วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๕)


บทที่สอง
ทุรชน


อาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาลูกหนึ่ง จนกลายเป็นร่มเงาธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ทำให้ความร้อนผ่อนคลายลงบ้าง
ในยามเที่ยงเช่นนี้ประกายแสงอันเจิดจ้าร้อนแรงแผดเผาสรรพสิ่ง ต้นไม้ใบหญ้าไหม้เกรียม

นั่นเป็นความสมดุลแห่งชีวิตเช่นกัน บางครั้งก็สงบเย็น บางครั้งก็เล่าร้อน
บางครั้งก็แทบไม่อยากเชื่อและนึกไม่ถึงว่า
แท้จริงยังมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่หรือ?
เพราะโลกเป็นจริงเช่นนี้จึงมีผู้คนร้องไห้ และผู้คนจึงหัวเราะ

ทินเล่อยากตั้งคำถาม ไฉนดวงอาทิตย์ที่นี่กับดวงอาทิตย์ที่ดินแดนของตนจึงแตกต่างกัน?
ใช่ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันหรือไม่
ใยดวงอาทิตย์ที่ราลโปช่างส่องแสงนุ่มนวล ดุจมีน้ำใจ
สายลมก็เย็นบางครั้งก็เหน็บหนาว แต่ที่นี่กลับรุนแรง
แผดร้อน สาดแสงลงมาคล้ายดั่งต้องการเผาใหญ่ทุกสิ่งบนโลกมอดไหม้เป็นจุณ

ต้นไม้บนภูเขาเตี้ยๆ ก็เป็นเพียงต้นไม้เล็กๆ กระแสลมได้พัดม้วนฝุ่นสีแดงคละคลุ้งกระจายไป
สายลมหอบเอาไอร้อนกระทบใบหน้า ทำให้พลอยเกลียดสายลมที่เคยรักมาแต่เดิม

นี่เป็นดินแดนใด?!
หรือนี่คือ…..ทะเลทราย
เพียงชั่วครู่ที่ได้หลบร้อนอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งภูเขา ช่วงเวลาเช่นนี้มักผ่านไปรวดเร็ว
ไม่นานดวงอาทิตย์โผล่ออกมาเยือนมันอีก คล้ายดั่งสาดส่องเพื่อมันเพียงผู้เดียว
ผู้คนมักเป็นเช่นนี้ ในยามประสบทุกข์
หรือได้รับหายนะมักคาดคิดว่า ไม่มีผู้ใดเลวร้ายกว่าตนอีกแล้ว
ชายร่างกายกำยำสามคนกำลังมุ่งตรงมาที่มันยืนอยู่ ร่างกายพวกมันทำจากเหล็กกล้าหรือไร?
แสงอาทิตย์ไม่อาจทำอะไรพวกมันได้?
ท่าทีที่พวกมันมาคล้ายดั่งหนีบางสิ่งมา
“เจ้าจะไปในหมู่บ้านหรือ?” ชายผู้หนึ่ง นุ่งเพียงผ้าผืนเปราะเปื้อนฝุ่นผืนหนึ่ง เอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ใช่” มันตอบอย่างไม่แน่ใจนักว่า ชายผู้นี้มีจุดประสงค์ใด
“ข้าเพียงอยากได้อาหาร อยากได้น้ำดื่ม และอยากอาศัยร่มเงาพักผ่อนเท่านั้น”
“ไม่ว่าเจ้าจะมีจุดประสงค์ใด พวกเราขอบอกเจ้าว่า อย่าได้ไปดีกว่า ไปกับพวกเราเถอะ”
“ทำไมเราต้องไปกับพวกท่าน”
“เพราะนี่คือ ทางรอด”
“ทางรอดใด?” มันยิ่งสงสัยมากขึ้น
“ภายในหมู่บ้านถูกพวกทหารมองโกลทำลายไปแล้ว พวกมันต้อนผู้คนไปทำงานในค่าย
พวกมันกำลังจะทำสงครามกับเมืองปุรุสปุระ”
“ทำไมท่านจึงหนีมาได้”
“เพราะพวกเราไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน” ชายอีกคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ คล้ายการจากมาของมันเป็นความผิดฉะนั้น
“แล้วผู้อื่นเล่า!”
“เจ้าอย่าได้ถามเลย” ชายอีกคนหนึ่งชิงตอบขึ้น “ขอเตือนเจ้าอย่าได้ไปเท่านั้น”
“ขอบคุณในความหวังดีของพวกท่าน” ทินเล่ กล่าวขอบคุณพวกมัน พร้อมทั้งให้เหตุผล “ข้าไม่ใช่พวกทหาร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ข้าต้องการเดินทางไปสู่วิกรมศิลา คงไม่เป็นไร พวกท่านไปเถอะ”
“เจ้าประเมินผู้อื่นเป็นวิญญูชนเกินไป” กล่าวเสร็จพวกมันจึงหลีกไปโดยเร็ว “อย่าได้บอกว่าเจอพวกเราละ”
“การประผู้อื่นเป็นวิญญูชนมีที่ใดไม่ดี?” ทินเล่ไม่ทันกล่าวคำนี้ออกไป แต่มันก็คิดไม่ออกว่า การมองผู้อื่นในแง่ดีนั้นไม่ดีตรงไหน




วิญญูชน มักประเมินผู้อื่นมีจิตใจงดงามเช่นตน
หารู้ไม่ว่ายังมีคนที่ตนคาดคิดไม่ถึงอีกมากนัก
ด้วยเหตุนี้วิญญูชน มักถูกทำร้ายอยู่เสมอ


ดวงอาทิตย์ลดความรุนแรงลงแล้ว
มันยิ่งไม่เข้าใจว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น

ความอยากรู้เป็นพลังขับเคลื่อนประการหนึ่ง
ยิ่งอยากรู้ก็ยิ่งไคว่คว้าแสวงหา
เป็นเหตุให้คลายความเหนื่อยล้าได้
บ้านเรือนไร้ผู้คน ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือบางหลังยังมีควันไฟครุกรุ่นเผาไหม้
กลิ่นควันไฟคล้ายเผาสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างจนทำให้อยากอาเจียน
ชายชราผู้หนึ่งนั่งเงียบซึมอยู่ข้างเกวียนคร่ำคร่า
ดวงตาทั้งสองของเขาขุ่นมัวไม่ทราบว่าเคยเห็นสิ่งใดหรือไม่
ไม่ทราบว่าดวงตาคู่นั้นสูญเสียน้ำตาไปมากเท่าใด?
ริมฝีปากมีรอยช้ำเพราะถูกฟันกัดแน่นคราหนึ่ง เสียงบ่นพึมพำไม่ได้ความดังแผ่วเบาไม่ได้ศัพท์
เสียงเคาะไม้เป็นจังหวะดังมาพร้อมกับเสียงหนึ่ง

ซ่างซัว ชายแดนกันดาร
เงียบสงบไร้ผู้รุกราน
ครอบครัวเป็นสุขสำราญ
บัดนี้…ถูกเผาผลาญย่ำยี
โอ…ฟ้าไหนว่าเมตตายุติธรรม
กรรมดีย่อมได้ดีน้อมนำ
ใยต้องให้ข้าทนทุกข์ จมอยู่ในความจำ
เสาเรือนซ่างซัว เป็นแต่ซากผงธุลี เอย….


ทินเล่ไม่ทราบเป็นผู้ใดคร่ำครวญ แต่เพียงทราบว่า
เสียงขับขานนั้นเศร้าจับใจ
เสียงขับขานนั้นมาจากจิตใจทุกข์ทนยิ่งแล้ว

เป็นความจริงยิ่ง บทกวีที่งดงามไพเราะ
ไม่ทราบแลกมาด้วยน้ำตาเท่าใด

(อ่านต่อตอนต่อไป)



วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ความงามนั้นสำคัญไฉน?











ความงามหรือสุนทรียศาสตร์เป็นเรื่องที่มนุษย์ปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ไม่น้อย เพราะแท้จริงมนุษย์มีสุนทรียธาตุอยู่ภายในตัวตนของมนุษย์นี่แหละ จะเห็นได้จากมนุษย์มักจะชมชอบความงามที่ปรากฏขึ้น หรือที่เข้ามากระทบอายตนะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มนุษย์สร้างสรรค์ศิลปะวิทยาการประดับโลกอย่างวิจิตรพิสดารไม่เพียงเฉพาะมนุษย์ในโลกที่พัฒนาแล้ว มนุษย์เผ่าทั้งหลายก็ยังมีการประดับประดาตัวตน อาคาร สถานที่ของตนด้วยเครื่องประดับด้วยคิดว่าสิ่งนั้นทำให้เกิดความสวยงามขึ้น ความงามทำให้ชีวิตรื่นรมย์แจ่มใส ถ้าชีวิตมนุษย์ขาดสิ่งนี้ไปเสียอย่างหนึ่งแล้ว ชีวิตของมนุษย์ก็มีแต่ความแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา ความงามจึงเป็นที่ต้องการของมนุษย์และแสวงหาสิ่งสวยงามมาครอบครอง โดยเฉพาะความงามที่มีในสตรีเพศและหรือในบุรุษเพศ

ในปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อผู้คนต่างพากันแสวงหาความงามในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นความงามบนร่างกายและความงามในวัตถุ สำหรับการแสวงหาความงามบนร่างกายยิ่งนับวันยิ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้นเมื่อมนุษย์ต้องการทำให้ร่างกายที่เป็นอยู่เปลี่ยนไปให้งามตามความเชื่อของโลก
โดยใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยสร้างความงามบนร่างกายให้เกิดขึ้นโดยวิธีผ่าตัดตกแต่งร่างกายจนกลายเป็นปัญหา ส่วนความงามทางวัตถุก็มีการสร้างเครื่องประดับตกตกแต่งร่างกายที่เป็นอัญมณีและที่เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งหลาย จนทำให้ปัจจุบันธุรกิจด้านเสริมความงามได้รับความนิยมไม่เพียงเฉพาะแต่ผู้หญิงรวมไปถึงผู้ชายด้วย


แน่นอนสิ่งใดมีคุณมหันต์สิ่งนั้นก็มีโทษอนันต์เหมือนกัน ความงามก็เช่นนั้นมีทั้งคุณประโยชน์และโทษเช่นกัน ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของคนที่ต้องเลือกบริโภคความงามนั้น ปัญหาหลักก็คือการแย่งสิ่งที่งามของกันและกันมาครอบครองจนกลายเป็นการทำร้ายและทำลายกันและกัน ปัญหาต่อไปก็คือปัญหาที่เกิดภายในตัวความความงามเอง ก็คือการตกเป็นเป้าหมายของคนทั้งหลายจนกลายเป็นอันตรายสำหรับสิ่งที่มีความสวยงามนั้น โดยเฉพาะสตรีที่มีความงาม นอกจากนั้นก็เกิดปัญหาจากการเสริมความงามให้แก่ตนโดยการประดับตกแต่งเรือนร่าง เป็นเหตุให้เกิดการเสียทรัพย์และเสียชีวิตเกิดขึ้น ทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องอื่นๆ อีก เช่นกลายเป็นปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นต้น





ความเข้าใจผิดในเรื่องความงามก็เป็นปัญหาใหญ่ กล่าวคือ โลกกำลังให้ความสำคัญเฉพาะปัญหาทางกายภาพ แต่ละเลยปัญหาความงามด้านจิตภาพ จึงพบว่า สังคมเกิดความวุ่นวาย ขัดแย้ง ทำลายกันและกันเนื่องจากขาดความงดงามทางจิตใจ จิตใจของคนไม่งดงาม ประกอบไปด้วยสิ่งสกปรกนานัปการ ไม่ได้รับการชำระ ไม่ได้รับการทำความสะอาด มีแต่พอกพูนความไม่สะอาดเข้าไปไม่ขาด สภาพการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้วิถีชีวิตของแต่ละคนมืดมัวลงไป


พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญต่อความงามทางด้านจิตภาพมากกว่า เพราะถ้าหากมีความงามที่มาจากภายในแล้ว ความงามภายนอกก็จะปรากฏออกมาเอง ความงามทั้งร่างกายและจิตในมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น เมื่อมีจิตใจที่งดงามจะส่งผลให้ร่างกายงดงามเช่นกัน เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์แล้ว มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ นักวิทยาศาสตร์ได้คนคว้า พบว่า ร่างกายมนุษย์ ส่วนศีรษะมีต่อมใต้สมอง มีชื่อว่า พิทูอิททารี ต่อมนี้มีความสัมพันธ์กับจิตใจโดยตรง ในขณะใดก็ตาม สภาวะของจิตมีความเร่าร้อน ครุกรุ่น ด้วยกิเลส ต่อมนี้จะหลั่งสารทุกข์ (Cortical และ Adrenaline) ออกมา สารทุกข์จะหล่อเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกายมีผลให้ใบหน้า ผิวพรรณ หมองคล้ำ เหี่ยวย่น และทำนองเดียวกัน ขณะใด จิตอยู่ในสภาวะปกติเบาสบาย สงบ บริสุทธิ์ ต่อมพิทูอิททารี จะหลั่งสารสุข (Endorphin) ออกมา สารสุขหล่อเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย มีผลให้ใบหน้าผิวพรรณ เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล งดงาม เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น จะเห็นได้ว่า ผู้มีจิตใจงดงาม สงบ บริสุทธิ์ มีผลให้ร่างกายมีความงดงามไปด้วย ความงามภายในนี้ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องสูญเสียทรัพย์สินมาก แต่กลับได้ผลมาก เพียงสร้างความงามขึ้นภายในใจ ความงามภายนอกก็จะปรากฏขึ้นตามมาเอง และเป็นความงามที่ยั่งยืน ไม่เป็นอันตราย มีแต่คุณไม่มีโทษ

พระพุทธศาสนาไม่ให้ความสำคัญต่อความงามบนเนื้อหนังแต่ให้ความงามที่ปรากฏในจิตใจ ความงามที่ปรากฏในจิตใจเท่านั้นจึงเป็นความงามที่แท้จริง และเป็นความงามที่เป็นอมตะ ดังนั้นทุกคนต้องแสวงหาความงามทางจิตจึงจะเข้าถึงความงามที่แท้ได้


วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ที่มาพระอวโลกิเตศวร (กวนยิน)




ถ้าพูดชื่อนี้ “พระอวโลกิเตศวร” ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาแบบมหายานก็คงไม่คุ้นชื่อนัก แต่ถ้าบอกว่า “เจ้าแม่กวนอิม” ชาวพุทธในประเทศไทยก็คงรู้จักบ้างไม่มากก็น้อย เพื่อให้เป็นประโยชน์ทางการศึกษาพระพุทธศาสนาจึงขอนำเรื่องนี้มาเสนอลงในหนังสือพิมพ์ไทยพุทธ ฉบับปฐมฤกษ์นี้ สำหรับผู้ที่มีความศรัทธาในพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์แล้ว ก็อาศัยมหาเมตตาจากท่านได้เป็นพลังช่วยเหลือเกื้อกูลให้หนังสือพิมพ์ไทยพุทธได้ปรากฎชื่อในบรรณพิภพอีกฉบับหนึ่ง

ที่มาของพระอวโลกิเตศวร

ก่อนที่พระแม่กวนอิม หรือกวนยินโพธิสัตว์จะเป็นที่รู้จักกันในชื่อนี้ กาลก่อนนั้นชื่อที่เรียกพระองค์โพธิสัตว์ว่า อวโลกิเตศวร ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบทบาทมากทั้งที่ปรากฏในวรรณกรรมเป็นปฏิมากรรม จิตกรรม และเป็นศูนย์รวมของศรัทธาพุทธศาสนิกฝ่ายมหายานกันทุกนิกายในทุกประเทศ คือ พระอวโลกิเตศวร ความเชื่อที่มีต่อพระมหาโพธิสัตว์องค์นี้ ดุจดังความเชื่อของผู้คนที่มีต่อพระนารายณ์ของฮินดูและความเชื่อที่มีต่อท้าวสักกะ (พระอินทร์) ของชาวพุทธเถรวาท พระอวโลกิเตศวรนั้นมีอิทธิพลอย่างมาก ทั้งได้รับความนับถือไม่เสื่อมคลาย

ความเป็นมาของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั้นยังไม่ชัดเจน แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เชื่อว่า พระอวโลกิเตศวรคงมีมาแต่ก่อน พ.ศ. ๕๐๐ เพราะคัมภีร์มหายานที่เก่าแก่ที่สุดก็มีอายุประมาณ พ.ศ. ๖๐๐ แม้ว่าจะมีนักปราชญ์ทางตะวันตกบางท่านเห็นว่า ในบทที่ ๒๔ ของคัมภีร์เล่มนี้ ในสำนวนร้อยแก้วที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระอวโลกิเตศวรที่มีความยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า ข้อความนั้นมีว่า

“พระศรีศากยมุนีได้รับสั่งแก่พระโพธิสัตว์อักษยมติว่า บรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดที่ได้แสดงความต่อพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร แม้แต่เพียงครั้งเดียว ก็จักได้บุญกุศลเท่ากับผู้ซึ่งกราบไหว้บรรดาพระพุทธเจ้าซึ่งมีอยู่ ๖๒ เท่าของเม็ดทรายในแม่น้ำคงคามาตลอดชีวิต”

ข้อความเหล่านี้คงมีอยู่ในคัมภีร์อื่นที่เก่ากว่าคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตรแล้วนำมาต่อเติมในคัมภีร์นี้ จากข้อความดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า พระอวโลกิเตศวรนั้นมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตและวิถีความคิดของประชาชนโดยทั่วไปอยู่ก่อนแล้ว ตามลักษณะและบทบาทของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้นเป็นองค์แห่งการุณ (Goddess of Mercy) คือ ความกรุณา

พระโพธิสัตว์ ผู้ปรากฏกายอยู่ทั่วไปเพื่อช่วยสรรพสัตว์ผู้ได้รับความทุกข์เสมอ ปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้รับการสันนิษฐานว่า มีส่วนคล้ายคลึงกับเทพเจ้าสะเราษะ (Srausha) หรือเทพเจ้ามิถระ (Mithra) ของอิหร่าน ซึ่งปรากฏในคัมภีรอเวสตะที่มีบาทบาทว่าเป็น เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง เป็นผู้ให้ชีวิต เป็นเทพเจ้าแห่งความจริง แห่งความซื่อสัตว์ ให้คำมั่นสัญญา ลงโทษผู้ไม่ซื่อสัตว์ ช่วยผู้ที่ตายไปแล้วให้ไปสู่สวรรค์ พระอวโลกิเตศวรก็มีปาฏิหาริย์เช่นนี้และช่วยเหลือให้ผู้ที่ทำความดีเมื่อตายไปจะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นสุขาวดี




ภาพเหล่านี้ปรากฏที่ถ้ำตุนฮวงของจีน ยิ่งในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ กษัตริย์ราชวงศ์โสสิสานิดของอิหร่านถูกกองทัพอาหรับรบชนะเป็นเหตุให้แนวความคิดของเทพเจ้าของอิหร่านมาผสมกับพระอวโลกิเตศวรมากยิ่งขึ้น ยิ่งมีการพรรณนาอภินิหารมากมายจนทำให้ผู้เลื่อมใสศรัทธาสับสน เพราะนำไปผสมเข้ากับเทพเจ้าของลัทธิศาสนาอื่น

คัมภีร์ที่พรรณนาอภินิหารและกิจกรรมของพระอวโลกิเตศวร เช่น คัมภีร์สุขาวดีวยูหสูตร, คัมภีร์อมินายุรพุทธานุสมฤติสูตร, คัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตร, คัมภีร์โลเกศวรศตกสูตร, คัมภีร์การัณฑ วยูหสูตร, คัมภีร์มัญชุศรีมูลกัลปะ, คัมภีร์สาธนมาลา เป็นต้น โดยเฉพาะคัมภีร์อมิตายุรพุทธานุสมฤติสูตร พรรณาว่า
“พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ทรงมีลักษณะเป็นเจ้าแห่งจักรวาล ขั้นต้นพระองค์มีขนาดที่วัดไม่ได้ มีเศียรสูง ๓ เมตร พระองค์สูง ๘๐๐ เมตร เปรียบเทียบกับภูเขา ทุกขุมขนของพระองค์มีโลกอยู่ภายใน พระองค์ทรงบันดาลให้เกิดมีเทพเจ้า”

ดังนั้น จิตรกรทั้งหลายจึงนำลักษณะเหล่านั้นมาวาดและแกะสลักให้เห็นเป็นรูปลักษณ์ที่น่าศรัทธาเลื่อมใสและบางครั้งก็มีรูปลักษณ์ที่น่ากลัว จากนัยนี้ทำให้สันนิษฐานได้อีกว่า พระอวโลกิเตศวร นั้นมีลักษณะเหมือน “ปชาบดี” ผู้สร้างชีวิตและจักรวาล ในคัมภีร์พระเวท ดุจดังพรหมันในกาลต่อมา ในขณะเดียวกันในคัมภีร์มัญชุศรีมุลกัลปนะได้พรรณาลักษณะของท่านคล้ายดั่งพระอิศวรในศาสนาพราหมณ์นิกายไศวะ คือ พระศิวทฤษฏิคุรุ เทพเจ้าแห่งการมองเห็น จนมีผู้กล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรก็คือพระอิศวรในพระพุทธศาสนา ดังที่ปรากฏในคัมภีร์พฤตัสถกถาของแคว้นแคชเมียร การประทับเหนือดอกบัวก็ดี เทพยดาล้อมรอบก็ดี ล้วนมีส่วนเหมือนกัน

ในรัชสมัยของราชวงศ์กุษาณะ พบรูปสลักของพระอวโลกิเตศวร ศิลปะคันธารและกุษาณะ รูปสลักนั้นมีรูปพระอมิตาภะอยู่เหนือพระนลาฏ หลักฐานนี้สันนิษฐานเทียบใกล้เคียงกับเทพเจ้าของอิหร่านมากคือ เทพเจ้าซุรวานอักนารัก (Zurwan Akanarak) ของชนเผ่ามาจ (Mage) ซึ่งอยู่แถบซินเดรีย เทพองค์นี้เป็นเทพแห่งแสงสว่าง (อมิตาภะ) เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันตกซึ่งเป็นหนึ่งในห้าองค์สำคัญ ต่อมามีการนับถือเทพเจ้า ๓ องค์ คือ พระอมิตาภะอยู่กลาง พระอวโลกิเตศวร อยู่ด้านขวา พระมหาสถามปราปต์ อยู่ด้านซ้าย ต่อมาเมื่อความเชื่อนี้ไปเจริญในทิเบต พระวัชรปาณีโพธิสัตว์มาแทนพระมหาสถามปราปต์ โดยมีลักษณะ ๓ ประการคือ แสงสว่างเทพเจ้า ปัญญา


อ่านต่อฉบับหน้า

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๔)
















ภาพในห้วงละเมอเข้ามาเสียดแทงจิตใจของมันเสมอ
ภาพนั้นคล้ายดั่งเป็นความจริงที่เกิดขึ้น
มันย่อมทราบจิตใจของพ่อแม่และธากีณีดี
มีแต่ต้องทำตามปณิธานของตนให้ถึงที่สุดเท่านั้นจึงจะทำให้มันรู้สึกผิดน้อยลง

หนทางแห่งความโดดเดี่ยวยังไม่สิ้นสุด
มันต้องเดินต่อไป
ไปให้ถึงสถานที่ที่มันจะพบกับแนวทางการบำเพ็ญตน

มันทราบซึ้งใจต่อครอบครัวของ มัณนิธา ที่ช่วยเหลือและให้อาหารประทังชีวิต
มันคงได้แต่เก็บความซาบซึ้งนี้ไว้ในใจ มัณนิธา ขอร้องให้มันอยู่ต่ออีกสักหลายวัน แต่มันย่อมทราบว่า

บ่อเกิดแห่งความรัก
ประการหนึ่งย่อมมาจากความสงสาร
ยิ่งผู้อื่นดีต่อตนเท่าไร
ความสงสารก็ยิ่งเกิดขึ้นมากเท่านั้น
และความรักย่อมแตกดอกออกผล
เป็นทวีคูณ…

“เดินตามทางเส้นนี้ไป ข้ามภูเขาหิมะเบื้องหน้า” นางกล่าวพลางชี้ไปเบื้องหน้า “ก็จะเข้าเขตแดนเมืองกาศมีระแล้ว”

คำอำลาของนางยังคงดังอยู่ภายในสมอง “เมื่อท่านบรรลุจุดหมายแล้ว หวังว่าคงจำทางเส้นนี้ได้!”
เสียงนั้นมีสำเนียงสั่นเครืออยู่ภายใน มันไม่อาจรอให้นางกล่าวมากความ มิใช่มันไม่ชอบการกล่าวอำลา แต่ที่มันไม่ปรารถนาจะเห็นคือ “น้ำตาสตรี”

มีบุรุษไม่น้อยที่ต้องพ่ายแพ้แก่น้ำตาสตรี
มีกี่มากน้อยที่สังเวยชีวิต
เพราะน้ำตาสตรีเช่นกัน

….น้ำตา….เป็นอาวุธประการหนึ่ง !
และยังคงเป็นอาวุธที่ใช้ได้ผลเสมอมา
โดยเฉพาะน้ำตาที่เอ่อนองบนใบหน้าของสตรีที่งามสะคราญ





