วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๙)

ห้วงแห่งความรู้สึกลางเลือน ท้องฟ้าหมุนคว้าง
ทุกสิ่งคล้ายว่างเปล่า ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเสียใจ ก่อนที่มันจะหมดความรู้สึกลง
ภาพแห่งสตรีนางนั้นที่กำลังถูกข่มเหง นางต่อสู้ขัดขืน

เป็นมันที่เข้าไปขอร้องทหารทุรชนผู้หนึ่ง “ปล่อยสตรีนางนี้ไปเถอะ นายท่าน”
“ใครให้เจ้าเข้ามาในนี้” มันหันมาที่ทินเล่ด้วยสายตาไม่พอใจอย่างยิ่ง “เจ้าคงไม่อยากมีชีวิตเป็นแน่”
ผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด?
ทินเล่ ลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น บุคคลแรกที่มันเห็นคงยังเป็นนางผู้นั้น

นางยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดบาดแผลและใบหน้าของมันอย่างค่อยๆ
ที่นางเช็ดบางทีก็คือ น้ำตาของนางนั่นเองที่หยดลงบนใบหน้าของมัน

“แม่นางปลอดภัยใช่ไหม?”
ยังคงเป็นความห่วงใยผู้อื่นที่มันเอ่ยปากถาม
“เป็นเพราะข้าไม่ดีเองที่ทำให้ท่านต้องได้รับบาดเจ็บ” นางยังกล่าวประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แม่นางใยต้องตำหนิตนเอง” มันปลอบให้นางสบายใจขึ้น “ที่ต้องตำหนิก็คือชะตาเราเองที่ต้องยังเกิดมาอีก หมู่บ้านซ่างซัวและผู้คนจึงต้องภัยพิบัติครั้งนี้ ข้าเองทั้งที่มีผู้เตือนแต่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
“เป็นผู้ใดเตือนท่าน”
“เป็นชายที่ไม่ได้สวมเสื้อคนหนึ่ง”
“มันรอดปลอดภัยจริง ๆ เท่านี้ข้าก็ดีใจแล้ว

ชะตาของข้ายังไม่เลวร้ายนัก อย่างน้อยผู้ที่ข้าฝากชีวิตไว้ยังอยู่”
ดูนางมีความหวัง เป็นความหวังที่ลางเลือนยิ่งนัก แต่กระนั้น ความหวังก็คือความหวัง
ความหวังเป็นดั่งประกายไฟดวงเล็ก ๆ
ที่ทำให้คนมีชีวิตอยู่เพื่อความหวังนั้น
ความหลังอันงดงามนั้น
ช่างผ่านไปรวดเร็ว
ดังนั้น ชายชราจึงผ่านเวลาอันเงียบเหงา
ที่ยาวนานผ่านไป
ด้วยการหวนคะนึงถึงความหลังนั่นเอง

****

แรมเจ็ดค่ำ เดือนหก
ใกล้ถึงชิวเทียน (ฤดูใบไม้ผลิ) อีกครั้ง
บนพื้นเริ่มเห็นติณชาติงอกงาม ผลิหน่อแตกกิ่งใบ แต่มันเป็นชีวิตที่ผลิออกบนแผ่นดินที่เป็นกรวดหินและศิลา ทำให้ติณชาติเหล่านี้ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหยั่งรากของตนลงสู่พื้นอันแข็งกระด้าง

ถึงกระนั้นพวกมันก็พึงพอใจที่จะได้มีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป
กระโจมทุกหลังถูกเทียมด้วยม้าพร้อมทุกคัน
กระโจมเคลื่อนไปทิศตะวันตกเฉียงเหลือ มองดูกระโจมที่เคลื่อนไปดุจดังสัตว์เลื้อยคลานตัวมหึมาตัวหนึ่ง
กองทหารคุ้มกันคุมขบวนกระโจมแบ่งเป็นกองหน้า กองกลาง และกองหลัง
จุดมุ่งหมายคือ บุกแคว้นกัศมีระ

*****

หน้าผาสูงชัน…
หนทางเลียบหน้าผา กระโจมไม่อาจเรียงเป็นหน้ากระดานได้
นี่ถ้าหากถูกโจมตีย่อมเป็นที่อันเหมาะสมยิ่ง แต่จะภาวนาให้ผู้ใดล่วงรู้และมาโจมตีพวกมันได้
กระโจมใหญ่ของแม่ทัพเตมูจายิน ผ่านช่องแคบผ่านไปเบื้องหน้า

แม้จะมีการระมัดระวังเพียงใดพวกมันอย่างน้อยก็มั่นใจว่า ไม่มีผู้ใดจะยกมาซุ่มกำลังไว้ ณ กลางภูเขาเช่นนี้ เพราะที่นี่ห่างจากเมืองกัศมีระมากนัก

ถ้าจะมีก็แต่เมืองอุทกขัณฑะเท่านั้นที่จะนำทหารมาทัน
แต่อุทกขัณฑะก็ไม่ได้ติดต่อกับกัศมีระไหนเลยจะนำทหารมาซุ่มได้

เมื่อฟ้าจะนำโศกนาฏกรรมมาให้แก่ผู้ใด
ฟ้าจะประทานความเงียบสงบ
ความเบิกบานบันเทิงให้แก่ผู้นั้นก่อน
ชีวิตก่อนประสบเคราะห์กรรมก็มักเป็นเช่นนี้
มักมีความรุ่งโรจน์โชติช่วงเป็นพิเศษ
นักรบผู้กล้าจากเมืองปุรุสปุระและอุทกขัณฑะ ทราบความเคลื่อนไหวของพวกมันก่อนแล้ว
เสียงตีม้าล่อดังกระหึ่มเป็นสัญญาณ เสียงกลองรบดังปานฟ้าถล่ม เสียงธนูแหวกอากาศ ความโกลาหลเกิดขึ้นเนื่องเพราะพวกมันประเมินผู้อื่นต่ำไป
ผู้ประเมินผู้อื่นต่ำไปสมควรตายทั้งสิ้น
กองหน้าและกองหลังไม่อาจคุมกันติด
และแล้วหายนะครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นเป็นพ่ายแพ้ของทหารมงโกลที่รุกรานแดนไกลของพวกมัน
ทินเล่อยากจะตั้งคำถามใครสักคนว่า ทำไมต้องรบและฆ่าฟันทำร้ายกันด้วย
แต่มันก็สรุปว่า คำตอบที่สมบูรณ์ในเรื่องนี้คงไม่มี เนื่องจากมันคือสงคราม

สงครามไม่ใช่สิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่น่าปรารถนา
แต่ดูเหมือนว่า สงครามก็เกิดได้ทุกที่
และมีมาควบคู่กับมนุษยชาติแต่ปางบรรพ์
ในขณะที่มันยืนมองเหตุการณ์ที่มนุษย์ที่ชื่อว่า ผู้มีความคิด มีเหตุผลทำขึ้นอยู่นั้น

พลันชายผู้หนึ่งก็เข้ามาหามัน มือหนึ่งถือกระบี่ยาวสามเชี้ยะครึ่ง สวมเกราะหวายยืนมองด้วยท่าทางเศร้าเสียใจไม่แพ้กัน พลางเอ่ยขึ้น
“ดูเหมือนเราเคยพบกันแล้วใช่ไหม ?”
ทินเล่ มองดูชายผู้นั้นเพื่อทบทวนความจำว่า มันเคยพบกับชายผู้นี้หรือไม่ และมันก็จำได้
“ใช่….ท่านคือ….”
“ถูกต้อง เรามาเพื่อปลดปล่อยคนซ่างซัวให้ได้รับอิสระ”
“ที่แท้ท่านไปแจ้งข่าวการมาของพวกมองโกลให้เมืองทั้งสองทราบ”
“เพื่อความอยู่รอดของเมืองทั้งสองเอง พวกเขาหาใช่ทำเพื่อเราไม่”
“ก็นับว่า ช่างซัวและแม่นางราณิทิกามีวาสนาแล้วที่มีคนเช่นท่าน” ทินเล่ไม่ต้องการให้ชายผู้นั้นรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีต เนื่องจากสายตาของเขามีคำถามมากมาย มันจึงกล่าว “แม่นางของท่านคงรอท่านแล้ว”
“หากมีวาสนาเราคงได้พบกันอีก”
“ใช่…หากมีวาสนาคงได้พบกัน”

มนุษย์มีเรื่องราวให้ต้องกระทำอีกมากมาย
มีผู้คนมากเหลือเกินที่จะเอาชีวิตไปฝากไว้กับอดีต
มีไม่น้อยเช่นกันที่เอาชีวิตผูกกับอนาคต
แต่ที่มุ่งกระทำในสิ่งที่พึงกระทำในขณะที่มันดำรงอยู่
กลับมีน้อยอย่างยิ่ง

ไม่มีความคิดเห็น: