วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๑๑)





ศิลาทรายเหลืองสูงประมาณสิบเชี๊ยะพิงอยู่กับหน้าผา
ก้อนศิลาที่ไร้ความหมายบัดนี้เริ่มกลายมาเป็นรูปลักษณ์อันทรงคุณค่ายิ่งแล้ว
เสียงกระทบระหว่างแท่งเหล็กแกะสลักกับก้อนศิลา
สะท้อนก้องไปในอากาศ เสียงนั้นยังก้องอยู่ในโสตประสาท แม้บัดนี้จะไม่มีเสียงกระทบแล้วก็ตาม


ริมพระโอษฐ์ล่างหนากว่าริมพระโอษฐ์บนเล็กน้อยรับกันจนปรากฏเป็นรอยยิ้มที่เอิบอิ่มคล้ายดั่งรอยแย้มแห่งมหาเมตตาที่ประทานแด่สรรพสัตว์ทั่วหล้า ฉะนั้น
พระเกศาขมวดสูง ผ้าโพกพระเกศามีสายสร้อยประดับรัดไว้
ระหว่างกลางผ้านั้นมีรูปพระธยานีอมิตาภพุทธะประทับนั่งสมาธิอยู่
เหนือพระนลาฏะเป็นแนวอัญมณี ลักษณะพระขนงเป็นเกลียว
มีพระอุณาโลมจรดกันขอบพระเนตรบนสูง
พระหัตถ์ซ้ายทรงถืออัษมาลา และกมัณฑลุ
พระหัตถ์ขวาทรงถือบัวชมพูที่กำลังเบ่งบาน ผ้าคลุมพันรอบพระอังสะ
ผ่านไปที่ท่อนพระหัตถ์ซ้าย ส่วนผ้าปริธาณ (ผ้านุ่ง) พันผ่านจากด้านหนังมาสู่ด้านหน้า
แล้วสอดไว้ที่ประคตมีชายผ้าห้อยลง
ปลายด้านหนึ่งงอนคล้ายดั่งปลิวขึ้น
พระบาทซ้ายน้ำคู่เข้าส่วนพระบาทขวาห้อยลงเกือบถึงพื้น

เหงื่อบนใบหน้าของมันไหลผ่านร่องแก้มเข้าไปในปาก
รสเค็มของเหงื่อทำให้มันคลายสายตาที่เพ่งมองรูปสลักที่มันใช้พลังศรัทธาผสมความพากเพียรพยายามกระทำจนเกือบจะเสร็จสิ้น เหลือเพียงแต่เทพยดาน้อยสองตนด้านข้างเท่านั้น
ฝ่ามือที่เคยบอบบาง บัดนี้หยาบกร้านบางนิ้วยังมีคราบเลือดและเป็นสีศิลาทรายเหลืองที่แห้งติดในเล็บเพราะค้อนตีเหล็กแกะสลักพลาดมาถูกนั่นเองแต่มันก็หาได้ใส่ใจไม่

…โอ..อวโลกิเตศวรผู้เป็นใหญ่
ผู้ทรงพระเมตตา
ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์
พระองค์ประทับอยู่กลางใจผู้คน
สรรพสัตว์จะเพรียกหาพระองค์จากดวงจิต..
เสียงเพรียกพระนามของพระองค์นั้นลี้ลับ
ศักดิ์สิทธิ์ดุจเสียงฟ้าเหนือมหาสมุทร
หาสิ่งใดเสมอเหมือนมิได้…

ทินเล่รำพึงต่อพระพักตร์รูปสลักพระอวโลกิเตศวร ที่เกิดจากศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของมันเอง
คำ “ศรัทธา” บางครั้งคือขุมพลังที่เป็นประโยชน์ใหญ่ บางครั้งก็คล้ายพลังที่พุ่งไปในความมืดมนอนธกาล
แต่ธรรมชาติของศรัทธามักสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้ปรากฏแก่โลกเสมอ

ขอเพียงปักใจแน่วแน่และมานะฝึกปรือ
แม้แต่ฟ้าก็ยังหลีกทางให้
“ในที่สุดเจ้าก็พิสูจน์ความตั้งใจของเจ้าให้ปรากฏแล้ว”
เสียงที่ทรงพลังเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นเบื้องหลังของมัน
แม้มันไม่เห็นว่าผู้พูดเป็นใคร แต่มันก็ทราบว่าเสียงนี้เป็นเสียงของผู้ใด


[[[[[

เรือนไม้เล็กๆ หลังหนึ่งแทรกอยู่ในดงไผ่
บริเวณพื้นกอไผ่เตียนโล่งเหมาะสำหรับการบำเพ็ญธรรมยิ่งนัก
หน่อไผ่หลายหน่อเพิ่งจะแทงทะลุดินออกมา เพื่อสืบสานดำรงพันธุ์ของมัน
ชายผู้นั้นพามันเดินผ่านแนวไผ่ และเรือนไม้ไปอีกด้านหนึ่ง
ณ ที่นี้เป็นเรือนศิลาทรายเหลือง ดูเข้มแข็งทนทาน
สมณะหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากภายในเรือนศิลาแล้วเอ่ยขึ้น
“ประสกพาผู้ใดมาด้วย?”
“บุรุษที่เดินทางมาจากดินแดนตะวันออกผู้หนึ่ง”
“มานพน้อย เจ้ามาด้วยประสงค์ใด?”
“ยังไม่ทราบแน่ชัด” ชายผู้นั้นคล้ายนึกออกถึงการสนทนาครั้งแรกได้ จึงกล่าวคำต่อไป
“มิทราบที่นี่มีโมกขธรรมให้หารือหรือไม่ ดูเหมือนเขาจะมาเพื่อจุดประสงค์นั้น”
สมณะหนุ่มไม่กล่าวกระไรอีก ได้แต่เชิญทั้งคู่เข้าไปภายใน
โต๊ะเก่าตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง โดยมีเก้าอี้สี่ตัวล้อมรอบ ข้าฝาผนังมีภาพวาดสมณชราแขวนอยู่
เพียงครู่..สมณะหนึ่งรูปนั้นก็พร้อมกับมันต้มถั่วเหลืองถ้วยหนึ่ง
“ประสกทานนี่ก่อนเถิด” ท่านวางมันต้มบนโต๊ะ “ขออภัยด้วยที่ต้อนรับท่านด้วยมันต้มถั่วเหลือง”
“โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น นับเป็นพระคุณยิ่งแล้ว มันต้มก็ประทังชีวิตได้” ทินเล่กล่าวขอบคุณ


แท้จริงแล้ว
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ดำรงชีพได้ง่ายที่สุด
แต่มนุษย์กลับทำตนเป็นสัตว์ที่อยู่ยากที่สุด
สิ่งที่กีดขวางไม่ให้มนุษย์ได้รับสิ่งดีที่สุดในชีวิตก็คือ…
การไม่รู้จักใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
เกือบค่อนเวลาของชีวิตที่มนุษย์ใช้ไปกับการแสวงหาปัจจัยดำรงชีพ
อุทิศชีวิตเพื่อแสวงหาของเสพสนองความอยากที่ไม่จำเป็นทั้งนั้น
แทนที่จะใช้เวลาไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต

[[[[[

แรมสามค่ำ เดือนสาม
จิ้งหรีดภูเขาส่งเสียงร้องดังไปทั่วบริเวณสวนไผ่
เบื้องหลังอารามแห่งนี้เป็นหน้าผาศิลาทรายเหลืองเกือบทั้งลูก
ศิลาจากเขาแห่งนี้เป็นแหล่งที่ได้มาซึ่งวัสดุเพื่อนำไปแกะเป็นเทวรูปพระโพธิสัตว์ที่พบเห็นตามมุมถนนภายในเมืองอุทกขัณฑะ
อารามการาตะปะ เป็นเพียงอารามเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
มีภิกษุสงฆ์ภายในอารามเพียงเจ็ดรูป
เจ้าอาวาสชื่อว่า จินโตชยโฆษ อายุห้าสิบแปดปี มีพรรษาสี่สิบห้าแล้ว ท่านศึกษาตามแนวของจิตตมยมาตรสิทธิ (โยคาจาร)
ทินเล่ใช้ชีวิตอยู่ในอารามแห่งนี้เพื่อพิสูจน์ตนเอง
บทพิสูจน์ของมันคือการไปที่เชิงผาเพื่อแกะสลักรูปพระอวโลกิเตศวรองค์หนึ่ง
ชายที่นำมันมาคือผู้ที่ถ่ายทอดศิลปะการแกะสลักให้
กล่าวกันว่า การแกะสลักเป็นการฝึกความแข็งแกร่งของพลังนิ้วมือประการหนึ่ง
นิ้วมือทุกนิ้วมีส่วนเชื่อมต่อกับอวัยวะภายในร่างกาย
นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือสร้างเสริมพลังสมองช่วยให้ตัดสินใจว่องไว
ส่วนนิ้วกลาง นิ้วนางและนิ้วก้อยนั้นเสริมสร้างความปราดเปรียวฉับไว คล่องแคล่วให้กับร่างกาย
จอมยุทธ์มากมาย มักมีความชำนาญในการใช้นิ้วมือของตนไปตามแขนงศิลปะหลายประการ
เช่น ดีดพิณ วาดภาพ แกะสลัก เขียนอักษร เป็นต้น
เพราะนั่นคือแนวทางแห่งการฝึกปรือพลังนิ้วของตนนั่นเอง

หกเดือนสิบสองวันที่ทินเล่ทุ่มเทชีวิตเพื่อรูปสลักพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรองค์นี้
พระองค์งดงามตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
มันพรางเปล่งเสียงรำพึงที่ออกมาจากเสียงเพรียกจากดวงจิต....
เมื่อเสียงรำพึงหยุดลง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

[[[[[

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๑๐)

ผู้คนที่อุทกขัณฑะออกมาต้อนรับเหล่านักรบผู้กล้าของตน
บ้างดีใจที่ยังพบบุคคลที่ตนร่ำลา
แต่มีบางคนเปล่งเสียงร่ำไห้เมื่อบุคคลที่ตนรอนั้นไม่มีโอกาสได้ทักทายกับตนต่อไป
เรื่องราวเช่นนี้ ยังคงมีอยู่คู่โลกใบนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

บ้านเรือนล้วนสร้างด้วยอิฐทรายแดง แข็งแรงทนทาน
ทินเล่ ปลีกตัวไปจากกองทหาร มันสังเกตว่า
ผู้คนที่นี่มีร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้ามีเคราดกหนา
ดวงตาโปนโต รับกับขนตาที่งอน ดวงตามีสีน้ำตาล
จมูกโด่งเป็นสัน ทั้งที่เป็นชายก็ยังมีลักษณะอันน่าเกรงขามยิ่ง
ลักษณะเช่นนี้คล้ายดั่งรูปนักปราชญ์ในตำนาน หรือไม่ก็เป็นเชื้อสายของพระเจ้ากนิษกะเป็นแน่

มันเดินมาไกลยิ่งแล้ว ไกลจนเกือบถึงอีกด้านหนึ่งของตัวเมือง
แพะสามสีตัวเดินเหยาะย่างผ่านหน้ามันไปอย่างสบายใจ
สิ่งที่มันพบอีกประการหนึ่งก็คือ
ทุกหนทุกแห่งจะมีรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ประจำอยู่ทุกมุมกำแพงถนน
เยื้องป้อมหนึ่งไปมีสวนไผ่เรียงรายดูเป็นระเบียบอย่างยิ่ง
มันอดคิดไม่ได้ว่า ที่ผ่านมานั้นคือดินแดนนรก
บัดนี้มันได้เข้ามาสู่ดินแดนเทพเจ้าแล้ว

[[[[[

















ความร่มรื่นของธรรมชาติมักช่วยย้อมจิตใจผู้คนให้เยือกเย็นลงได้
ผู้ใดเข้าใจธรรมชาติ
ไม่แยกตนออกจากธรรมชาติ
ชื่อว่าย่อมบรรลุแก่นแท้ของธรรมชาติ
และเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง
เฉกเช่นดี ชั่ว
หากผู้ใดภายในใจยังแยกแยะมีดีมีชั่ว
ก็ยังไม่ชื่อว่าบรรลุถึงแก่นแท้สัจธรรม
เพราะแท้จริงต้องบรรลุถึงความไม่มีทั้งดีและชั่ว ข้ามพ้นดีชั่ว
ที่ยังมีดีและชั่วเนื่องจากจิตมีความเป็นเราเป็นเขา
พระอริยะทั้งหลายเข้าถึงสภาวะไม่มีนี้เองจึงหลุดพ้นได้



สายน้ำในลำธารไหลรินคละเคล้าโคลนตม
สายฝนโปรยปรายลงจากก้อนเมฆเบื้องบน
ถ้ายังแยกแยะสายน้ำกับสายฝนก็ยังไม่เข้าถึงความจริงแท้
ก็เพราะสายน้ำกับสายฝนคือสิ่งเดียวกันเพียงแต่ต่างสถานะเท่านั้น

ทางสายเล็กๆ ราบเรียบทอดยาวไปตามแนวไผ่ เสียงไผ่เสียดสีกอกลายเป็นเพลงธรรมชาติ
ชีวิตที่พ้นจากความทุกข์ยากมาได้ย่อมพบกับความเบิกบาน น่าภาคภูมิใจอยู่บ้าง สมควรที่ผู้คนควรอดทนให้ถึงวันนั้น



รางวัลสำหรับผู้อดทน ดิ้นรน ต่อสู้
มักน่าภาคภูมิใจยิ่ง หอมหวานเสมอ
หากผู้คนเพราะพันธุ์ความอดทนลงในตัวเอง
ในที่สุด…เขาจะเก็บเกี่ยวผล
ของความสำเร็จภายหลัง


ในขณะที่ทินเล่ชื่นชมธรรมชาติและยังไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป
“เจ้ามาจากดินแดนตะวันออกหรือ?”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง มาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เอ่ยวาจาขึ้น
“ท่านเคยไปที่นั่น?” ทินเล่หันไปตามเสียงนั้น พร้อมกับตั้งคำถามแทนคำตอบ
“ไม่เคย” ชายผู้นั้นมีท่าทีเฉยๆ รักษาสีหน้าไว้เป็นปกติ “แม้ข้าไม่เคยไปที่นั่น แต่เมืองของเราก็มีพ่อค้าหลายคนมาจากดินแดนตะวันออก” เขาหยุดนิดหนึ่ง คล้ายดั่งสังเกตดูทินเล่ พร้อมกับเอ่ยขึ้นอีก “เจ้ามาค้าขายที่นี่หรือ?”
“หามิได้” ทินเล่บอกจุดประสงค์ของตนเอง ซึ่งมันไม่เคยปิดบังเพราะนั่นคือปณิธาน “ข้าเดินทางหลายพันลี้มาก็เพื่อศึกษาทางแห่งโมกขธรรม”
“เอาเถอะ….ไม่ว่าเจ้าจะมาเพื่อจุดประสงค์ใด แต่ข้าก็เชื่อว่าเจ้าต้องทานอาหาร”

เขากล่าวความจริงอย่างยิ่ง
ไม่ว่ามนุษย์จะยิ่งใหญ่ปานใด
จะมีปณิธานยิ่งใหญ่ปานใด
แต่มนุษย์ก็ไม่อาจไม่กินอาหาร
มันไม่รู้จักชายผู้นี้มาก่อน
แต่ตอนนี้มันกำลังเดินตามเขาไป
ชายผู้นั้นเดินอ้อมสวนไผ่ไปอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองเดินห่างออกไปจากตัวเมือง
เสียงน้ำในลำธารไหลเอ่ยๆ ด้านล่าง ลมสายัณหกาลพัดเบาๆ
เสียงสดใสไพเราะของธรรมชาติฟังคล้ายเทพธิดากำลังกรีดพิณโบราณบรรเลง
ฟังแล้วสามารถกล่อมเกลาจิตใจให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลได้ไม่น้อย
ทั้งสองข้ามสะพานไม้เก่าๆ ไป


เบื้องหน้าเป็นหน้าผาหินทรายเหลือง มองดูดุจดังเป็นที่สุดสิ้นขอบโลกเด่นตระหง่านขวางกั้น
ทั้งสองหยุดที่ประตูโบราณแห่งหนึ่ง

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๙)

ห้วงแห่งความรู้สึกลางเลือน ท้องฟ้าหมุนคว้าง
ทุกสิ่งคล้ายว่างเปล่า ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเสียใจ ก่อนที่มันจะหมดความรู้สึกลง
ภาพแห่งสตรีนางนั้นที่กำลังถูกข่มเหง นางต่อสู้ขัดขืน

เป็นมันที่เข้าไปขอร้องทหารทุรชนผู้หนึ่ง “ปล่อยสตรีนางนี้ไปเถอะ นายท่าน”
“ใครให้เจ้าเข้ามาในนี้” มันหันมาที่ทินเล่ด้วยสายตาไม่พอใจอย่างยิ่ง “เจ้าคงไม่อยากมีชีวิตเป็นแน่”
ผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด?
ทินเล่ ลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น บุคคลแรกที่มันเห็นคงยังเป็นนางผู้นั้น

นางยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดบาดแผลและใบหน้าของมันอย่างค่อยๆ
ที่นางเช็ดบางทีก็คือ น้ำตาของนางนั่นเองที่หยดลงบนใบหน้าของมัน

“แม่นางปลอดภัยใช่ไหม?”
ยังคงเป็นความห่วงใยผู้อื่นที่มันเอ่ยปากถาม
“เป็นเพราะข้าไม่ดีเองที่ทำให้ท่านต้องได้รับบาดเจ็บ” นางยังกล่าวประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แม่นางใยต้องตำหนิตนเอง” มันปลอบให้นางสบายใจขึ้น “ที่ต้องตำหนิก็คือชะตาเราเองที่ต้องยังเกิดมาอีก หมู่บ้านซ่างซัวและผู้คนจึงต้องภัยพิบัติครั้งนี้ ข้าเองทั้งที่มีผู้เตือนแต่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
“เป็นผู้ใดเตือนท่าน”
“เป็นชายที่ไม่ได้สวมเสื้อคนหนึ่ง”
“มันรอดปลอดภัยจริง ๆ เท่านี้ข้าก็ดีใจแล้ว

ชะตาของข้ายังไม่เลวร้ายนัก อย่างน้อยผู้ที่ข้าฝากชีวิตไว้ยังอยู่”
ดูนางมีความหวัง เป็นความหวังที่ลางเลือนยิ่งนัก แต่กระนั้น ความหวังก็คือความหวัง
ความหวังเป็นดั่งประกายไฟดวงเล็ก ๆ
ที่ทำให้คนมีชีวิตอยู่เพื่อความหวังนั้น
ความหลังอันงดงามนั้น
ช่างผ่านไปรวดเร็ว
ดังนั้น ชายชราจึงผ่านเวลาอันเงียบเหงา
ที่ยาวนานผ่านไป
ด้วยการหวนคะนึงถึงความหลังนั่นเอง

****

แรมเจ็ดค่ำ เดือนหก
ใกล้ถึงชิวเทียน (ฤดูใบไม้ผลิ) อีกครั้ง
บนพื้นเริ่มเห็นติณชาติงอกงาม ผลิหน่อแตกกิ่งใบ แต่มันเป็นชีวิตที่ผลิออกบนแผ่นดินที่เป็นกรวดหินและศิลา ทำให้ติณชาติเหล่านี้ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหยั่งรากของตนลงสู่พื้นอันแข็งกระด้าง

ถึงกระนั้นพวกมันก็พึงพอใจที่จะได้มีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป
กระโจมทุกหลังถูกเทียมด้วยม้าพร้อมทุกคัน
กระโจมเคลื่อนไปทิศตะวันตกเฉียงเหลือ มองดูกระโจมที่เคลื่อนไปดุจดังสัตว์เลื้อยคลานตัวมหึมาตัวหนึ่ง
กองทหารคุ้มกันคุมขบวนกระโจมแบ่งเป็นกองหน้า กองกลาง และกองหลัง
จุดมุ่งหมายคือ บุกแคว้นกัศมีระ

*****

หน้าผาสูงชัน…
หนทางเลียบหน้าผา กระโจมไม่อาจเรียงเป็นหน้ากระดานได้
นี่ถ้าหากถูกโจมตีย่อมเป็นที่อันเหมาะสมยิ่ง แต่จะภาวนาให้ผู้ใดล่วงรู้และมาโจมตีพวกมันได้
กระโจมใหญ่ของแม่ทัพเตมูจายิน ผ่านช่องแคบผ่านไปเบื้องหน้า

แม้จะมีการระมัดระวังเพียงใดพวกมันอย่างน้อยก็มั่นใจว่า ไม่มีผู้ใดจะยกมาซุ่มกำลังไว้ ณ กลางภูเขาเช่นนี้ เพราะที่นี่ห่างจากเมืองกัศมีระมากนัก

ถ้าจะมีก็แต่เมืองอุทกขัณฑะเท่านั้นที่จะนำทหารมาทัน
แต่อุทกขัณฑะก็ไม่ได้ติดต่อกับกัศมีระไหนเลยจะนำทหารมาซุ่มได้

เมื่อฟ้าจะนำโศกนาฏกรรมมาให้แก่ผู้ใด
ฟ้าจะประทานความเงียบสงบ
ความเบิกบานบันเทิงให้แก่ผู้นั้นก่อน
ชีวิตก่อนประสบเคราะห์กรรมก็มักเป็นเช่นนี้
มักมีความรุ่งโรจน์โชติช่วงเป็นพิเศษ
นักรบผู้กล้าจากเมืองปุรุสปุระและอุทกขัณฑะ ทราบความเคลื่อนไหวของพวกมันก่อนแล้ว
เสียงตีม้าล่อดังกระหึ่มเป็นสัญญาณ เสียงกลองรบดังปานฟ้าถล่ม เสียงธนูแหวกอากาศ ความโกลาหลเกิดขึ้นเนื่องเพราะพวกมันประเมินผู้อื่นต่ำไป
ผู้ประเมินผู้อื่นต่ำไปสมควรตายทั้งสิ้น
กองหน้าและกองหลังไม่อาจคุมกันติด
และแล้วหายนะครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นเป็นพ่ายแพ้ของทหารมงโกลที่รุกรานแดนไกลของพวกมัน
ทินเล่อยากจะตั้งคำถามใครสักคนว่า ทำไมต้องรบและฆ่าฟันทำร้ายกันด้วย
แต่มันก็สรุปว่า คำตอบที่สมบูรณ์ในเรื่องนี้คงไม่มี เนื่องจากมันคือสงคราม

สงครามไม่ใช่สิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่น่าปรารถนา
แต่ดูเหมือนว่า สงครามก็เกิดได้ทุกที่
และมีมาควบคู่กับมนุษยชาติแต่ปางบรรพ์
ในขณะที่มันยืนมองเหตุการณ์ที่มนุษย์ที่ชื่อว่า ผู้มีความคิด มีเหตุผลทำขึ้นอยู่นั้น

พลันชายผู้หนึ่งก็เข้ามาหามัน มือหนึ่งถือกระบี่ยาวสามเชี้ยะครึ่ง สวมเกราะหวายยืนมองด้วยท่าทางเศร้าเสียใจไม่แพ้กัน พลางเอ่ยขึ้น
“ดูเหมือนเราเคยพบกันแล้วใช่ไหม ?”
ทินเล่ มองดูชายผู้นั้นเพื่อทบทวนความจำว่า มันเคยพบกับชายผู้นี้หรือไม่ และมันก็จำได้
“ใช่….ท่านคือ….”
“ถูกต้อง เรามาเพื่อปลดปล่อยคนซ่างซัวให้ได้รับอิสระ”
“ที่แท้ท่านไปแจ้งข่าวการมาของพวกมองโกลให้เมืองทั้งสองทราบ”
“เพื่อความอยู่รอดของเมืองทั้งสองเอง พวกเขาหาใช่ทำเพื่อเราไม่”
“ก็นับว่า ช่างซัวและแม่นางราณิทิกามีวาสนาแล้วที่มีคนเช่นท่าน” ทินเล่ไม่ต้องการให้ชายผู้นั้นรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีต เนื่องจากสายตาของเขามีคำถามมากมาย มันจึงกล่าว “แม่นางของท่านคงรอท่านแล้ว”
“หากมีวาสนาเราคงได้พบกันอีก”
“ใช่…หากมีวาสนาคงได้พบกัน”

มนุษย์มีเรื่องราวให้ต้องกระทำอีกมากมาย
มีผู้คนมากเหลือเกินที่จะเอาชีวิตไปฝากไว้กับอดีต
มีไม่น้อยเช่นกันที่เอาชีวิตผูกกับอนาคต
แต่ที่มุ่งกระทำในสิ่งที่พึงกระทำในขณะที่มันดำรงอยู่
กลับมีน้อยอย่างยิ่ง

พุทธศิลป์กับวัฒนธรรมไทย

พุทธศิลป์กับวัฒนธรรมไทย
ผศ.ดร.สุวิญ รักสัตย์


คำว่า ศิลปวัฒนธรรม (Art and Culture) มักเป็นคำที่มาด้วยกัน คำนี้เป็นคำเรียกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของสังคมอย่างรวมๆ ทั้งที่ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ทั้งที่สามารถจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ แต่ให้ความเพลิดเพลินและความซาบซึ้งและประทับใจ ศิลปวัฒนธรรมจึงเป็นปัจจัยสำคัญสิ่งหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นคงของชาติ การสร้างอุดมการณ์ของชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์และเข้าถึงประชาชนมากที่สุด เป็นสื่อสำคัญในการสร้างประเทศ สร้างความก้าวหน้า การรักษาศิลปวัฒนธรรมเท่ากับเป็นการรักษาเอกลักษณ์ จุดเด่น วิญญาณของชาติ อันเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา สร้างเกียรติภูมิ ตลอดจนศักดิ์ศรีแก่ประเทศชาติประชาชน

พระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) ได้กล่าวถึงศิลปะว่า ครั้นเมื่อมนุษย์รู้จักผลิตขึ้นได้ดีกว่าเดิม มีความงดงาม ความเรียบร้อยตามที่ตนต้องการทางจิตใจเจริญเรื่อยเป็นลำดับมา สิ่งที่ผลิตสร้างก็เกิดเป็นศิลปกรรมขึ้น...อารมณ์สะเทือนใจเป็นตัวการทำให้เกิดศิลปะและการแสดงออกให้เกิดเป็นรูปขึ้นได้...เป็นศิลปะอันเป็นขั้นสุดท้ายของความรู้แล้วจะเกิดความสนใจ กระทำให้เป็นสุขใจที่แท้จริง ถ้าความรู้นั้นเป็นไปเพื่อความสุขแก่ส่วนรวมอันเป็นจุดหมายปลายทางแห่งชีวิต

ศิลปะเกิดจากวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมคือผลรวมแห่งชีวิตมนุษย์ เพื่อสนองตอบความต้องการทางร่างกาย ให้มีชีวิตอยู่รอดพร้อมกับความเจริญงอกงาม ในการรับรู้ทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ ทางสังคม ทางสุนทรียะ และการสร้างสรรค์ ศิลปะช่วยกล่อมเกลาและสนองตอบความต้องการของวิถีชีวิตมนุษย์ได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะสุนทรียะหรือความงามที่ในรูปแบบที่มากหลาย ด้วยรูปแบบของศิลปะที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ เครื่องประดับ และรูปเคารพมาโดยตลอดแต่ดึกดำบรรพ์ มีวิถีชีวิตของมนุษย์เป็นตัวกำหนดทั้งทางตรงและทางอ้อม

ตราบใดที่ศิลปะยังเป็นการสร้างผลงานของมนุษย์เพื่อมนุษย์เช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับวัฒนธรรมก็ยังคงเดินคู่กันไปเช่นนี้ เพราะความที่ต่างก็เป็นเหตุและผลของกันและกัน พุทธศิลป์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางกายทางใจสำหรับมนุษย์ ที่พอใจกับการได้เห็น ได้ยิน ได้ใช้สอย สิ่งดีงาม ไพเราะเหมาะสม ไม่ว่าประยุกต์ศิลป์ หรือ วิจิตศิลป์ ต่างก็มีวัตถุประสงค์ทางการสร้างสรรค์อันแน่ชัดว่า เพื่อมนุษย์ด้วยกันได้เกิดการรับรู้ถึงความงาม ความไพเราะ ความซาบซึ้ง ที่โอนอ่อนผ่อนคลายทางใจและอารมณ์ รู้จักที่จะปฏิบัติตน แต่งกาย บำรุงตัว ตามแบบแผนของวัฒนธรรมแห่งยุค ใช้มือให้รู้จักทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ดีงาม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัฒนธรรมทั้งสิ้น มีพุทธศิลป์เป็นตัวแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมที่คอยโน้มนำและชี้มุมสะท้อนของจิตนิยมทางวัฒนธรรมแห่งยุคสมัย

ศิลปะที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกได้อย่างชัดเจนได้แก่ พุทธศิลป์ คืองานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา ทั้งที่เป็นจิตรกรรมประติมากรรม หรือสถาปัตยกรรม ก็ล้วนแล้วแต่เรียกได้ว่าเป็น พุทธศิลป์ ทั้งสิ้น เกิดขึ้นนับแต่มีการค้นพบศิลปวัตถุชิ้นแรกจนถึงปัจจุบัน

ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ถือเป็นยุคทองของสมัยกรุงสุโขทัย เนื่องจากได้เกิดแบบแผนความเจริญทางวัฒนธรรมที่เป็นของไทย ซึ่งความเจริญทางวัฒนธรรมดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับ ๓ รูปแบบ คือ พุทธศาสนา ภาษาไทย และศิลปะ งานสร้างสรรค์ทางศิลปะของกรุงสุโขทัย เช่น พระพุทธรูป เจดีย์จิตรกรรม มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ โดยดัดแปลงรูปแบบศิลปกรรมจากขอมให้มีลีลาอ่อนช้อยงดงาม ตัวอย่างเช่น พระพุทธรูปปางลีลา ยิ่งกว่านั้นแล้วพุทธศาสนายังมีบทบาทสำคัญต่องานสร้างสรรค์ทางวรรณกรรมด้วย ดังตัวอย่างบทพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) คือ ไตรภูมิพระร่วง โปรดให้พิมพ์รอยพระพุทธบาทจำลอง ทรงสร้างพระมหาธาตุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากศรีลังกา ทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์จากศรีลังกาไว้หลังพระมหาธาตุ

ต่อมาสมัยกรุงศรีอยุธยาพุทธศาสนาและศิลปะได้รับอิทธิพลจากขอม ศาสนาพราหมณ์ ที่แพร่หลายอยู่ก่อนหน้าการเข้ามาของพุทธศาสนาอยู่มาก การผสมผสานกันของพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์จึงเป็นลักษณะสำคัญของศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสะท้อนให้เห็นใน ศิลปกรรมต่างๆ สถาปัตยกรรมของสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงยกวังให้เป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ ทรงสร้างวัดจุฬามณีและพระวิหาร ทรงหล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๕๐ พระชาติ ส่วนศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากขอมและสุโขทัย เช่น พระปรางค์วัดพุทไธสวรรค์ วัดราชบูรณะ เป็นต้น ส่วนสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเป็นเจดีย์แบบเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง เช่น เจดีย์วัดภูเขาทอง วัดชุมพลนิกายาราม เป็นต้น ประติมากรรม พระพุทธรูปที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอมเรียกว่า พระพุทธรูปสมัยอู่ทองและตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยานิยมสร้างพระพุทธรูปแบบทรงเครื่อง อย่างไรก็ตามสมัยกรุงศรีอยุธยาพระพุทธรูปมีลักษณะน่าเกรงขามและไม่งดงามเท่าสมัยสุโขทัย

สมั­­ยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงในสมัยนี้ คือการสร้างพระบรมมหาราชวัง ประติมากรรมชิ้นเอก คือ การแกะสลักประตูกลางด้านหน้าพระวิหารวัดสุทัศน์ และงานตกแต่งหน้าบรรณพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จิตรกรรมส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

งานจิตรกรรมที่สำคัญ เช่น ภาพเขียนในพระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นต้น ต่อมามีการปรับปรุงประเทศในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตก แทนที่จะปรับปรุงประเทศตามแบบอยุธยา อย่างเช่นที่เคยเป็นมา การปรับปรุงประเทศของพระองค์ เป็นการปรับปรุงเพื่อเตรียมรับอารยธรรมตะวันตก ซึ่งกำลังแผ่อิทธิพลอยู่ในขณะนั้น ในเวลาต่อมารัชกาลที่ ๕ ได้ทำการปรับปรุงขนบธรรมเนียมประเพณีและส่งเสริมวรรณกรรมและศิลปกรรมอีกหลายประการ ถึงแม้จะมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมทางตะวันตกบ้างแต่ก็ยังมีรากฐานจากพระพุทธศาสนาแทบทั้งสิ้น

จึงกล่าวได้ว่า พุทธศิลป์ได้ผสมผสานและมีความสำคัญกับพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยตลอดมาจนกลายเป็นวิถีชีวิตอันเป็นศิลปวัฒนธรรมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ได้กล่าวไว้ว่า “ศิลปกรรมไทยในอดีตนั้น ตั้งอยู่บนรากฐานความเข้าใจในพุทธปรัชญาอันลึกซึ้งที่หยั่งรากลึกลงในสายเลือดและจิตวิญญาณ ศิลปินทำงานด้วยแรงศรัทธาปสาทะอันมั่นคง โดยมุ่งหวังพระนิพพานอันเป็นเบื้องปลายของการหลุดพ้น”

อาจารย์อังคาร กัลยาณพงศ์ กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า “ศิลปินไทยใช้ศิลปะเป็นสื่อเพื่อก้าวไปสู่จริยธรรม และศาสนาในสังคม ศิลปะเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยเนรมิตความเป็นมนุษย์ของเราให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ศิลปกรรมจะเป็นสื่อวิเศษให้เราเข้าใจแก่นของความเป็นจริงได้อย่างซาบซึ้งและลึกซึ้ง...เป็นสื่อวิเศษ ช่วยน้อมใจเราให้ประจักษ์ซึ้งถึงองค์คุณค่าทิพย์ในพุทธปรัชญา ซึ่งแสดงออกมาอย่างเป็นทิพย์ที่สุดในแง่ศิลปะได้อย่างดี

สังคมไทยมีรากฐานทุกอย่างมาจากพระพุทธศาสนาไม่ว่าประเพณี วัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ แม้กระทั่งลักษณะนิสัยใจคอของคนไทยก็มีพื้นฐานมาจากคำสอนทางพระพุทธศาสนา

ร่องรอยวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัฒนธรรมของยุคต่างๆ ได้ถูกบันทึกไว้ว่า มีสติปัญญาความสามารถเพียงใด ด้วยผลงานศิลปะนั้นเอง ศิลปะจึงเป็นรูปธรรมทางวัตถุและเป็นรูปธรรมทางจิตใจซึ่งแสดงออกมา ศิลปะกับวัฒนธรรมต่างเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน ศิลปะเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ที่มนุษย์แห่งสังคมสร้างสรรค์ขึ้นมาให้ปรากฏเพื่อแสวงหาผลที่จะได้รับทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตใจ ให้เกิดการยอมรับเพื่อความเข้าใจ การตัดสินใจ และการกระทำที่ถูกต้องดีงามจากผู้ชื่นชม คุณค่าทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในศิลปะ จะมิใช่วัตถุที่มีเพียงความงามทางศิลปะเท่านั้น แต่จะเป็นสัญลักษณ์องค์แห่งการรับรู้ ช่วยแผ่ขยายพฤติกรรมทางจิตใจให้เกิดมโนภาพ ความคิดรวบยอด จินตนาการ และเป้าหมายที่ชัดเจนมั่นคง ซึ่งเป็นคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ให้มากกว่าเรื่องของความงามและความพึงพอใจ

เนื่องจากวัฒนธรรม เป็นวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่สังคมแต่ละยุคแต่ละกลุ่มยอมรับว่าดีงาม มีคุณค่าเป็นมรดกแห่งสังคมที่ควรรักษา และวัฒนธรรมก็มีสถานภาพเป็นนามธรรมทางจิตนิยม โดยศิลปะเองก็มีฐานะเป็นรูปธรรมของวัฒนธรรมนั้นๆ จึงชอบที่จะตอบสนองความต้องการของสังคมแห่งยุคด้วยกรอบแห่งแบบแผนตามนั้น หลายอย่างของแต่ละยุคย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อแนวคิดและวัสดุสำหรับใช้ในการสร้างสรรค์ได้รับการคิดค้นให้แปลกออกไป บนความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แท้จริงคือ การสะท้อนภูมิปัญญาความสามารถแห่งยุค

คนไทยและวัฒนธรรมไทยนั้นมีที่มาที่หลากหลายรวมกันอยู่ ณ บริเวณที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ แหลมทองแห่งนี้ ก่อนนั้นประเทศไทยไม่ได้กำหนดตามแผนที่ในปัจจุบันจึงเห็นได้ว่า บุคคลที่มีลักษณะทางวัฒนธรรมแบบไทยที่อยู่ในประเทศไทยแห่งนี้มีอยู่ในประเทศอื่นๆ โดยรอบ ก็ถือได้ว่า คนไทยนั้นมีความยิ่งใหญ่ดังความหมายของคำว่า “ไท” ที่ใช้ในอดีต แต่ต่อมาคำว่า “ไทย” ได้ใช้ในความหมายว่า “เป็นอิสระ” มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยาเป็นต้นมา

วัฒนธรรมไทยเป็นลักษณะพหุวัฒนธรรม คือหลอมรวมวัฒนธรรมจากแหล่งอื่นๆ เข้าด้วยกับวัฒนธรรมเดิมของตน โดยรวมแล้ววัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนาเป็นหลัก แต่ก็ประกอบด้วยวัฒนธรรมอื่นด้วย เช่น วัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมตะวันตก และตะวันออกกลาง ในส่วนของวัฒนธรรมที่ได้รับจากพระพุทธศาสนานั้นยังแบ่งเป็นพระพุทธศาสนาแบบมหายานและเถรวาท เดิมนั้นได้รับจากพระพุทธศาสนามหายาน จากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ต่อมาในกาลภายหลังนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา วัฒนธรรมไทยก็ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนาเถรวาทมาโดยตลอด

วัฒนธรรมเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้คนไทยมีลักษณะผสมผสาน กลายเป็นอุปนิสัยของไทยที่โดยรวมแล้วเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยน สนใจทางจิตวิญญาณ คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รักในอิสระ รักสงบ ชอบสนุก ยิ้มง่าย เบิกบานง่าย ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมอื่นได้ง่าย ปรับตัวตามสภาพได้ง่าย ลักษณะเช่นนี้มีส่วนให้คนไทยขาดความเป็นตัวของตัวเอง แต่กลับทำให้คนไทยอยู่ได้ในทุกที่