมติขึ้นใช้ คำว่า ศึกษาของชาวโลกนั้นเป็นเพียงระดับปริยัติ แต่ศึกษาในที่นี้เป็นภาษาของโลกประสบการณ์ โลกแห่งการปฏิบัติ โลกประสบการณ์นี้ไม่จำเป็นที่ใครๆ ต้องมาเรียนภาษาของกันและกัน
ถ้าหากเป็นคนด้วยกันก็ย่อมเข้าใจภาษาประสบการณ์ของกันและกันได้ เป็นภาษาแห่งความรู้สึกภายใน เสียงแห่งความทุกข์ เสียงแห่งความสุข เสียงแห่งความยินดี เสียงแห่งความโกรธ เสียงแห่งความรัก เสียงแห่งความขบขัน หัวเราะ ล้วนแล้วแต่รับรู้ของกันและกันได้ภายในความรู้สึกของตนทันที เป็นภาษาที่ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ทางอักขระไวยากรณ์มากำกับ ไม่ต้องเป็นไปตามฐานวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ ไม่ต้องมีวาทกรรม ภาษาแห่งการปฏิบัติมุ่งหมายไปที่ความรู้สึกแห่งประสบการณ์ของตนของตน

อุปสรรคของการปฏิบัติก็คือการนำภาษาแห่งโลกบัญญัติที่รวบรวมข้อมูลไว้ในระบบความจำมาใช้ โดยแบ่งความคิดไว้กับภาษาเหล่านั้น ความสุข ปีติ อุเบกขา ทุกขเวทนา ความรัก ไม่มีภาษาที่บ่งบอกแสดงความรู้สึกนั้นได้ อักษรที่เขียนลงไปก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความรัก เพราะยิ่งบ่งบอกอธิบายความรักออกเป็นภาษาให้คนรู้ได้ ความรักนั้นก็ไม่ใช่ความรักที่มีในความรู้สึกอีก แต่เป็นแค่เมนูความรักเท่านั้นเอง เพราะความรักนั้นเป็นรสแห่งประสบการณ์ มิใช่เมนูที่เขียนไว้

เราไม่อาจแสดงรสหวานออกมาเป็นตัวอักษรได้ แต่ทุกคนรู้จักความหวานว่ามีรสอย่างไร ในการปฏิบัติมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์นั้น ถ้าใครนำประสบการณ์นั้นแปลงเป็นภาษาอีกละก็นั่นแหละคืออุปสรรคหละ จะเห็นได้ว่าคนในยุคนี้พยายามอ่านแต่เมนูความรักเท่านั้น ไม่ได้มีประสบการณ์แห่งความรัก


คนที่อ่านเมนูความรักเสียจนขึ้นใจก็เข้าใจว่าตนมีความรักแล้ว เหมือนกับคนอ่านวิธีทำอาหารเสียจนขึ้นใจ ก็เข้าใจว่า ตนเป็นพ่อครัวไปทันทีอย่างนั้น เหมือนกับนักศึกษาเรียนวิธีทำนาในคอมพิวเตอร์แยกแยะกระบวนการทำนาได้อย่างช่ำชอง ก็นึกว่าตนเป็นชาวนาไปแล้วฉะนั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สังคมเป็นสังคมที่เขาเรียกว่า สังคมเรียนแบบความจริง (Hyper Reality Society) แต่มิใช่เป็นประสบการณ์จริง
div>
ย่อมศึกษาว่า ลมหายใจเข้าออกสั้นหรือยาว จึงเป็นคำที่ลึกซึ้งบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่ชัดเจนในความรู้สึก ดังกับคนรักที่มีความรักอย่างล้ำลึก บอกออกมาเป็นถ้อยคำไม่ได้ ย่อมศึกษาในที่นี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นความรู้ตัวทั่วพร้อม เห็นแจ้งทั่วถึง น้อมใจประคอง ตั้งมั่นรู้ยิ่ง รู้ชัด หยั่งรู้ (ญาณ) ในลมหายใจนั้น ย่อมศึกษาคำเดียวประกอบพร้อมด้วยสำรวมระวัง ความตั้งมั่นและความรู้แจ้งอยู่ภายในคำนั้นแล้วใช้คำแห่งประสบการณ์นั้นตระหนักรู้ลมหายใจเข้าออกสั้นยาวที่บางเบา สงบระงับ
จะเห็นได้ว่า คำว่าศึกษา ในความหมายเชิงปฏิบัตินั้นไม่ใช่ศึกษาตามความหมายที่โลกภายนอกใช้ แต่เป็นความหมายแห่งประสบการณ์ภายใน ประสบการณ์แห่งการศึกษาภายในนี้เป็นโลกที่ไร้ขอบเขต ไร้การบอนไซ ไร้ไวยากรณ์ภาษา ไร้ข้อมูล ไร้การตีความ แต่เป็นประสบการณ์อย่างเดียว


ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนพระเถระที่ทรงภูมิความรู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นเพียง “พระใบลานเปล่า” เพราะการรวบรวมข้อมูลไว้ในความทรงจำมาก แทนที่จะได้รับประทานอาหารจริงๆ แต่กลับหลงไปอ่านเมนูอาหารด้วยเข้าใจว่า รับประทานอาหารเข้าไปแล้ว ไม่ว่าไปที่ไหนก็ไปอ่านเมนูอาหารให้ผู้อื่นฟัง แม้กระทั่งในอยู่ในภายการปฏิบัติก็ยังอดไม่ได้ที่จะอ่านเมนูอาหาร เป็นเพียงการใช้ปริยัติในการปฏิบัติเท่านั้น กล่าวคือ ไปปฏิบัติธรรมด้วยการท่องตำราในความคิดเท่านั้น นี่เองจึงเป็นอุปสรรคในการบรรลุผลแห่งการปฏิบัติที่แท้จริง

เปรียบเหมือนการฝึกว่ายน้ำ ในการฝึกว่ายน้ำนั้นคือการลงไปว่ายน้ำ มีแต่น้ำกับการว่าย ไม่มีตัวหนังสือว่าด้วยเรื่องการฝึกว่ายน้ำ ใครที่มาคำนึงถึงตัวหนังสือว่ายน้ำที่เป็นปริยัติอยู่ในขณะว่ายน้ำ ทำให้การว่ายน้ำนั้นไม่ถูกต้อง ไม่มีพลัง ไม่มีความก้าวหน้า สุดท้ายก็จมน้ำ การว่ายน้ำเป็นประสบการณ์ที่ใช้แรงทุกส่วนของร่างกายเข้าไปว่ายน้ำ มีความเหนื่อยปรากฏ มีพลังงานปรากฏ สติกับแรงกายใช้ไปกับการว่ายน้ำ ยกเว้นความคิดว่ายน้ำ เมื่อใดที่ใช้ความคิดว่ายน้ำท่านกำลังจะจม


โศลกว่า “อีกทั้งต้องผ่านขั้นกำหนดรู้ (ปชานาติ) ก่อน” แน่นอนว่า ไม่ว่าจะทำอะไรจะต้องเข้าใจในเรื่องนั้นๆ เสียก่อน เพราะความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ทำให้มีทิศทางและความถูกต้องในเรื่องนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการกำหนดรู้ลมหายใจ การกำหนดรู้ลมหายใจเป็นขั้นตอนของการทำความเข้าใจ เป็นเรื่องของการนำแนวคิดมาประกอบ เมื่อหายใจยาวก็รู้ว่ายาว เมื่อหายใจสั้นก็รู้ว่าสั้น เป็นเพียงขั้นตอนของการทำความเข้าใจรู้ในความสั้นยาวของลมหายใจเข้าออก

แม้ว่าจะเป็นการกระโดดลงไปว่ายน้ำแล้ว แม้ว่าจะนั่งขัดสมาธิแล้ว แต่เบื้องต้นต้องทำความคุ้นเคยกับน้ำและร่างกายก่อน น้ำและร่างกายเริ่มสัมผัสสัมพันธ์กันได้แล้ว กายกับใจเริ่มสัมผัสสัมพันธ์กันได้แล้ว ขั้นต่อไปนี้ต้องสลัดความเข้าใจระหว่างน้ำกับกายเสีย แต่ให้เป็นการว่ายกับสติที่กำกับการว่ายเท่านั้น เช่นเดียวกับการมีสติกับลมหายใจ (กาย) เท่านั้น อย่าให้ความคิดเข้ามาแทรกไม่ว่าจะเป็นการว่ายหรือการฝึกปฏิบัติธรรม ขั้นตอนนี้เองจึงเป็นภาระหน้าที่ของการศึกษา (สิกขติ) ไม่ใช่กำหนดรู้ (ปชานาติ)

โศลกว่า “บริบทลมหายใจแผ่วเบาและสงบระงับ” ประสบการณ์ของการปฏิบัติธรรมย่อมเป็นเช่นเดียวกันสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ประสบการณ์ของลมหายใจที่ผ่านขั้นตอนของการกำหนดรู้มาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ภาษาอาจเรียกว่า วิตก วิจาร ก็แล้วแต่ แต่ประสบการณ์ของทุกคนที่อยู่ในสภาวะนี้ล้วนแล้วแต่เข้าใจเหมือนกัน เช่นเดียวกัน ดุจดังคนที่มีความรักและเข้าใจความรัก คนที่ทานน้ำผึ้ง ลิ้มรสน้ำผึ้ง ก็ย่อมเข้าใจคนทานน้ำผึ้ง จะเรียกว่าหวานหรือไม่ ไม่สำคัญอีกต่อไป แต่เป็นประสบการณ์ของรสน้ำผึ้งเช่นเดียวกัน



ขณะนี้เป็นขณะแห่งความแผ่วเบาของลมหายใจ ความแผ่วเบานี้เป็นประสบการณ์ที่รับรู้ร่วมกันของผู้ปฏิบัติ ไม่มีคำร้องเรียก รสของความแผ่วเบานี้เป็นความเย็น (สัพพกายปฏิสังเวที) ดุจดังรสของความรักของคนรักคือความดื่มด่ำ เป็นประสบการณ์เช่นนั้น ไม่มีคำร้องเรียกได้ถูกต้อง เมื่อใดก็ตามความแผ่วเบาเข้าถึงแดนแห่งความสงบระงับลมหายใจ ไม่ใช่ไม่หายใจแต่เป็นญาณที่เข้าไปสลายลมหายใจซึ่งเป็นรูปให้เหลือแต่เพียงความว่างเท่านั้น เมื่อนั้นคำว่าลมหายใจก็หายไป เหลือแต่ความว่าง รสแห่งความว่างนี้เป็นประสบการณ์แห่งความสงบเย็น (ปัสสัมภยัง กายสังขาร) มีแต่ความว่างเข้าออก เป็นสติที่รู้อัสสาสะ ปัสสาสะเท่านั้น เพราะกายสังขารคือความเป็นลมหายใจได้สงบระงับไปแล้ว

คำที่ใช้ในภาษาไทยที่แปลคำว่า “ปัสสัมภยัง” ยังหาคำที่ตรงกับประสบการณ์ที่ปรากฏในการปฏิบัติแห่งขั้นตอนนี้ไม่ได้ ไม่ครอบคลุมสภาวะนี้ ก็ได้แต่เรียกว่า สงบระงับบ้าง รำงับบ้าง สงบเย็นบ้าง ก็เท่านั้นเอง ดุจดังการเรียกว่า “ลดความเปรี้ยว”



ไม่รู้จะบอกอย่างไร เพราะเป็นภาษาแห่งความรู้สึกที่อยู่ภายใน ภาษาเป็นสังกัปคือความคิดที่แสดงออกมาภายนอก แต่เมื่อเป็นความรู้สึกภายในไม่มีภาษา ยิ่งเป็นเมื่อนำมาใส่เป็นภาษาของอีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง ของอีกระบบภาษาหนึ่งก็ยิ่งไม่ตรงกับภาษาเดิม แม้แต่ภาษาเดิมก็ยังไม่ใช่ตัวความรู้สึกนั้นที่เรียกขณะนี้ว่า ปัสสัมภยัง กายสังขารัง เป็นอย่างไร

มีแต่ทดลองปฏิบัติตามให้ถึงขั้นนั้นเท่านั้นจึงจะกระจ่างแจ้ง ไม่ต้องพูดอีก ไม่ต้องอธิบายอีก ไม่ต้องตีความอีก ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป

นี่คือ โศลกที่สิบเอ็ดแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เล่ห์กลของจิต




โศลกที่สิบ เล่ห์กลของจิต

อันตรายกับคำกำกับภาวนา
ไม่ว่าจะเป็นคำบริกรรม การนับหรือใช้คำอื่นใด
เพราะในขณะที่ใช้คำบริกรรมหรือนับภาวนา
จิตจะเริ่มทำงานทันที
จิตที่ถูกฝึกไปเพื่อมีพลัง
จิตจะเข้าสู่ระบบฤทธิ์
กลายเป็นผู้มีพลังจิต
ยากนักที่จะรู้ทันจิต
เพราะเขาคือจิต จิตคือเขา
นี่คือการซ่อนเล่ห์ของจิต
ป้องกันอันตรายเสียตั้งแต่ต้น
ให้เพียงกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น
อย่าให้จิตได้ทำงาน
ให้แต่สติทำงาน






ฤาษีชีไพรทั้งหลายในอดีตและในปัจจุบันล้วนแล้วแต่อาศัยวิธีแห่งการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรตบะตามแนวการได้พลังจิตทั้งสิ้น เพราะพลังจิตนั้นทำให้ผู้ปฏิบัติมีอำนาจขึ้นมาได้ มีฤทธิ์ขึ้นมาได้ ดำรงอยู่ได้ท่ามกลางอันตราย มีความสำคัญตนวิเศษขึ้นมาได้ ได้รับการยกย่องจากผู้อื่นทั้งบุคคลและเทพยดา อำนาจจิตที่เป็นผลแห่งการปฏิบัตินั้นจะเกิดขึ้นทันทีที่มีการใช้จิตให้รวมเป็นหนึ่ง จิตที่รวมเป็นหนึ่งจะมีพลังเพราะอาศัยการเพ่งและบริกรรม


การเพ่งและบริกรรมเป็นอุปกรณ์รวมศูนย์จิตให้แก่กล้า เข้มแข็ง ร้อนแรง ดุจดังการรวมศูนย์ของแสงไว้ที่แว่นขยาย แสงตามปกติก็มีพลังในตัวของมันเองอยู่แล้ว เช่นทำให้เกิดความร้อน ทำให้พืชและสัตว์ดำรงชีวิตอยู่ได้ เปรียบเทียบกับจิตที่มีอานุภาพในตัวของมันอยู่แล้วทำให้คนและสัตว์ทั้งหลายดำรงชีวิตอยู่ได้ พัฒนาสังคม และทำลายสังคมได้ การศึกษาท่องบ่นจดจำเป็นแนวทางฝึกจิตให้ชำนาญกว่าธรรมดา การคิดใคร่ครวญเป็นการฝึกจิตให้ชำนาญกว่าธรรมดา การมีจิตวิทยาให้ผู้อื่นเชื่อถือเป็นการฝึกจิตมากกว่าธรรม การใช้กระจกรับแสงส่องลงในจุดเดียวก็มีความร้อนมากกว่าธรรมดา



ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการใช้กระจกพิเศษที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการรับแสงให้มากกว่าเดิมเพื่อจะได้นำแสงไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ระบบ Solar System มีการนำแผงวงจรเปลี่ยนพลังแสงเป็นพลังไฟฟ้า การใช้อุปกรณ์เช่นนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับการนำอุปกรณ์การเพ่งและคำบริกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มให้จิตมีพลัง เปลี่ยนพลังจิตธรรมดาเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ นี่คือความอัศจรรย์แห่งจิตที่มีพลัง มีมานับแต่อดีต ปัจจุบันจนถึงอนาคต


คำว่า อิทธิฤทธิ์ นี่ก็เป็นผลผลิตของจิตที่มีพลัง อิทธิฤทธิ์นี้เป็นที่ต้องการและมุ่งหวังของนักปฏิบัติทั้งหลายทั้งในและนอกศาสนา ถ้าเป็นนอกศาสนาก็พบได้จากฤาษี นักพรต โยคี ชีประขาว โหรแนวจิตทำนาย พวกไสยเวทย์ นักสะกดจิตทั้งหลาย ถ้าเป็นในพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระเกจิ พระเวทย์มนต์อาคมขลัง พระเมตตามหานิยม พระสักเสกเลขยันต์ ผู้มีพลังจิตทั้งหลายเหล่านี้ยากนักที่จะแยกแยะได้ว่า อิทธิฤทธิ์กับจิตมีพลังนั้นต่างกันอย่างไร ดุจดังการแยกไม่ได้ระหว่างพลังแสงแดดกับพลังไฟฟ้าจากแสงแดดนั้นเป็นอย่างไร เพราะสุดท้ายก็จะกลายเป็นสิ่งเดียวกันเมื่อมันแสดงผลออกมา



สิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้ก็คืออุปกรณ์การรับแสงนั่นเองที่เป็นตัวปรับเปลี่ยนพลังงานอย่างหนึ่งให้กลายเป็นพลังงานอีกอย่างหนึ่งได้ เฉกเช่นอุปกรณ์การเพ่งและบริกรรมนั่นเองที่เป็นตัวแปลงจิตจากพลังจิตให้เป็นอิทธิฤทธิ์ได้ เนื่องจากความอัศจรรย์แห่งพลังจิตนี้เองจึงทำให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายตกลงในหลุมพรางที่จิตได้ขุดดักล่อไว้ เป็นเล่ห์กลของจิต ต่างพากันเกิดความพึงพอใจในความพิเศษที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรู้อดีต รู้อนาคต ทำนายจิตผู้อื่นได้ เปลี่ยนแปลงโมเลกุลธาตุอย่างหนึ่งให้เป็นอย่างหนึ่งได้ เป็นต้น

จึงไม่แปลกเลยว่า เหตุใดพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจึงไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาที่แท้จริง สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ความไม่ประสบความสำเร็จนี้ก็คือ


คุณภาพชีวิตตามแนวพุทธของคนไทยหายไป หายไปอย่างมาก มีความโลภมีโทสันมากขึ้น มีการใช้ความรุนแรงกันมากขึ้น โกรธกันมากขึ้น โหดเหี้ยมมากขึ้น จิตอิจฉา ริษยา ตำหนิติฉินนินทา พูดให้ร้าย รังเกียจกันมากขึ้น ศีล ๕ ซึ่งเป็นเกณฑ์การปฏิบัติตนขั้นต้นนั้นถูกละเมิดมากขึ้น


ไม่เว้นแม้กระทั่งในสำนักปฏิบัติธรรม นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงนอกสถานที่ปฏิบัติธรรม เช่นในโรงเรียน ในสถานที่อันน่าเคารพอย่างรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล หรือสถานที่ราชการทั้งหลาย เมื่อมองภาพรวมแล้วจึงสรุปได้ว่า เป็นความผิดพลาดในการเผยแผ่และการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธไทย ถามว่าทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น

โศลกว่า “อันตรายกับคำกำกับภาวนา” พระพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลของการปฏิบัติสมาธิตามแนวมันตรยานมาในอดีตและสืบทอดต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่รู้สึกตัว พึงทราบว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยนี้ผ่านยุคสมัยที่มีการผสมผสานกันระหว่างกระแสพระพุทธศาสนา ๒ สาย ได้แก่ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานและพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท


ร่องรอยที่สามารถย้อนไปให้นึกได้ก็คือ พระพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้นมีแต่เรื่องของไสยเวทย์ พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงทั้งหลายในประเทศล้วนแล้วแต่เป็นพระที่มีคาถาอาคม เป็นพระเกจิมีพลังจิตหยั่งรู้อดีตและอนาคต เป็นพระที่สามารถปราบภูตผีปีศาจ เป็นพระสักเสกเลขยันต์ ลงวิชาอาคมในเหรียญ ประเจียด

ตะกุดให้ชาวบ้าน ทหาร ตำรวจ รูปแบบพระสงฆ์ไทยนั้นเป็นแบบเถรวาท แต่แนวทางปฏิบัตินั้นเป็นมหายาน แต่เป็นมหายานที่ได้กลายพันธุ์มาเป็นเถรวาทไปแล้ว สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางปฏิบัติเป็นแบบมหายานนั้นก็คือ แนวทางแห่งการได้มาซึ่งพลังจิตนี่เอง ซึ่งเป็นแนวทางเดิมตามที่ก่อนจะมีพระพุทธศาสนา การได้มาซึ่งพลังจิตนี้ก็มาจากอุปกรณ์ในการฝึกจิตนั่นเอง อุปกรณ์ในการฝึกจิต ก็คือการเพ่งและการบริกรรม




ก็การเพ่งและบริกรรมนั้นเป็นเรื่องของการรวมศูนย์จิต (สมถะ) แนวทางแห่งสมถะนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหายในตัวของมันเอง เปรียบเหมือนผู้ได้อาวุธวิเศษอยู่ในมือ อันตรายย่อมเกิดขึ้นโดยง่ายอย่างน้อยที่สุดก็เกิดความภูมิใจในอาวุธวิเศษที่อยู่ในมือของตน เพียงแค่ภูมิใจ พอใจ ยินดีในอาวุธวิเศษได้แก่พลังจิตนั้นเท่านั้นก็ทำให้พลาดแนวทางของพระพุทธศาสนาไปทันที ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการนำไปใช้เลย การนำอาวุธวิเศษไปใช้โดยมากก็นำไปใช้ที่ออกจากนอกตัว ไม่ใช่ใช้เข้าไปในตัว การใช้อาวุธวิเศษนอกตัวเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์อยู่แล้ว เช่น การทำให้ได้ลาภสักการะ ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ได้รับคำสรรเสริญเยินยอ ได้ทรัพย์สินเงินทอง น้อยนักที่จะใช้เข้าไปภายในตัวเพื่อนำไปสู่การลด ละ เลิก ปล่อยวางและเข้าถึงความว่าง



ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ผิดนั้นทำให้เพิ่มตัวอัตตาขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว คำกล่าวเชิงเสียดสีของสังคมที่มีต่อผู้ปฏิบัติธรรมจึงมีว่า “นักปฏิบัติขี้โกรธ พวกสันโดษขี้ขอ” ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะอัตตาที่แฝงอยู่ในคำบริกรรมและการเพ่งนั้นมีพลังเหลือเกิน เกินที่ผู้นั้นจะทันและยับยั้งมันได้ หลายคนถึงกับโพล่งวาจาด่าผู้อื่นแม้กระทั่งในยามปฏิบัติธรรม

นั่นก็เพราะอัตตานั้นสั่งสมลงในอุปกรณ์นั้นมาก มากจนทำให้อัตตานั้นกลายเป็นพลังจิตขึ้นมาได้ ยิ่งพลังจิตมากเท่าใดอัตตาจะเติบโตตามมากเท่านั้น อัตตานั้นจะแสดงท่าทีออกมาในหลากหลายรูปแบบตามฐานจริตของผู้นั้นอย่างแนบเนียน แนบเนียนเสียจนเจ้าตัวไม่ทราบด้วยซ้ำว่า นั่นเป็นอัตตาของตน เพราะจิตได้รวบรวมเข้ากับอัตตาที่ยึดมั่นจิตว่าเป็นเราเป็นเขาอย่างแนบแน่น นี่เองที่เป็นเหตุให้ชาวพุทธในประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับสำนักปฏิบัติธรรม วัดวาอาราม และชาวพุทธในประเทศไทยที่มีอยู่

โศลกว่า “อย่าให้จิตได้ทำงาน ให้แต่สติทำงาน” การใช้สติกำหนดไปที่ลมหายใจเข้าออก รู้ลมหลายสั้นหรือยาวธรรมดาเท่านี้ก็เพียงพอแล้วในการเริ่มให้จิตมีพลัง อุปกรณ์คือลมหายใจ เครื่องมือคือสติ ลมหายใจไม่สามารถก่อเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ จิตไม่สามารถปรุงแต่ลมหายใจได้ จึงเป็นการป้องกันอันตรายได้ส่วนหนึ่ง เมื่อสติดูลมหายใจเข้าออกได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน แสดงให้เห็นถึงความสงบเกิดขึ้นแล้วในจิต จิตในขณะนี้มีความเหมาะสมในการนำไปพิจารณาให้เห็นความว่างที่ปรากฏอยู่ในลมหายใจ ซึ่งถือเป็นกายตามฐานแห่งสติขึ้นต้น จิตถูกสติกำกับอยู่จนไม่สามารถออกนอกลู่นอกทางได้ ไม่สามารถยึดสิ่งใดได้ มีแต่ความว่างที่จิตพิจารณาเห็นอยู่

การพิจารณาเห็นความว่างของจิตนี้เองเป็นแนวทางแห่งพระพุทธศาสนาที่แท้ เพราะเป็นการใช้จิตที่มีพลังย้อนกลับไปทำงานภายใน (วิปัสสนา) เมื่อจิตถูกสติกำหนดให้เห็นแต่ความว่างอย่างนี้แล้ว จิตก็ไม่มีอะไรให้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้ การที่จิตยึดมั่นในความว่างไม่ได้ เพราะตัวของมันเองไม่ได้ทำงาน แต่ถูกใช้งานด้วยพลังแห่งสติ สติที่คมกล้าและเข้มแข็งมากเท่าใด จิตก็ถูกใช้งานได้ดีมากเท่านั้น การบำเพ็ญภาวนาก็คือการบำเพ็ญสตินี่เอง สติที่เห็นจิตเคลื่อนไหว ก็เท่ากับการเห็นอัตตาที่เคลื่อนไหว



เปรียบกับแสงแดดที่แรง มีพลัง ถูกควบคุมกำหนดให้ส่องลงในความว่างเปล่า ส่องลงในนภากาศที่เวิ้งว้าง แสงยิ่งแรงเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นความว่างมากขึ้นและชัดขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับจิตที่ถูกกำหนดเบื้องต้นที่ลมหายใจทำให้มีพลัง แล้วใช้จิตนั้นพิจารณาความว่างของลมหายใจนั้น สติควบคุมดูแลจิตให้ทำงาน มิใช่ตัวของมันเองทำงาน จิตที่ถูกกำหนดให้พิจารณาความว่าง ก็จะทำให้เห็นเส้นสายที่โยงใยผูกสิ่งต่างๆ ให้เป็นตัวเป็นตน เป็นรูปร่าง เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นมานะ เป็นทิฏฐิ ขึ้นมา แท้จริงมันคือความว่างเท่านั้น เมื่อนั้นจิตก็จะเข้าใจสัจธรรมของสรรพสิ่งที่มีแต่ความว่าง แม้กระทั่งตัวของมันเองก็ว่าง สติก็กำหนดให้จิตมองมันเอง เพราะจิตมีพลังจึงจะเห็นความว่างของจิตเองได้ มิฉะนั้นไม่สามารถพิจารณาเห็นได้




เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายการปฏิบัติที่ไม่เสี่ยงอันตราย ไม่นำไปสู่การเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ไม่นำไปสู่การมีพลังจิตที่เป็นอิทธิฤทธิ์ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของอัตตา การปฏิบัติตามเส้นทางสายนี้จะมีอาการลด ละ เลิก และปล่อยวางในที่สุด ก็ในเมื่อสรรพสิ่งเป็นแต่ความว่างแล้วจะมีอะไรให้ต้องยึดมั่นถือมั่นอีก เพียงแค่การพิจารณาเห็นความว่างเช่นนี้ ก็เท่ากับได้จุดเทียนปัญญาสว่างขึ้น ความมืดคืออัตตาลดลงไปได้ระดับหนึ่ง ถ้ายิ่งสว่างมากก็ลดลงมาก จนสว่างอยู่ตลอดเวลา คือมีปัญญาได้แก่สติทุกลมหายใจ อัตตาซึ่งเป็นที่ฝังตัวของกิเลสทั้งหลายมิใช่ให้เข้าไปไล่ทำลาย เพียงแต่มีแสงสว่างคือปัญญานี่แหละมากขึ้น กิเลสคือความมืดนั้นก็ลดลงโดยปริยาย







มีพระราชาหนุ่มของเมืองๆ หนึ่ง ก่อนที่พระราชบิดาที่สิ้นพระชนม์ไปได้กำชับพระโอรสไว้ว่า มีห้องที่อันตรายห้องหนึ่งที่ไม่อาจเปิดได้ ห้องมืดนี้ถูกปิดตายมานาน มีซาตานและปีศาจชั่วร้ายอยู่ภายใน มีเรื่องเล่ากันว่า คนที่เคยเข้าไปห้องนี้มีแต่เสียชีวิตทั้งนั้น นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอีกเลย




พระราชาหนุ่มปรึกษากับเสนาอำมาตย์ทั้งหลายว่าจะปราบปีศาจตนนี้ให้ได้ จึงได้รวบรวมพ่อมดหมอผีที่มีอาคมทั่วทั้งแผ่นดินมาปราบ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิดประตูนี้เพียงแต่ยืนทำพิธีอยู่ภายนอก ต่างก็ให้ความเห็นกันต่างๆ นานาว่า ปีศาจตนนี้ร้ายกาจเกินที่จะต่อสู้ได้ สุดท้ายมีชายหนุ่มผู้หนึ่งบอกว่า เขาจะปราบปีศาจตนนี้เอง โดยขอให้พระราชาตกลงก่อนว่า จะต้องทำตาม พระราชาจึงทำตาม ชายหนุ่มคนนี้เพียงแต่ให้พระราชากระซิบต่ออำมาตย์ผู้หนึ่งว่า ห้องนี้มีสมบัติมหาศาลที่พระราชาปกปิดไว้ แต่อย่าบอกให้ใครทราบ หลังจากนั้นไม่นาน ห้องมืดที่ปกปิดมิดชิดนั้นก็ได้ถูกกลุ่มนักล่าสมบัติงัดแงะทำลายเสียสิ้น



ความมืดเป็นเพียงกิเลสที่ปกปิดจิตไม่ให้รับรับรู้ความจริง ทางที่จะกำจัดกิเลสนั้นมิใช่การไล่จับกิเลสที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ปราบโลภ ปราบโกรธ หลง อิจฉา ถีนะ มิทธะ มักขะ อุปนาหะ ปลาสะ ถัมภะ อติมานะ เป็นต้น กิเลสเหล่านี้ถูกขังอยู่ในห้องมืดนั้น ทางที่จะปราบกิเลสเหล่านี้ก็คือ ทำห้องให้สว่าง ทำความมืดให้หายไป เพียงเท่านี้กิเลสก็ไม่สามารถแฝงตัวอยู่ได้ เพียงแค่เปลี่ยนทัศนคติจากการไล่ล่า มาเป็นการเพิ่มดวงไฟปัญญา




อย่าได้ให้อาวุธกับจิตโดยเด็ดขาด เพราะจิตนั้นเจ้าเล่ห์ มันจะพลิกผันจากตามเป็นนำโดยท่านไม่รู้ตัว และเมื่อจิตครอบครองได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็เท่ากับท่านตกอยู่ในอำนาจของมารคืออัตตา (กิเลสมาร) ในที่สุด




นี่คือ โศลกที่สิบแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา