วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตบำเพ็ญ


โศลกที่สิบสอง "ชีวิตบำเพ็ญ"

อย่าได้แยกธรรมออกจากภาระหน้าที่
การดำเนินชีวิตคือการเดินตามธรรม
วิถีแห่งพุทธะที่แท้คือการอยู่ในธรรม
จิตจะเข้าถึงธรรมได้
ก็ต่อเมื่อจิตมีแต่เมตตาต่อสรรพสัตว์
การนั่งสมาธิเป็นเพียงการฝึกธรรม

และเป็นการพักผ่อนทางจิตเท่านั้น
ลมหายใจคือธรรม
การกระทำคือธรรม
จิตที่งดงามคือธรรม
ความอ่อนน้อมถ่อมตน
การเอื้อเฟื้อเสียสละ
ชีวิตที่บำเพ็ญ
และรอยยิ้มแห่งเมตตา
นั่นต่างหากที่สื่อถึงธรรม




ความเป็นธรรมดาเป็นเรื่องที่กระทำได้ยาก เนื่องจากอัตตานั้นไม่ต้องการให้มนุษย์อยู่อย่างธรรมดา เพราะเมื่อมนุษย์อยู่อย่างธรรมดา อยู่อย่างธรรมชาติเมื่อใด อัตตาก็ไร้อาภรณ์เมื่อนั้น อัตตาที่ไร้อาภรณ์ตกแต่งเป็นอัตตาที่ไร้อำนาจ ไหนเลยจะยินยอมให้มนุษย์ทำเช่นนั้นได้ อาภรณ์ของอัตตาก็คือเงื่อนไขทั้งหลายในชีวิตนั่นเอง อาหารต้องไม่ธรรมดา เสื้อผ้าต้องไม่ธรรมดา แฟนต้องไม่ธรรมดา เพื่อนต้องไม่ธรรมดา บ้านต้องไม่ธรรมดา การเดินทางต้องไม่ธรรมดา เงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องจริงๆ ต้องไม่ธรรมดา



ความเป็นธรรมชาตินั้นเปลือยเปล่าเกินไป อย่างน้อยต้องเป็นธรรมชาติที่ไม่ธรรมดาจึงจะเป็นธรรมชาติที่แท้จริง ชีวิตของคนตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความคิด ความดำริและการปรุงแต่ง เงื่อนไขเหล่านี้เองทำให้ชีวิตของมนุษย์มีแต่สิ่งแปลกปลอมเข้ามา อัตตาก็จะใส่ความไม่ธรรมดาเข้าไป อัตตาจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตนี้จะเป็นเพียงแค่ชีวิตธรรมดา ต้องไม่ธรรมดา ธรรมชาติธรรมดานั้นคิดทำอะไรไม่ได้ นี่คือเงื่อนไข



ต้องระมัดระวัง ความอยากที่จะเป็น เพราะความอยากที่จะเป็นนี่คือสาเหตุนำไปสู่ความไม่เป็นธรรมชาติที่ธรรมดา ลองตั้งคำถามดูสิ ชีวิตที่เป็นธรรมชาติธรรมดาเป็นอย่างไร ในที่สุดก็ต้องหาคำตอบ เพราะมีความอยากก็ต้องมีการสนองความอยาก ผู้คนชอบหาคำตอบจากผู้อื่น และดูเหมือนทุกคนก็ชอบที่จะให้คำตอบ เนื่องจากทุกคนต้องการแสดงให้ใครต่อใครเห็นถึงความเป็นผู้ฉลาดของตน ยิ่งแสวงหาก็จะยิ่งไม่พบ เพราะความเป็นธรรมชาติของธรรมดานั้นไม่อาจหาได้ด้วยการนำมาเติมใส่ สิ่งที่เติมใส่นั้นเป็นของปลอมทั้งสิ้น เป็นอาภรณ์ของอัตตาทั้งนั้น


อัตตาจะยิ่งพอใจหากได้คำตอบที่ถูกใจ ยกตัวอย่างเช่น การจะกินอาหารอย่างธรรมดาทำอย่างไร คำตอบของคนไม่ทานอาหารเย็นก็จะบอกว่า ต้องไม่ทานอาหารเย็น คนที่ชอบอาหารเจ ก็บอกว่า ต้องทานอาหารเจบ้าง ต้องมังสะวิรัตบ้าง ต้องจืดๆ บ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่จะได้คำตอบมา ยิ่งคำตอบที่ได้มาจากศาสตราจารย์ ท่านจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจกับการทานอาหารที่เป็นธรรมดา เพราะเขาจะสรรหาถ้อยคำที่ไพเราะเพราะพริ้ง เคลิบเคลิ้ม น่าฟัง ทำให้น่าเชื่อว่าอาหารที่เขาบอกนั่นแหละเป็นอาหารที่ธรรมดาที่สุด แท้ที่จริงเพียงแค่การตั้งคำถามก็ทำให้ผิดทางแล้ว เป็นเล่ห์กลของอัตตาต่างหากที่ทำให้คนไม่สามารถอยู่อย่างธรรมดาได้ จึงได้ใส่ความอยากไว้ในความสงสัยเสียตั้งแต่ต้น


อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้กระทั่งสัตว์ก็สูญเสียความเป็นธรรมชาติไปแล้ว ดังคำที่เรากล่าวกันแบบเสียดสีหมาว่า “เสียหมา” ก็แปลว่า แม้แต่หมาก็ถูกความไม่ธรรมดานี้ครอบงำไปแล้ว หมาเริ่มมีท่าทีฉลาดแกมโกง และเริ่มเป็นหมาการเมืองมากขึ้น ลองไม่ให้มันนั่งในห้องรับแขกเมื่อแขกมาเยี่ยมบ้านคุณสิ มันจะทำหน้าไม่พอใจ แต่ถ้าหากมันทำอย่างนั้นมันจะไม่ได้รับความเห็นใจจากเจ้าของทันที มันจึงเก็บความไม่พอใจไว้ แต่ทำทีเป็นพะเน้าพะนอ กระดิกหาง ทำหน้าเจี๋ยมเปี้ยมใส่คุณ ทำให้คุณยินยอม นี่เริ่มเสียหมาแล้ว ไม่ใช่ธรรมชาติของหมาแล้ว หมาเริ่มเลียนแบบคนแล้ว

มีเรื่องเล่าว่า มีหญิงวัยชราคนหนึ่งชอบนั่งและนอนบนโซฟาตัวโปรดอย่างมาก เธอมักจะนั่งและนอนหลับอยู่ที่โซฟาตัวโปรดนี้เสมอ เธอมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่งที่ชอบขึ้นมานั่งที่โซฟาตัวนั้นเมื่อเธอลุกไป เธอรู้สึกเคืองเมื่อมีมันมาครอบครองที่นั่งที่นอนของเธออย่างนั้น แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะไปลากมันลงจากโซฟา เธอได้แต่ไปยืนที่หน้าต่างพร้อมกับตะโกนดังๆ ว่า แมวมาแล้วๆๆ สุนัขได้ยินเสียงก็กระโดดลงจากโซฟาวิ่งไปเห่าที่นอกหน้าต่าง อยู่มาวันหนึ่งมันเข้ามาในห้องเห็นหญิงวัยกลางคนนอนโซฟาตัวนั้นอยู่ มันก็ไปยืนที่หน้าต่างแล้วก็เห่าอย่างเอาจริงเอาจังเหมือนดังว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่นั่น สตรีวัยกลางคนจึงพรวดลุกขึ้นมาที่หน้าต่าง เจ้าสุนัขก็เดินหลบไปเงียบๆ ขึ้นไปนอนแทนเธอ

เห็นไหมว่าแม้แต่หมาก็เริ่มสูญเสียความเป็นธรรมชาติ มันเริ่มสร้างเงื่อนไขเป็น เริ่มเสริมอาภรณ์แห่งอัตตาของมันเป็น เนื่องจากการเลียนแบบคนนั่นเอง ทุกวันนี้คนได้กลายเป็นคนพลาสติกไปทุกวันแล้ว เป็นคนที่ไม่เป็นธรรมชาติไปเกือบค่อนโลก คนได้เข้าไปอยู่ภายในห้องรวมคนบ้าที่เรียกกันเสียไพเราะว่า “ตลาดหลักทรัพย์”

ไม่ว่าจะเป็น ดาวน์ โจนส์ (Dow Jones) แนสแด็ก (NASDAQ) ฟุตซี่ (FTSE) นิคเคอิ (Nikkei) ล้วนแล้วแต่เป็นที่รวมคนบ้าอยู่ จะเห็นได้ว่าวันๆ หนึ่งพวกนี้จะยกไม้ยกมือกันวุ่นเพื่อแสดงให้เห็นถึงการเล่นหุ้น ซื้อหุ้น ขายหุ้น นั่นคืออาภรณ์ของอัตตาขนานแท้ อัตตาตัวแม่เลยทีเดียว
สิ่งที่เขากระทำกันก็เพื่อเติมแต่งอัตตากันอย่างเอาจริงเอาจัง นั่นคือโรงละครแห่งคนบ้าที่แท้ เขาเหล่านั้นได้สูญเสียความเป็นธรรมชาติของคนไปแล้ว ชีวิตของเขาขึ้นลงไปตามตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์ของเขาก็ผันผวนตามดัชนีหุ้นที่ผันผวน สิ่งที่เขาต้องการก็คือตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ ชีวิตของเขาก็สูญสิ้นไปตามตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ ตัวเลขเหล่านั้นเขาสมมติกันว่าเป็นคุณค่าของชีวิต เป็นความร่ำรวยของชีวิต นี่คือความไม่เป็นธรรมชาติที่ไม่ธรรมดาของชีวิต ชีวิตที่ไม่เป็นธรรมชาติ

โศลกว่า “ลมหายใจคือธรรม” คนทั้งหลายไม่ได้สนใจลมหายใจเข้าออกที่แสดงถึงปราณ ที่แสดงถึงความมีชีวิตอยู่ ลมหายใจนี้หล่อเลี้ยงชีวิตนี้ให้เป็นไป น้อยคนนักจะเฝ้าพิจารณาลมหายใจ ลมหายใจนี่แหละเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องทำอะไร เป็นความบริสุทธิ์ เป็นธรรมดา ธรรมชาติ ชีวิตนี้เป็นธรรมชาติอย่างนี้ ธรรมชาติที่เป็นธรรมของลมหายใจ ผู้ใดเข้าถึงลมหายใจก็เข้าถึงธรรมชาติ ผู้เข้าถึงธรรมชาติก็เข้าถึงลมหายใจ ไม่ต้องมุ่งหวังอาภรณ์ตกแต่งใด เป็นความหมดจด สะอาด ธรรมชาติ ไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่หายใจเข้าและออก ชีวิตนี้ก็เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นธรรมดา ไม่ต้องคิดให้พิเศษอะไรอีก


ความเป็นพุทธะก็คือการเข้าถึงลมหายใจนี้ บริหารลมหายใจนี้ไปด้วยความบริสุทธิ์ ปราณนี้มีพลังยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่พอจะทำให้อัตตาเหี่ยวแห้งสลายไป ในลมหายใจไม่มีที่ให้อัตตาได้ประดับตกแต่งอาภรณ์ ให้ปรุงแต่ง ให้ประดับประดา ให้ไม่เป็นธรรมชาติได้ง่าย ดังนั้น ลมหายใจนี้จึงเป็นธรรมชาติ ธรรมดา และเป็นธรรมสภาวะ

แน่นอนว่า ในขณะที่หายใจก็เป็นวิถีชีวิต เป็นกิจกรรมของชีวิต เป็นความรับผิดชอบ เป็นภาระหน้าที่ เป็นการดำเนินชีวิต ทุกกิจกรรมที่อยู่ภายใต้ลมหายใจนี้จึงเป็นธรรม ไม่ต้องไปใส่ยี่ห้อว่า ลมหายใจพุทธ ลมหายใจคริสต์ ลมหายใจยิว ลมหายใจอิสลาม ลมหายใจพ่อค้า ลมหายใจประชาชน ลมหายใจนักการเมือง นายก ฝ่ายค้าน รัฐบาล เพราะลมหายใจนั้นเป็นธรรมชาติไม่ประดับประดา ไม่มีอาภรณ์ของอัตตา ผู้เข้าถึงธรรมชาติของลมหายใจย่อมเป็นธรรมชาติเดียวกัน ลมหายใจไม่ได้แบ่งชั้นวรรณะ ลมหายใจไม่มีเล่ห์กล


นักปฏิบัติธรรมหนุ่มผู้หนึ่งต้องการแสวงหาอาจารย์ที่คู่ควรในการเป็นอาจารย์ของตน เพราะอาจารย์ที่พบเห็นทั่วไปนั้นธรรมดาเกินไป เขาจึงแสวงหาอาจารย์ไปทั่วประเทศ ในที่สุดเขาก็พบอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับคนหนึ่ง เขาจึงขอสมัครเป็นศิษย์ศึกษาอยู่ที่นั่น จนแล้วจนรอดเขาไม่เห็นได้รับอะไรที่เรียกว่า พิเศษจากอาจารย์ท่านนี้เลย เขาปรารถนาที่จะได้รับอะไรที่พิเศษๆ จากอาจารย์ จนเวลาผ่านไปเกือบสองปี เขาจึงได้ไปลาอาจารย์ อาจารย์ถามว่า ทำไมไปเสียละ ไม่ศึกษาแล้วหรือ เขาจึงสารภาพว่า รู้สึกผิดหวังที่อยู่ที่นี่เป็นเวลานาน แต่ไม่เห็นได้รับฟังคำสอนอะไรที่พิเศษใดๆ เลย เป็นแต่คำสอนพื้นๆ ทั้งนั้น อาจารย์จึงได้บอกแก่เขาว่า


พุทธศาสนานั้นไม่มีอะไรที่พิเศษ ทุกอย่างมีแต่ความเป็นธรรมดาเท่านั้น ในขณะที่เธอทำความเคารพมา ฉันก็รับความเคารพเธอตอบ เมื่อเธอยื่นน้ำชามา ฉันก็รับน้ำชานั้นไว้ เมื่อเธอหิว ก็ทาน เมื่อเธอง่วง ก็หลับ นี่แหละพุทธปรัชญาหละ

นักปฏิบัติหนุ่มผู้นั้นอุทานออกมาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่า นั่นไง เป็นเพราะมีความนัยแฝงแห่งปรัชญานี้เองจึงทำให้ผมไม่เข้าใจ อาจารย์จึงรีบห้ามทันทีว่า หยุดความคิดว่าเป็นปรัชญาลงเสียบัดนี้ มิฉะนั้นก็จะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธศาสนาอีกต่อไป

โศลกว่า “การนั่งสมาธิเป็นเพียงการฝึกธรรม” คนในโลกอดไม่ได้ที่จะตกแต่งลมหายใจให้มีความพิเศษ เกินธรรมดาอยู่เสมอ อัตตาจะไม่ยอมให้คุณเข้าถึงธรรมชาติและความเป็นธรรมดาได้ง่ายๆ แม้กระทั่งในขณะนั่งสมาธิ ก็อดไม่ได้ว่าที่จะเข้าใจว่า นี่แหละที่เรียกว่า “ลมหายใจแห่งธรรม” หมายความว่า หากไม่นั่งสมาธิก็ “ไม่ใช่ลมหายใจแห่งธรรม” ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายจึงเข้าใจผิดว่า ชีวิตที่อยู่ในรูปแบบเท่านั้นที่เรียกว่า ชีวิต ชีวิตที่ไม่อยู่ในรูปแบบนั้นไม่ใช่ชีวิต


ชาวพุทธคือคนที่ระบุตนว่าเป็นพุทธในที่ใดที่หนึ่ง เป็นชาวพุทธในวัด ในขณะที่นั่งสมาธิ ในสำนักปฏิบัติธรรม พอออกจากสถานที่ตรงนั้นหรือสำนักนั้นไปแล้ว ความเป็นชาวพุทธก็หายไป เขาได้แยกลมหายใจออกจากธรรม แยกการดำเนินชีวิตออกจากธรรม แยกความเป็นพุทธออกจากการดำเนินชีวิต แยกภาระหน้าที่ออกจากการปฏิบัติธรรม จึงทำให้ความเป็นพุทธะมีได้ในขณะที่อยู่สถานที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น

แท้จริงการนั่งสมาธินั้นมีนัย ๒ ประการ ก็คือ


หนึ่งเป็นการฝึกฝนให้หยุดประกอบอาภรณ์ให้อัตตา ฝึกฝนให้ปล่อยวาง ฝึกฝนให้เป็นธรรมชาติ เนื่องจากชีวิตไม่ได้เป็นธรรมชาติไปแล้วเพราะธรรมเนียม ประเพณี คำสอน การศึกษา จริยธรรม วัฒนธรรมได้ประดับประดาชีวิตนี้ให้อลังการไปด้วยอาภรณ์ของอัตตา การจะสลัดหลุดจากสิ่งเหล่านั้นต้องฝึกฝน

อีกนัยหนึ่ง การนั่งสมาธิก็เพื่อทำให้จิตได้พักผ่อน จิตที่เคลื่อนไหวไปกับสิ่งที่ปรากฏนับไม่ถ้วน จิตเคลื่อนไหวไปกับอายตนะภายในและอายตนะภายนอก จับเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นฐานที่ตั้งให้วิญญาณเกิดขึ้น การเกิดขึ้นของวิญญาณนั่นแหละคือการทำงานของจิตอย่างไม่เวลาได้พักผ่อน ยิ่งวุ่นมาก ยิ่งกังวลมาก ยิ่งเครียดมาก จิตก็ทำงานมาก จิตเริ่มเป็นโรคแล้ว แม้บางครั้ง ผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ชีวิตกับธรรมเป็นสิ่งเดียวกันแล้ว ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งใดอีกแล้ว แต่การให้จิตพักผ่อนด้วยการนั่งสมาธิก็จำเป็น นั่นเป็นการให้พลังงานต่อจิต การพักผ่อนกายและใจเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ เป็นเงื่อนไขแห่งขันธ์นี้ เรียกว่า การบริหารขันธ์


โศลกว่า “รอยยิ้มแห่งเมตตา” การที่ผู้ใดก็ตามมีธรรมอยู่แต่ในขณะอยู่ในรูปแบบ อยู่ในเครื่องแบบ อยู่ในพิธี อยู่ในสัญลักษณ์ พอพ้นรูปแบบก็ไม่ประกอบด้วยธรรม นั่นแสดงว่า เป็นการหลอกลวงของอัตตาที่ต้องการแสดงถึงความพิเศษขึ้น เพราะแท้ที่จริงชีวิตทั้งชีวิต ลมหายใจทุกลมหายใจต้องประกอบด้วยธรรม สื่อที่แสดงออกแห่งชีวิตที่ประกอบด้วยธรรมคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเอื้อเฟื้อ เสียสละ รอยยิ้มแห่งเมตตา และสุดท้ายการกระทำทุกการกระทำมีแต่ช่วยเหลือผู้คน นี่แหละที่สื่อถึงชีวิตที่เป็นธรรม เป็นชีวิตที่บำเพ็ญ



ชาวพุทธคนหนึ่ง ได้เข้ามาถามหลวงพ่อในขณะที่บรรยายธรรมให้ฟังว่า อยากจะมาฟังบรรยาย แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะภาระหน้าที่รัดตัวไม่สามารถปลีกตัวมาฟังบรรยายได้ ยิ่งมาเห็นทุกคนนั่งฟังธรรมบรรยายอย่างสงบเรียบร้อยก็ยิ่งอยากจะทำให้ได้อย่างนั้น ดูเหมือนว่าการทำเช่นนั้นเป็นชาวพุทธที่แท้


หลวงพ่อได้ชี้แจงให้ทราบว่า คงมีความเข้าใจผิดเป็นแน่ ธรรมะที่หลวงพ่อบรรยายนั้นไม่ใช่มีเอาไว้เพื่อมาฟังที่วัด แต่เป็นนำไปใช้กับชีวิต ตราบใดที่มีลมหายใจ ตราบใดที่มีชีวิต ตราบใดที่ทำภาระหน้าที่ ตราบนั้นก็ได้ชื่อว่า ปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมมิได้หมายถึงการเข้ามาภายในวัด ชีวิตในวัดกับนอกวัดต้องเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าเข้ามาวัดจึงเป็นชาวพุทธ แต่พอออกนอกวัดเป็นชาวพุทธไม่ได้ นั่นแสดงว่ามีอะไรที่ผิดพลาดทางความเข้าใจ



อีกตัวอย่างในพุทธกาล คนรับใช้ของพระนางสามาวดี ชื่อว่า ขุชชุตตราเป็นหญิงสาวพิการหลังค่อม มีหน้าที่จัดหาดอกไม้ จัดซื้อดอกไม้บูชาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก โดยได้รับค่าชื้อดอกไม้วันละ ๘ กหาปณะ แต่นางเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งหมด ก็ซื้อดอกไม้เพียง ๔ กหาปนะ อีก ๔ กหาปนะ ก็เก็บไว้เสียเท่านี้ก็พอ ชื่อว่าได้ทำแล้วเหมือนกัน การที่แอบเก็บเงินหลวงไว้อย่างนี้ เรียกว่า “บังหลวง” ดังที่เราเปรียบเทียบสมัยปัจจุบัน รัฐมนตรีได้งบประมาณมา ๘๐ ล้านจัดงานวันวิสาขบูชา แต่ไม่ต้องใช้หมด ใช้เพียง ๔๐ ล้านก็พอ นอกนั้นก็เก็บไว้เสีย

อยู่มาวันหนึ่งคนขายดอกไม้ ได้นิมนต์พระพุทธเจ้ามาถวายเพลที่บ้าน คนขายดอกไม้ได้ขอร้องให้นางขุชชุตตราช่วยจัดแจงแต่งภัตตาหารในวันนั้นด้วย หลังภัตตาหารพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ทราบถึงโทษของการฉ้อราษฎร์ บังหลวง โทษของการทุจริตในหน้าที่ นางพอได้ฟังธรรมนั้นก็บรรลุธรรมด้วยปัญญาอันแจ่มแจ้งของตน

ในวันนั้นนางได้ซื้อดอกไม้กลับไปครบตามจำนวนเงินที่ได้เบิกมา คือ ๘ กหาปนะ ทำให้ได้ดอกไม้มากเป็นพิเศษ พระนางสามาวดีสังเกตเห็นดอกไม้มากจึงได้ถามว่า วันนี้เธอซื้อดอกไม้ ๑๖ กหาปนะหรือ นางขุชชุตตราจึงได้รับสารภาพว่า ที่ผ่านมานั้นนางได้แอบยักยอกเงินไว้ ๔ กหาปนะ แต่วันนี้ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว เห็นโทษของการทุจริต ยักยอกเงิน ไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ แม้ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่ดิฉันก็รู้อยู่แก่ใจเสมอ


พระนางสามาวดีแทนที่จะดุด่าว่ากล่าว แต่กลับบอกให้นางช่วยแสดงธรรมที่นางได้ฟังมานั้นให้ทราบด้วย นางขุชชุตตรามีความเคารพในธรรมของพระพุทธเจ้าขออาบน้ำชำระร่างกายก่อนแสดงธรรม พระนางสามาวดีจึงได้ให้คนช่วยอาบน้ำแต่งตัวให้กับนางอย่างดี จัดที่นั่งให้เหมาะสมที่จะแสดงธรรมให้แก่นาง หลังจากฟังธรรมแล้ว พระนางสามาวดีและบริวารอีกมากได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
การปฏิบัติธรรมนั้นต้องปฏิบัติธรรมทุกลมหายใจ ชีวิตนี้ต้องเป็นธรรม ไม่มีช่องว่างระหว่างชาวพุทธกับสถานที่ เพราะความเป็นชาวพุทธนั้นมิได้เป็นความพิเศษใด แต่คือความเป็นคนธรรมดาที่ธรรมชาติที่สุด มีจิตใจที่งดงาม มีความเอื้ออารี มีความเย็นภายในจิตเสมอ ความเป็นธรรมชาตินี้ต้องได้รับการฝึกฝน เพราะถ้าไม่ฝึก อัตตาก็ไม่ปล่อยให้เป็นไปได้
นี่คือ โศลกที่สิบสองแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา

ไม่มีความคิดเห็น: