วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มหายาน : ความเข้าใจที่พึงเข้าใจ



รู้ความเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ทางสังคม

ถ้ามองเชิงวิวัฒนาการกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของมนุษย์อย่างกว้างๆ ก็จะไม่แปลกใจว่า ทำไมกระแสความคิดหลักบางประการนี้จึงเกิดขึ้น กระแสความคิดนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมและจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นกลายเป็นแนวคิดหลักของสังคม จุดที่เหมาะสมอาจเรียกว่าจุดแห่งความกดดัน หรือว่าจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลงก็ได้ (Turning Point) เปรียบเหมือนแรงอัด ที่มีกำลังดันเต็มที่เพื่อหาช่องทางออกให้ได้ ช่องทางออกนี้อาจเกิดจากการค้นพบแนวคิดใหม่ หรือเกิดจากแรงบีบของสังคมที่ทำให้บุคคลบางกลุ่มไม่อาจทน ได้ต่อไป

ระยะเวลาของความเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่อาจบอกได้ บางทีอาจเป็นร้อยปีหรืออาจเป็นพันปี ถ้าหากเรามองสังคมเช่นนี้จะเห็นลักษณะความเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ทางความคิดของมนุษย์ ที่ผ่านมาและก็จะดำเนินต่อไป
มนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตและสังคมมา โดยตลอด นับตั้งแต่มนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์ที่ต้องการรอดพ้นจากภัยธรรมชาติ ความกลัวของมนุษย์ทำให้ต้องหาคำตอบ พวกเขาพยายามให้คำตอบแก่สังคมว่า ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งลี้ลับ มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์กระทำต่อสิ่งที่บอกไม่ได้นี้ ด้วยการแสดงความเอาอกเอาใจต่อปรากฏการณ์เหล่านั้นด้วยวิธีต่างๆ ด้วยหวัง ว่าจะพบกับทางหลุดพ้นจากภัยพิบัติ มาถึงยุคหนึ่งมนุษย์เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ เรื่อยมา และสรุปว่ามีผู้บงการปรากฏการณ์ต่างๆ นั้น ผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ ถูกเรียกว่า เทพเจ้า เหล่าเทพเจ้าจะรู้กฎของโลกและจะบันดาลให้ปรากฏการณ์ นั้นเกิดขึ้นหรือไม่ให้เกิดขึ้นก็ได้ จึงทำให้มนุษย์ยุคโบราณต่างพากันเอาใจเทพเจ้า ด้วยการบวงสรวงอ้อนวอนด้วยวิธีต่างๆ

มนุษย์ยังคิดต่อไปอีกว่า ชีวิตของมนุษย์นี้สั้นไม่อาจอยู่บนโลกนี้ได้ ยาวนาน และไม่อาจได้รับความสุขที่แท้จริงได้ในโลกนี้ การได้อยู่ร่วมกับเทพเจ้า จะพบความสุขที่จริงเป็นนิรันดร์ ชีวิตมีความเป็นอมตะ แต่การจะไปอยู่ร่วมกับ เทพเจ้าได้นั้นต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับวิถีแห่งเทพ ดังนั้น ในยุคนี้จึงมี ผู้ออกบวชกันมาก เป็นยุคที่ศาสนารุ่งเรือง

ต่อมามนุษย์ต้องการสร้างความสุขอันยั่งยืนนั้นให้มีอยู่บนโลกใบนี้ ต้องการเอาชนะธรรมชาติด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การหวังที่จะไปอยู่กับพระเจ้าหรือเทพเจ้านั้นเป็นความหวังที่เลื่อนลอย ไม่มี หลักประกันว่าจะไปอยู่ได้จริง เนื่องจากสัมผัสไม่ได้ ดังนั้นจึงเชื่อในวิทยาศาสตร์ จะสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ในโลกนี้ เป็นเหตุให้วิทยาศาสตร์รุ่งเรืองในยุคนี้
มาถึงยุคปัจจุบัน ความรุ่งเรืองของวิทยาศาสตร์กำลังก้าวหน้าไปเรื่อยๆ วิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นความหวังของมนุษย์ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง เปลี่ยนแปลงให้ปรากฏต่อนักศาสนา เพื่อเป็นข้อลบล้างความเชื่อในศาสนา ในขณะที่วิทยาศาสตร์กำลังเฟื่องฟู ผลของวิทยาศาสตร์ก็ได้ทำลายมนุษย์ ให้พินาศไปด้วยเช่นกัน จนมาถึงการแสวงหาทางออกดังคำที่ใช้กันมากว่า วิทยาศาสตร์เพื่อความพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่พัฒนาไปเพื่อการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ มนุษยชาติด้วยกันเอง นี่คือการดิ้นรนเพื่อข้ามไปสู่กระบวนทัศน์ในยุคใหม่ ยังไม่ทราบว่าความเป็นไปได้จะมีมากน้อยเพียงใดและทันกาลหรือไม่ เนื่องจาก ความไวของวิทยาการของเทคโนโลยีในปัจจุบันมีสูง เคลื่อนไปด้วยความเร็ว มากกว่าที่ผ่านมาในอดีตหลายเท่า

ความเปลี่ยนแปลงสู่ยุคพระเวท

มนุษย์แสวงหาความเปลี่ยนแปลงให้กับตนเองเพื่อการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่เพียงแต่ทางกายรวมทั้งทางด้านจิตวิญญาณด้วย ในที่นี้จะนำความเปลี่ยน แปลงทางความคิดจากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่งของนักคิดทางตะวันออกเป็นตัวอย่าง จะเห็นได้จากวิวัฒนาการความเปลี่ยนแปลงทางความคิดจากยุคดึกดำบรรพ์ สู่ยุคพระเวท (ตะวันตกเรียกยุคโบราณ) เข้าสู่ยุคพระเวท ยุคนี้ถือว่าเป็นยุคที่เริ่ม เข้าสู่ครรลองแห่งการเจริญทางความคิดของมนุษย์เลยทีเดียว ที่เรียกว่า “ยุคพระเวท’ ก็เกิดมาจากการกลั่นกรองทางความคิดออกมาเป็นรูปธรรม เป็น เบ้าหลอมทางความคิดในสังคม เป็นปรัชญาของมนุษย์ที่ต้องศึกษา และปฏิบัติ ตามในขณะนั้น ผู้ที่เข้าใจพระเวทถือว่าเข้าใจโลกและชีวิต

‘เวท’ หรือ ‘เพท’ แปลว่า ‘ความรู้’ หรือ ‘วิชา’ ถ้าจะแปลเป็นภาษาที่เข้าใจ กันง่ายก็คือ ศาสตร์ๆ (-Logy) หนึ่งที่ประกอบไปด้วยแง่มุมอันน่าศึกษาและมี ระบบทางความคิด ซึ่งความรู้หรือวิชานี้เกิดมาจากการสังเกตธรรมชาติของมนุษย์ สังเกตความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่างๆ ด้วยความสงสัย ตามสัญชาตญาณของมนุษย์นั้นกลัวภัยอยู่แล้วจึงพยายามคิดหาสาเหตุแห่ง ปรากฏการณ์ธรรมชาติและความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเพื่อความอยู่รอด ปลอดภัยจากการคุกคามของธรรมชาติ ชนชาติที่สามารถเข้าใจและให้คำตอบ แก่สังคมในขณะนั้นได้ว่าอะไรคือที่มาของธรรมชาติ เราอาจเรียกว่าเป็นชนชาว อารยันก็ได้

ชนชาวอารยันหรืออาริยกะอาจสืบทอดเชื้อสายกันมานานนับหลายพันปีก่อนพุทธกาล คำว่า อารยัน หรือ อาริยกะไม่ใช่เรียกเผ่าใดเผ่าหนึ่ง ดังที่เรา เรียกชนกลุ่มน้อย แต่หมายถึงมนุษยชาติที่มีวิวัฒนาการอันเจริญรุ่งเรือง เป็นอย่างมาก อารยัน ก็คือ มนุษย์ที่มีความเจริญแล้ว มีนักปราชญ์บางท่านเชื่อว่า เป็นอารยธรรม (Civilization) ที่เจริญถึงขีดสุดแล้วและล่มสลายไป เอ็ดการ์ เคยซ์ กล่าวถึงดินแดนอันเจริญรุ่งเรืองนี้ว่าอยู่ที่มหาสมุทรแอ๊ตแลนติส มี วิวัฒนาการทางความคิดและวิทยาการสูง แต่เพราะความเกิดเหตุบางประการ จึงทำให้อาณาจักรนี้ล่มสลายไป ถึงกระนั้นอาจมีมนุษย์จากดินแดนนี้หลงเหลือ กระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆ อาจเกิดจากการหนีได้ทัน หรือเพราะขณะนั้น ไม่ได้อยู่ที่แผ่นดินแม่ อาจกระจายอยู่บริเวณเอเชียไมเนอร์ (Asia Minor) ได้แก่ บริเวณ ประเทศอิรัก ประเทศอิหร่าน ประเทศอียิปต์ จนเริ่มก่อตั้งกันเป็น อารยธรรมแห่งชนชาติไอยคุปต์ แต่กระนั้นก็ตามชนชาวอารยันก็ยังคงถูกเรียก ในฐานะชนชาติที่มีความเจริญแล้ว กระทั่งเกิดความผันผวนทางธรรมชาติ ชนชาติ ไอยคุปต์ที่มีความเจริญก็กระจายออกไปจากดินแดนแถบนั้น แบ่งเป็นสองสาย สายหนึ่งมุ่งไปตามตะวันออก อีกสายหนึ่งมุ่งไปตามทิศตะวันตก ที่ไปสู่ตะวันตก ก็ตั้งรกรากอยู่ที่กรีกและโรมัน และที่มุ่งสู่ตะวันออกก็ข้ามภูเขาไซเบอร์พาส และข้ามเทือกเขาฮินดูกูฏเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณประเทศอาฟกานิสถาน ประเทศปากีสถานและส่วนหนึ่งของอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ

ด้วยสติปัญญาของชนชาติอาริยกะที่รวบรวมพระเวทขึ้น ในพระเวท แสดงให้ทราบว่าในธรรมชาติมีเทพเจ้าประจำอยู่ทุกส่วน เทพเจ้าเป็นผู้มีอำนาจ ในการดลบันดาลทุกอย่างให้เกิดขึ้นหรือให้หยุดก็ได้ การสื่อถึงเทพเจ้าเหล่านั้น ก็ด้วยการสวดมนต์อ้อนวอน ทำพิธีกรรมบวงสรวงอันเป็นเครื่องแสดงความ จงรักภักดีของมนุษย์ต่อเทพเจ้า เพื่อจะได้รับการปฏิบัติดีตอบแทน ปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติทุกอย่างจึงมีเทพเจ้าอยู่ประจำ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างก็พากันบวงสรวง บูชาอ้อนวอนให้เทพเจ้าประจำธรรมชาตินั้นช่วยเหลือหรือหยุดลงโทษ กระทั่ง ต่อมามีการบูชาเพื่อขอให้ทำร้ายฝ่ายตรงกันข้าม และมีสงครามระหว่างเทพเจ้า ของแต่ละฝ่ายอีกด้วย

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมนุษย์เชื่อและยึดถือพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของ พระเจ้า เทพเจ้าผู้เป็นอมตะ เป็นผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่งและสามารถให้คุณให้โทษ ต่อมนุษย์ มนุษย์กลัวต่อธรรมชาติที่มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ จึงได้แบ่งเทพเจ้าออก ตามหน้าที่ ตามลักษณะที่มนุษย์สัมผัส เช่น เทพเจ้าประจำฟ้าร้อง เทพเจ้าประจำ ดวงดาวแต่ละดวง พระเจ้าประจำฤดูกาล หลังจากที่มนุษย์มีพัฒนาการทางความ คิดมากขึ้นก็กำหนดชื่อลงไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวทนั้น ถือว่าเป็นเทพเจ้าที่มีบทบาทได้รับหน้าที่และได้รับการเซ่นสรวงบูชาจากผู้คน เมื่อรวมลงแล้วพระเจ้าเหล่านี้มีดังนี้

เทพเจ้าประจำดิน : เทพอัคนี เทพโสมะ เทพยมะ
เทพเจ้าประจำอากาศ : เทพวาตะ เทพอินทะ เทพรุทระ เทพอปามะ เทพนปาตะ เทพปรชันยะ
เทพเจ้าประเจ้าสวรรค์ : เทพวรุณ เทพอุสล เทพวิษณุ เทพสูรยะ เทพมตระ เทพอุษ เทพสวตระ เทพปูษัน เทพอัศวิน เทพราตรี

ลักษณะการนับถือเทพเจ้าหลายพระองค์อย่างนี้บ่งบอกให้เห็นถึง สภาพการดำรงชีวิตของคนในสมัยโบราณด้วย เนื่องจากคนในสมัยโบราณมิได้ อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ อย่างที่เป็นกันในปัจจุบันมีเฉพาะหมู่บ้านเท่านั้น ถ้าจะ เทียบก็เหมือนเทพเจ้าของชาวภูเขาแต่ละเผ่าที่มีมากมายตามเผ่านั้นๆ แต่พอ ต่อมามนุษย์เริ่มอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ โดยยึดเอาโคตรเป็นการแบ่งกลุ่ม เทพเจ้าก็เปลี่ยนไปตามกาลนิยม คือ มนุษย์มีพระราชา มีผู้นำที่ดูแลปกครองกัน เป็นหมู่ใหญ่ ก็เชื่อว่าเทพเจ้าทั้งหลายก็คงจะมีลักษณะดังกล่าวด้วย จึงคิดว่า เทพเจ้าคงจะมีเทพเจ้าที่ดูแลเทพเจ้าเล็กๆ เรียกว่าเป็นเทวาติเทพ แนวคิด เกี่ยวกับเทพเจ้าที่เป็นประมุขของเทพนี้กลายมาเป็นจากพหุเทวนิยมเป็น “เอกเทวนิยม” เพื่อสะดวกในการบูชาบวงสรวงเทพองค์เดียว ซึ่งเป็นเทพเจ้า ผู้สร้างโลก สร้างจักรวาล (God) ส่วนเทพเจ้าเล็กๆ น้อย (gods) ทั้งหลายก็ไม่ให้ ความสำคัญ ดูจากจุดนี้เทพเจ้าถูกกำหนดมาจากมนุษย์และมนุษย์นั่นแหละ ที่เข้าไปเคารพนับถือ เมื่อมาถึงในกาลปัจจุบันมีการศึกษาทั่วถึงกันของแต่ละ ศาสนาก็พบว่า แต่ละศาสนาก็มีพระเจ้าผู้สร้างโลกเป็นของตนไม่ว่าชนชาติ อารยัน จะไปอยู่ส่วนไหนแนวความคิดเกี่ยวกับเทพเจ้าสูงสุด หรือ แดนเทพเจ้า ก็ยังมีอยู่ แต่อาจเรียกชื่อต่างกันออกไป

(อ่านต่อในหนังสือ ตถาทัศนะมหายานกำล้งจะวางแผง)

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

บ้านบำเพ็ญ













กว่าจะเป็น "บำเพ็ญ" บ้าน ก็ต้องผ่านการบำเพ็ญ

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิตคือ?














หากชีวิตคือความผิดพลาด เอาเถอะ..เริ่มใหม่
หากชีวิตคือเส้นชัย สักวันก็ถึง
หากชีวิตคือต้องเป็นหนึ่ง ใครละ..เคียงข้าง
หากชีวิตคือการเดินทาง ก้าวย่างไป
หากชีวิตคือรักอันสดใส ถนอมรักษา
หากชีวิตคือความเหนื่อยล้า ก็พักสักนิด
หากชีวิตคือพรหมลิขิต ขอบคุณฟ้า
หากชีวิตคือกาลเวลา อย่าหวั่นไหว
หากชีวิตคือความตาย ก็จบเกม


(อ่านต่อในคัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล)

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องสั้น : ซุนคังไต้ซือ



สายน้ำดุจแผ่นกระจงสะท้อนแสงอาทิตย์ยามอรุณระยิบระยับนับไม่ถ้วน
อาทิตย์ยิ่งสูงสีทองยิ่งเปลี่ยนไปเป็นสีเงินเจิดจ้างดงามยิ่งนัก
เรือน้อยของคนหาปลายังคงลอยอยู่ริมฝั่งห่างไกลออกไปมองเห็นคล้ายดั่งเป็นภาพจิตรกรรมธรรมชาติอันตราตรึง

น้ำไหลเอื่อยๆ ไม่เชี่ยวกราก
ภาคีรถีได้ชื่อว่า เป็นแม่แห่งนทีทั้งมวล หล่อเลี้ยงทุกๆ ชีวิตในกเนาช์ปุระอย่างไม่เคยเหือดแห้งมาเลย
ลานกว้างริมฝั่งทิศเหนือของกเนาช์บุรี บัดนี้กำลังมีการประดับธงทิวเป็นแนวยาว

เหล่าทหารตรวจดูความเรียบร้อยอยู่เป็นระยะ ผู้คนยังคงประดับตกแต่งเวทีและริมคงคาด้วยมวลพฤกษานานาพันธุ์ที่ตอนนี้กำลังเบ่งบานเต็มที่
อาทิตย์บ่ายคล้อยแล้ว แสงอาทิตย์ในยามชิวเทียนไม่ร้อนแรง ขณะที่ลมพัดโชยยิ่งทำให้อาทิตย์ยามนี้มีมนต์ขลังยิ่งนัก

เสียงธงทิวโบกสะบัดทำให้จิตใจคึกคักขึ้นมาได้
อาชาพ่วงพีสีขาวดุจเมฆคิมหันตฤดูเดินเหยาะย่างอย่างเป็นยังหวะผ่านหน้าเหล่าทหารที่สวมใส่ชุดนักรบโบราณออกมายืนเรียงรายตั้งเป็นกองแถวเกียรติยศและเหล่าคนงาน
ที่สะดุดตาและสง่างามยิ่งนักกลับเป็นผู้ที่นั่งอยู่บนหลังอาชาตัวนั้น เสื้อคลุมสีปีกทับเขียวสะท้อนแสงอาทิตย์ พอลมพัดต้องชายปลิวไสว เผยให้เห็นต่วนสีเงิน นี่จะเป็นผู้ใดไม่ได้นอกจากองค์ราชาแห่งกเนาช์บุรีนั่นเอง พระองค์พระนามว่า หรรษวรมัน
พระนลาฏกว้างใหญ่ หางคิ้วงอนขึ้นเบื้องบนเล็กน้อย พระเนตรดำสนิทมีประกายลึกซึ้ง ช่างเป็นพระพักตร์ของผุ้ที่เปี่ยมด้วยบุญญาธิการเสียนี่กระไร
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ” พระองค์ตรัสถาม
“เหลือเพียงประดับดอกไม้อีกเพียงเล็กน้อยพระเจ้าข้า” ราชองค์รักษ์กราบทูลให้ทรงทราบ
อีกสองวันเท่านั้น สถานที่แห่งนี้ก็จะเป็นที่รองรับผุ้คนที่มาจากทุกสารทิศเพื่อมาร่วมงานที่พระองคืจัดขึ้นในโอกาสแห่งการแสดงธรรมของภิกษุชาวจุงโกวผู้เดินทางหมื่นลี้มา บัดนี้ท่านกลายเป็นที่รู้จักของชาวภารตะทั้งหลายไปแล้ว

[[[[[

เสียงเจรจาดังไปทั่วบริเวณ ผุ้คนเดินขวักไขว่อยู่รอบนอกรั้วล้อมรอบเป็นชั้นๆ ก่อนจะถึงเวที
ในแต่ละชั้นเป็นที่ๆ จัดไว้สำหรับคนในแต่ละระดับลดหลั่นกันลงไป ด้านในสุดทิศตะวันออกและทิศใต้เป็นที่สำหรับสมณะผู้ทรงภูมิความรู้ทั่วภารตะประเทศที่อยากจะชมการสนทนาธรรมครั้งนี้
ประตูด้านทิศอุดรเปิดอีกครั้ง
ผู้คนต่างมองไปยังลาดพระบาทที่ทอดไปจนถึงประตู
องค์ราชาได้ทรงราชดำเนินมาพร้อมกับพระมเหสีเปี่ยมด้วยราศี
ถัดไปด้านขวาซึ่งคลายดั่งเป็นเป้าสายตาของคนทั่วไปที่ใคร่เห็นก็คือ องค์หญิงราธนศรี
พระองค์ช่างงดงามดุจดังพระโพธิสัตว์จำแลงร่าง นัยน์พระเนตรที่สุกใสเปี่ยมเมตตา
เป็นพระเนตรที่ผู้คนได้เห็นแล้วไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดกาล
หากแต่ผู้คนกลับไม่อาจละสายตาที่เพ่งไปยังบรรพชิตรูปหนึ่งที่เดินเฉียงอยู่ด้านหลัง
ทิ้งระยะห่างประมาณสี่เชี๊ยะสม่ำเสมอไม่มากไม่น้อย
ลูกประคำสีแดงคล้ำเม็ดโตเท่าไข่มุกเมืองหยางโจวพวกใหญ่คล้องอยู่ที่คอ
มือหนึ่งยกขึ้นตั้งฉากระหว่างอกไว้ ดวงตาของท่านทอดลงต่ำพอประมาณ แน่วแน่
ความแน่วแน่ที่เปี่ยวมด้วยสมาธิเช่นนี้
ย่อมไม่ใช่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่จะต้องผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลาอันนาน
เสียงประกาศดังขึ้นเมื่อทั้งหมดเข้าประจำที่นั่งที่จัดไว้
บัดนี้ถึงเวลาแสดงธรรมของท่านไต้ซือซุนคัง ผู้เดินทางหมื่นลี้จากดินแดนจุงโกว”


[[[[[
(อ่านต่อเรื่องสั้นปุ๊ซินเนี่ยน)