วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ความงามนั้นสำคัญไฉน?
ความงามหรือสุนทรียศาสตร์เป็นเรื่องที่มนุษย์ปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ไม่น้อย เพราะแท้จริงมนุษย์มีสุนทรียธาตุอยู่ภายในตัวตนของมนุษย์นี่แหละ จะเห็นได้จากมนุษย์มักจะชมชอบความงามที่ปรากฏขึ้น หรือที่เข้ามากระทบอายตนะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มนุษย์สร้างสรรค์ศิลปะวิทยาการประดับโลกอย่างวิจิตรพิสดารไม่เพียงเฉพาะมนุษย์ในโลกที่พัฒนาแล้ว มนุษย์เผ่าทั้งหลายก็ยังมีการประดับประดาตัวตน อาคาร สถานที่ของตนด้วยเครื่องประดับด้วยคิดว่าสิ่งนั้นทำให้เกิดความสวยงามขึ้น ความงามทำให้ชีวิตรื่นรมย์แจ่มใส ถ้าชีวิตมนุษย์ขาดสิ่งนี้ไปเสียอย่างหนึ่งแล้ว ชีวิตของมนุษย์ก็มีแต่ความแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา ความงามจึงเป็นที่ต้องการของมนุษย์และแสวงหาสิ่งสวยงามมาครอบครอง โดยเฉพาะความงามที่มีในสตรีเพศและหรือในบุรุษเพศ
ในปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อผู้คนต่างพากันแสวงหาความงามในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นความงามบนร่างกายและความงามในวัตถุ สำหรับการแสวงหาความงามบนร่างกายยิ่งนับวันยิ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้นเมื่อมนุษย์ต้องการทำให้ร่างกายที่เป็นอยู่เปลี่ยนไปให้งามตามความเชื่อของโลก
โดยใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยสร้างความงามบนร่างกายให้เกิดขึ้นโดยวิธีผ่าตัดตกแต่งร่างกายจนกลายเป็นปัญหา ส่วนความงามทางวัตถุก็มีการสร้างเครื่องประดับตกตกแต่งร่างกายที่เป็นอัญมณีและที่เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งหลาย จนทำให้ปัจจุบันธุรกิจด้านเสริมความงามได้รับความนิยมไม่เพียงเฉพาะแต่ผู้หญิงรวมไปถึงผู้ชายด้วย
แน่นอนสิ่งใดมีคุณมหันต์สิ่งนั้นก็มีโทษอนันต์เหมือนกัน ความงามก็เช่นนั้นมีทั้งคุณประโยชน์และโทษเช่นกัน ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของคนที่ต้องเลือกบริโภคความงามนั้น ปัญหาหลักก็คือการแย่งสิ่งที่งามของกันและกันมาครอบครองจนกลายเป็นการทำร้ายและทำลายกันและกัน ปัญหาต่อไปก็คือปัญหาที่เกิดภายในตัวความความงามเอง ก็คือการตกเป็นเป้าหมายของคนทั้งหลายจนกลายเป็นอันตรายสำหรับสิ่งที่มีความสวยงามนั้น โดยเฉพาะสตรีที่มีความงาม นอกจากนั้นก็เกิดปัญหาจากการเสริมความงามให้แก่ตนโดยการประดับตกแต่งเรือนร่าง เป็นเหตุให้เกิดการเสียทรัพย์และเสียชีวิตเกิดขึ้น ทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องอื่นๆ อีก เช่นกลายเป็นปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นต้น
ความเข้าใจผิดในเรื่องความงามก็เป็นปัญหาใหญ่ กล่าวคือ โลกกำลังให้ความสำคัญเฉพาะปัญหาทางกายภาพ แต่ละเลยปัญหาความงามด้านจิตภาพ จึงพบว่า สังคมเกิดความวุ่นวาย ขัดแย้ง ทำลายกันและกันเนื่องจากขาดความงดงามทางจิตใจ จิตใจของคนไม่งดงาม ประกอบไปด้วยสิ่งสกปรกนานัปการ ไม่ได้รับการชำระ ไม่ได้รับการทำความสะอาด มีแต่พอกพูนความไม่สะอาดเข้าไปไม่ขาด สภาพการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้วิถีชีวิตของแต่ละคนมืดมัวลงไป
พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญต่อความงามทางด้านจิตภาพมากกว่า เพราะถ้าหากมีความงามที่มาจากภายในแล้ว ความงามภายนอกก็จะปรากฏออกมาเอง ความงามทั้งร่างกายและจิตในมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น เมื่อมีจิตใจที่งดงามจะส่งผลให้ร่างกายงดงามเช่นกัน เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์แล้ว มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ นักวิทยาศาสตร์ได้คนคว้า พบว่า ร่างกายมนุษย์ ส่วนศีรษะมีต่อมใต้สมอง มีชื่อว่า พิทูอิททารี ต่อมนี้มีความสัมพันธ์กับจิตใจโดยตรง ในขณะใดก็ตาม สภาวะของจิตมีความเร่าร้อน ครุกรุ่น ด้วยกิเลส ต่อมนี้จะหลั่งสารทุกข์ (Cortical และ Adrenaline) ออกมา สารทุกข์จะหล่อเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกายมีผลให้ใบหน้า ผิวพรรณ หมองคล้ำ เหี่ยวย่น และทำนองเดียวกัน ขณะใด จิตอยู่ในสภาวะปกติเบาสบาย สงบ บริสุทธิ์ ต่อมพิทูอิททารี จะหลั่งสารสุข (Endorphin) ออกมา สารสุขหล่อเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย มีผลให้ใบหน้าผิวพรรณ เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล งดงาม เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น จะเห็นได้ว่า ผู้มีจิตใจงดงาม สงบ บริสุทธิ์ มีผลให้ร่างกายมีความงดงามไปด้วย ความงามภายในนี้ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องสูญเสียทรัพย์สินมาก แต่กลับได้ผลมาก เพียงสร้างความงามขึ้นภายในใจ ความงามภายนอกก็จะปรากฏขึ้นตามมาเอง และเป็นความงามที่ยั่งยืน ไม่เป็นอันตราย มีแต่คุณไม่มีโทษ
พระพุทธศาสนาไม่ให้ความสำคัญต่อความงามบนเนื้อหนังแต่ให้ความงามที่ปรากฏในจิตใจ ความงามที่ปรากฏในจิตใจเท่านั้นจึงเป็นความงามที่แท้จริง และเป็นความงามที่เป็นอมตะ ดังนั้นทุกคนต้องแสวงหาความงามทางจิตจึงจะเข้าถึงความงามที่แท้ได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น