วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เล่ห์กลของจิต




โศลกที่สิบ เล่ห์กลของจิต

อันตรายกับคำกำกับภาวนา
ไม่ว่าจะเป็นคำบริกรรม การนับหรือใช้คำอื่นใด
เพราะในขณะที่ใช้คำบริกรรมหรือนับภาวนา
จิตจะเริ่มทำงานทันที
จิตที่ถูกฝึกไปเพื่อมีพลัง
จิตจะเข้าสู่ระบบฤทธิ์
กลายเป็นผู้มีพลังจิต
ยากนักที่จะรู้ทันจิต
เพราะเขาคือจิต จิตคือเขา
นี่คือการซ่อนเล่ห์ของจิต
ป้องกันอันตรายเสียตั้งแต่ต้น
ให้เพียงกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น
อย่าให้จิตได้ทำงาน
ให้แต่สติทำงาน






ฤาษีชีไพรทั้งหลายในอดีตและในปัจจุบันล้วนแล้วแต่อาศัยวิธีแห่งการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรตบะตามแนวการได้พลังจิตทั้งสิ้น เพราะพลังจิตนั้นทำให้ผู้ปฏิบัติมีอำนาจขึ้นมาได้ มีฤทธิ์ขึ้นมาได้ ดำรงอยู่ได้ท่ามกลางอันตราย มีความสำคัญตนวิเศษขึ้นมาได้ ได้รับการยกย่องจากผู้อื่นทั้งบุคคลและเทพยดา อำนาจจิตที่เป็นผลแห่งการปฏิบัตินั้นจะเกิดขึ้นทันทีที่มีการใช้จิตให้รวมเป็นหนึ่ง จิตที่รวมเป็นหนึ่งจะมีพลังเพราะอาศัยการเพ่งและบริกรรม


การเพ่งและบริกรรมเป็นอุปกรณ์รวมศูนย์จิตให้แก่กล้า เข้มแข็ง ร้อนแรง ดุจดังการรวมศูนย์ของแสงไว้ที่แว่นขยาย แสงตามปกติก็มีพลังในตัวของมันเองอยู่แล้ว เช่นทำให้เกิดความร้อน ทำให้พืชและสัตว์ดำรงชีวิตอยู่ได้ เปรียบเทียบกับจิตที่มีอานุภาพในตัวของมันอยู่แล้วทำให้คนและสัตว์ทั้งหลายดำรงชีวิตอยู่ได้ พัฒนาสังคม และทำลายสังคมได้ การศึกษาท่องบ่นจดจำเป็นแนวทางฝึกจิตให้ชำนาญกว่าธรรมดา การคิดใคร่ครวญเป็นการฝึกจิตให้ชำนาญกว่าธรรมดา การมีจิตวิทยาให้ผู้อื่นเชื่อถือเป็นการฝึกจิตมากกว่าธรรม การใช้กระจกรับแสงส่องลงในจุดเดียวก็มีความร้อนมากกว่าธรรมดา



ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการใช้กระจกพิเศษที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการรับแสงให้มากกว่าเดิมเพื่อจะได้นำแสงไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ระบบ Solar System มีการนำแผงวงจรเปลี่ยนพลังแสงเป็นพลังไฟฟ้า การใช้อุปกรณ์เช่นนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับการนำอุปกรณ์การเพ่งและคำบริกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มให้จิตมีพลัง เปลี่ยนพลังจิตธรรมดาเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ นี่คือความอัศจรรย์แห่งจิตที่มีพลัง มีมานับแต่อดีต ปัจจุบันจนถึงอนาคต


คำว่า อิทธิฤทธิ์ นี่ก็เป็นผลผลิตของจิตที่มีพลัง อิทธิฤทธิ์นี้เป็นที่ต้องการและมุ่งหวังของนักปฏิบัติทั้งหลายทั้งในและนอกศาสนา ถ้าเป็นนอกศาสนาก็พบได้จากฤาษี นักพรต โยคี ชีประขาว โหรแนวจิตทำนาย พวกไสยเวทย์ นักสะกดจิตทั้งหลาย ถ้าเป็นในพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระเกจิ พระเวทย์มนต์อาคมขลัง พระเมตตามหานิยม พระสักเสกเลขยันต์ ผู้มีพลังจิตทั้งหลายเหล่านี้ยากนักที่จะแยกแยะได้ว่า อิทธิฤทธิ์กับจิตมีพลังนั้นต่างกันอย่างไร ดุจดังการแยกไม่ได้ระหว่างพลังแสงแดดกับพลังไฟฟ้าจากแสงแดดนั้นเป็นอย่างไร เพราะสุดท้ายก็จะกลายเป็นสิ่งเดียวกันเมื่อมันแสดงผลออกมา



สิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้ก็คืออุปกรณ์การรับแสงนั่นเองที่เป็นตัวปรับเปลี่ยนพลังงานอย่างหนึ่งให้กลายเป็นพลังงานอีกอย่างหนึ่งได้ เฉกเช่นอุปกรณ์การเพ่งและบริกรรมนั่นเองที่เป็นตัวแปลงจิตจากพลังจิตให้เป็นอิทธิฤทธิ์ได้ เนื่องจากความอัศจรรย์แห่งพลังจิตนี้เองจึงทำให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายตกลงในหลุมพรางที่จิตได้ขุดดักล่อไว้ เป็นเล่ห์กลของจิต ต่างพากันเกิดความพึงพอใจในความพิเศษที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรู้อดีต รู้อนาคต ทำนายจิตผู้อื่นได้ เปลี่ยนแปลงโมเลกุลธาตุอย่างหนึ่งให้เป็นอย่างหนึ่งได้ เป็นต้น

จึงไม่แปลกเลยว่า เหตุใดพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจึงไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาที่แท้จริง สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ความไม่ประสบความสำเร็จนี้ก็คือ


คุณภาพชีวิตตามแนวพุทธของคนไทยหายไป หายไปอย่างมาก มีความโลภมีโทสันมากขึ้น มีการใช้ความรุนแรงกันมากขึ้น โกรธกันมากขึ้น โหดเหี้ยมมากขึ้น จิตอิจฉา ริษยา ตำหนิติฉินนินทา พูดให้ร้าย รังเกียจกันมากขึ้น ศีล ๕ ซึ่งเป็นเกณฑ์การปฏิบัติตนขั้นต้นนั้นถูกละเมิดมากขึ้น


ไม่เว้นแม้กระทั่งในสำนักปฏิบัติธรรม นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงนอกสถานที่ปฏิบัติธรรม เช่นในโรงเรียน ในสถานที่อันน่าเคารพอย่างรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล หรือสถานที่ราชการทั้งหลาย เมื่อมองภาพรวมแล้วจึงสรุปได้ว่า เป็นความผิดพลาดในการเผยแผ่และการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธไทย ถามว่าทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น

โศลกว่า “อันตรายกับคำกำกับภาวนา” พระพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลของการปฏิบัติสมาธิตามแนวมันตรยานมาในอดีตและสืบทอดต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่รู้สึกตัว พึงทราบว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยนี้ผ่านยุคสมัยที่มีการผสมผสานกันระหว่างกระแสพระพุทธศาสนา ๒ สาย ได้แก่ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานและพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท


ร่องรอยที่สามารถย้อนไปให้นึกได้ก็คือ พระพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้นมีแต่เรื่องของไสยเวทย์ พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงทั้งหลายในประเทศล้วนแล้วแต่เป็นพระที่มีคาถาอาคม เป็นพระเกจิมีพลังจิตหยั่งรู้อดีตและอนาคต เป็นพระที่สามารถปราบภูตผีปีศาจ เป็นพระสักเสกเลขยันต์ ลงวิชาอาคมในเหรียญ ประเจียด

ตะกุดให้ชาวบ้าน ทหาร ตำรวจ รูปแบบพระสงฆ์ไทยนั้นเป็นแบบเถรวาท แต่แนวทางปฏิบัตินั้นเป็นมหายาน แต่เป็นมหายานที่ได้กลายพันธุ์มาเป็นเถรวาทไปแล้ว สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางปฏิบัติเป็นแบบมหายานนั้นก็คือ แนวทางแห่งการได้มาซึ่งพลังจิตนี่เอง ซึ่งเป็นแนวทางเดิมตามที่ก่อนจะมีพระพุทธศาสนา การได้มาซึ่งพลังจิตนี้ก็มาจากอุปกรณ์ในการฝึกจิตนั่นเอง อุปกรณ์ในการฝึกจิต ก็คือการเพ่งและการบริกรรม




ก็การเพ่งและบริกรรมนั้นเป็นเรื่องของการรวมศูนย์จิต (สมถะ) แนวทางแห่งสมถะนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหายในตัวของมันเอง เปรียบเหมือนผู้ได้อาวุธวิเศษอยู่ในมือ อันตรายย่อมเกิดขึ้นโดยง่ายอย่างน้อยที่สุดก็เกิดความภูมิใจในอาวุธวิเศษที่อยู่ในมือของตน เพียงแค่ภูมิใจ พอใจ ยินดีในอาวุธวิเศษได้แก่พลังจิตนั้นเท่านั้นก็ทำให้พลาดแนวทางของพระพุทธศาสนาไปทันที ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการนำไปใช้เลย การนำอาวุธวิเศษไปใช้โดยมากก็นำไปใช้ที่ออกจากนอกตัว ไม่ใช่ใช้เข้าไปในตัว การใช้อาวุธวิเศษนอกตัวเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์อยู่แล้ว เช่น การทำให้ได้ลาภสักการะ ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ได้รับคำสรรเสริญเยินยอ ได้ทรัพย์สินเงินทอง น้อยนักที่จะใช้เข้าไปภายในตัวเพื่อนำไปสู่การลด ละ เลิก ปล่อยวางและเข้าถึงความว่าง



ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ผิดนั้นทำให้เพิ่มตัวอัตตาขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว คำกล่าวเชิงเสียดสีของสังคมที่มีต่อผู้ปฏิบัติธรรมจึงมีว่า “นักปฏิบัติขี้โกรธ พวกสันโดษขี้ขอ” ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะอัตตาที่แฝงอยู่ในคำบริกรรมและการเพ่งนั้นมีพลังเหลือเกิน เกินที่ผู้นั้นจะทันและยับยั้งมันได้ หลายคนถึงกับโพล่งวาจาด่าผู้อื่นแม้กระทั่งในยามปฏิบัติธรรม

นั่นก็เพราะอัตตานั้นสั่งสมลงในอุปกรณ์นั้นมาก มากจนทำให้อัตตานั้นกลายเป็นพลังจิตขึ้นมาได้ ยิ่งพลังจิตมากเท่าใดอัตตาจะเติบโตตามมากเท่านั้น อัตตานั้นจะแสดงท่าทีออกมาในหลากหลายรูปแบบตามฐานจริตของผู้นั้นอย่างแนบเนียน แนบเนียนเสียจนเจ้าตัวไม่ทราบด้วยซ้ำว่า นั่นเป็นอัตตาของตน เพราะจิตได้รวบรวมเข้ากับอัตตาที่ยึดมั่นจิตว่าเป็นเราเป็นเขาอย่างแนบแน่น นี่เองที่เป็นเหตุให้ชาวพุทธในประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับสำนักปฏิบัติธรรม วัดวาอาราม และชาวพุทธในประเทศไทยที่มีอยู่

โศลกว่า “อย่าให้จิตได้ทำงาน ให้แต่สติทำงาน” การใช้สติกำหนดไปที่ลมหายใจเข้าออก รู้ลมหลายสั้นหรือยาวธรรมดาเท่านี้ก็เพียงพอแล้วในการเริ่มให้จิตมีพลัง อุปกรณ์คือลมหายใจ เครื่องมือคือสติ ลมหายใจไม่สามารถก่อเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ จิตไม่สามารถปรุงแต่ลมหายใจได้ จึงเป็นการป้องกันอันตรายได้ส่วนหนึ่ง เมื่อสติดูลมหายใจเข้าออกได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน แสดงให้เห็นถึงความสงบเกิดขึ้นแล้วในจิต จิตในขณะนี้มีความเหมาะสมในการนำไปพิจารณาให้เห็นความว่างที่ปรากฏอยู่ในลมหายใจ ซึ่งถือเป็นกายตามฐานแห่งสติขึ้นต้น จิตถูกสติกำกับอยู่จนไม่สามารถออกนอกลู่นอกทางได้ ไม่สามารถยึดสิ่งใดได้ มีแต่ความว่างที่จิตพิจารณาเห็นอยู่

การพิจารณาเห็นความว่างของจิตนี้เองเป็นแนวทางแห่งพระพุทธศาสนาที่แท้ เพราะเป็นการใช้จิตที่มีพลังย้อนกลับไปทำงานภายใน (วิปัสสนา) เมื่อจิตถูกสติกำหนดให้เห็นแต่ความว่างอย่างนี้แล้ว จิตก็ไม่มีอะไรให้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้ การที่จิตยึดมั่นในความว่างไม่ได้ เพราะตัวของมันเองไม่ได้ทำงาน แต่ถูกใช้งานด้วยพลังแห่งสติ สติที่คมกล้าและเข้มแข็งมากเท่าใด จิตก็ถูกใช้งานได้ดีมากเท่านั้น การบำเพ็ญภาวนาก็คือการบำเพ็ญสตินี่เอง สติที่เห็นจิตเคลื่อนไหว ก็เท่ากับการเห็นอัตตาที่เคลื่อนไหว



เปรียบกับแสงแดดที่แรง มีพลัง ถูกควบคุมกำหนดให้ส่องลงในความว่างเปล่า ส่องลงในนภากาศที่เวิ้งว้าง แสงยิ่งแรงเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นความว่างมากขึ้นและชัดขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับจิตที่ถูกกำหนดเบื้องต้นที่ลมหายใจทำให้มีพลัง แล้วใช้จิตนั้นพิจารณาความว่างของลมหายใจนั้น สติควบคุมดูแลจิตให้ทำงาน มิใช่ตัวของมันเองทำงาน จิตที่ถูกกำหนดให้พิจารณาความว่าง ก็จะทำให้เห็นเส้นสายที่โยงใยผูกสิ่งต่างๆ ให้เป็นตัวเป็นตน เป็นรูปร่าง เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นมานะ เป็นทิฏฐิ ขึ้นมา แท้จริงมันคือความว่างเท่านั้น เมื่อนั้นจิตก็จะเข้าใจสัจธรรมของสรรพสิ่งที่มีแต่ความว่าง แม้กระทั่งตัวของมันเองก็ว่าง สติก็กำหนดให้จิตมองมันเอง เพราะจิตมีพลังจึงจะเห็นความว่างของจิตเองได้ มิฉะนั้นไม่สามารถพิจารณาเห็นได้




เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายการปฏิบัติที่ไม่เสี่ยงอันตราย ไม่นำไปสู่การเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ไม่นำไปสู่การมีพลังจิตที่เป็นอิทธิฤทธิ์ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของอัตตา การปฏิบัติตามเส้นทางสายนี้จะมีอาการลด ละ เลิก และปล่อยวางในที่สุด ก็ในเมื่อสรรพสิ่งเป็นแต่ความว่างแล้วจะมีอะไรให้ต้องยึดมั่นถือมั่นอีก เพียงแค่การพิจารณาเห็นความว่างเช่นนี้ ก็เท่ากับได้จุดเทียนปัญญาสว่างขึ้น ความมืดคืออัตตาลดลงไปได้ระดับหนึ่ง ถ้ายิ่งสว่างมากก็ลดลงมาก จนสว่างอยู่ตลอดเวลา คือมีปัญญาได้แก่สติทุกลมหายใจ อัตตาซึ่งเป็นที่ฝังตัวของกิเลสทั้งหลายมิใช่ให้เข้าไปไล่ทำลาย เพียงแต่มีแสงสว่างคือปัญญานี่แหละมากขึ้น กิเลสคือความมืดนั้นก็ลดลงโดยปริยาย







มีพระราชาหนุ่มของเมืองๆ หนึ่ง ก่อนที่พระราชบิดาที่สิ้นพระชนม์ไปได้กำชับพระโอรสไว้ว่า มีห้องที่อันตรายห้องหนึ่งที่ไม่อาจเปิดได้ ห้องมืดนี้ถูกปิดตายมานาน มีซาตานและปีศาจชั่วร้ายอยู่ภายใน มีเรื่องเล่ากันว่า คนที่เคยเข้าไปห้องนี้มีแต่เสียชีวิตทั้งนั้น นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอีกเลย




พระราชาหนุ่มปรึกษากับเสนาอำมาตย์ทั้งหลายว่าจะปราบปีศาจตนนี้ให้ได้ จึงได้รวบรวมพ่อมดหมอผีที่มีอาคมทั่วทั้งแผ่นดินมาปราบ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิดประตูนี้เพียงแต่ยืนทำพิธีอยู่ภายนอก ต่างก็ให้ความเห็นกันต่างๆ นานาว่า ปีศาจตนนี้ร้ายกาจเกินที่จะต่อสู้ได้ สุดท้ายมีชายหนุ่มผู้หนึ่งบอกว่า เขาจะปราบปีศาจตนนี้เอง โดยขอให้พระราชาตกลงก่อนว่า จะต้องทำตาม พระราชาจึงทำตาม ชายหนุ่มคนนี้เพียงแต่ให้พระราชากระซิบต่ออำมาตย์ผู้หนึ่งว่า ห้องนี้มีสมบัติมหาศาลที่พระราชาปกปิดไว้ แต่อย่าบอกให้ใครทราบ หลังจากนั้นไม่นาน ห้องมืดที่ปกปิดมิดชิดนั้นก็ได้ถูกกลุ่มนักล่าสมบัติงัดแงะทำลายเสียสิ้น



ความมืดเป็นเพียงกิเลสที่ปกปิดจิตไม่ให้รับรับรู้ความจริง ทางที่จะกำจัดกิเลสนั้นมิใช่การไล่จับกิเลสที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ปราบโลภ ปราบโกรธ หลง อิจฉา ถีนะ มิทธะ มักขะ อุปนาหะ ปลาสะ ถัมภะ อติมานะ เป็นต้น กิเลสเหล่านี้ถูกขังอยู่ในห้องมืดนั้น ทางที่จะปราบกิเลสเหล่านี้ก็คือ ทำห้องให้สว่าง ทำความมืดให้หายไป เพียงเท่านี้กิเลสก็ไม่สามารถแฝงตัวอยู่ได้ เพียงแค่เปลี่ยนทัศนคติจากการไล่ล่า มาเป็นการเพิ่มดวงไฟปัญญา




อย่าได้ให้อาวุธกับจิตโดยเด็ดขาด เพราะจิตนั้นเจ้าเล่ห์ มันจะพลิกผันจากตามเป็นนำโดยท่านไม่รู้ตัว และเมื่อจิตครอบครองได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็เท่ากับท่านตกอยู่ในอำนาจของมารคืออัตตา (กิเลสมาร) ในที่สุด




นี่คือ โศลกที่สิบแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา

ไม่มีความคิดเห็น: