วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ปัญจสัตตติสัจจวิชชภาวินี
ฝึกแล้วนำไปใช้ (๖)
ฝึกสายบ่ายค่ำในเขต
เที่ยวเทศน์เที่ยวกล่าวจนคล่อง
ไม่ยักนำไปทดลอง
ว่าของที่ฝึกจะดี
มองลึกเข้าไปข้างใน
เห็นความขุ่นใสบ้างสิ
เห็นแล้วทำไงถึงดี
อย่างนี้แยบยลผลธรรม
ดูจิต ดูธรรม (๕)
พึงรักษาจิตของตนไว้
อย่าให้เข้าไประรานเขา
อบรมธรรมให้มีในจิตเรา
ให้เห็นความว่างเปล่าจริง จริง
เท่านี้ก็คุ้มค่าทุกคำข้าว
ไร้เขาไร้เราในสรรพสิ่ง
ยิ้มยอมรับทุกคำติติง
อย่าวิ่ง อย่าวุ่นเป็นบุญนักฃ
สว.ธรรมภาวินี ๑๔/๔/๕๖
ชนเพดาน (๔)
เมื่อการบำเพ็ญถึงทางตัน
ถึงกาลและวันที่หดหู่
ปรับเปลี่ยนอิริยาบถสักครู่
อย่าอยู่อย่างท้อถอยปฏิบัติ
มองธรรมชาติพรรณไม้เบื้องหน้า
มีคู่สนทนาธรรมให้แจ่มชัด
แลกเปลี่ยนวิถีธรรมฝึกหัด
ก็เป็นการชาร์จแบตทางจิต
สว.ธรรมภาวินี ๑๔/๔/๕๖
วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ปัญจสัตตติสัจจวิชชภาวินี
ปัญจสัตตติสัจจวิชชภาวินี
ประเมินตนเอง (๑)
ไม่ต้องกล่าวคำมากไป
ว่าตนทรงไว้คุณธรรม (?)
ดูจิตตนที่มีสูงต่ำ
ก็รับทราบตื้นลึกปฏิบัติ
ตรวจสอบจิตเมื่อถูกวาจาจี้
จิตนี้มีสมมติหรือปรมัตถ์
นี่เป็นสมบัติธรรมสัจจ์
พึงบำเพ็ญวัตรต่อไปอีก (เหอะ)
สว.ธรรมภาวินี ๑๔/๔/๕๖
ดีขึ้น (๒)
ขอเพียงตั้งจิตชอบไว้ทุกที่
ไม่หลีกหนีอุปสรรคขัดขวาง
ตั้งใจแน่วแน่ทะลุทะลวง
ก็จะลุล่วงหน้าในธรรม
มีโอนอ่อนผ่อนตามบ้าง
อย่าอยากหวังให้เลิศล้ำ
แค่ดูลมหายใจประจำ
ก็ก้าวข้ามอุปสรรคใดใด
สว.ธรรมภาวินี ๑๔/๔/๕๖
ดูเวทนา (๓)
เวทนามีคุณค่ามหาศาล
สำหรับเราท่านที่สั่งสม
บำเพ็ญธรรมปฏิบัติอบรม
เพาะบ่มถึงเวทนาในเวทนา
ดูเวทนาอย่าให้กลายเป็นเชื้อ
ถูกอุปาทานปนเจือภายหน้า
ลุถึงขั้นเวทนาเป็นขันธเวทนา
จึงชื่อว่าลิ้มรสสัจธรรม
สว.ธรรมภาวินี ๑๔/๔/๕๖
การสื่อสารกับการบริหารอารมณ์แนวพุทธ
การสื่อสารกับการบริหารอารมณ์อย่างมืออาชีพ
ผศ.ดร.สุวิญ รักสัตย์
www.goodthinkingtraining.com
ความเบื้องต้น
อารมณ์เป็นเจตสิกที่ชักนำจิตให้เกิดสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งนอกเหนือจากที่จิตทำงานของมันเอง
มาจากภาษาบาลีว่า “อารมณ์” แปลว่า สภาวะที่เกิดกับจิต สภาวะที่จิตยึดเอาไว้ ตามความเข้าใจในสำนวนไทย
คำว่า“อารมณ์”คือความรู้สึกที่สื่อให้เห็นถึงความกระเพื่อมของจิตที่แสดงท่าทีออกมา
บางทีก็ใช้คำว่า มีอารมณ์ อารมณ์จะมีขึ้นก็ต่อเมื่อถูกการกระตุ้นให้ออกมา เช่นการเห็นภาพเย้ายวนของเพศตรงข้าม
ก็จะเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมา หรือใครถูกยั่วโมโห ก็จะมีอารมณ์โกรธขึ้นมา
หรือใครถูกล่อด้วยเงินทองมาก ๆ ก็เกิดความโลภขึ้นมาด้วยเหตุนี้อารมณ์จึงเป็นเจตสิกที่ปรุงแต่งจิตให้เคลื่อนไหวรุนแรงยิ่งกว่าปกติ
ที่อยู่ของอารมณ์
ตามปกติอารมณ์จะนอนเนื่องอยู่ภายในถัดลึกลงไปจากความคิดระดับหนึ่ง
ความคิดเป็นทางเดินให้อารมณ์ประกอบเข้ามาได้ ตามกระบวนแห่งหลักปฏิจจสมุปบาทในพระพุทธศาสนา
อารมณ์จะอยู่ถัดจากการรับรู้ทางอายตนะและผัสสะ
การรับรู้ทางอายตนะและผัสสะนั้นเป็นกระบวนการทางจิต เมื่อจิตรับรู้จากอายตนะภายในและอายตนะภายนอก
หรืออารมณ์ภายนอกเข้ามากระทบกับอารมณ์ภายในแล้ว ก็จะนำไปสู่ระดับอารมณ์ทันทีถ้าหากอารมณ์นี้ประกอบไปด้วยอิฏฐารมณ์
คือน่าพอใจ ก็จะทำให้อารมณ์แสดงผลออกมาเป็นอารมณ์น่าพอใจ อยากได้
แต่ถ้าอารมณ์นั้นเป็นอนิฏฐารมณ์ คือสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์อันไม่น่าพอใจ
ก็จะทำให้อารมณ์นั้นไม่น่าพอใจตามไปด้วย อยากไปให้พ้นจากอารมณ์นั้นอารมณ์จึงเป็นขั้นของเวทนาคือความรู้สึกนี่เอง
นี่เป็นอารมณ์ปกติธรรมดา ยังไม่แสดงอาการแห่งอารมณ์ในระดับที่เข้มข้นขึ้น
การพัฒนาความคิด
ก่อนที่จะรู้จักวิธีบริหารอารมณ์ก็ต้องรู้เงื่อนต้นของอารมณ์ก่อน
ตามหลักการพัฒนาบุคคลในปัจจุบัน มีการจัดระดับของการพัฒนาอารมณ์ไว้เป็นลำดับที่สอง
ได้แก่ การพัฒนาจิต (Mental
Development) พัฒนาอารมณ์ (Emotional Development) พัฒนาสังคม (Social Development) และพัฒนาปัญญา (Intellectual
Development)ตามหลักการนี้ผู้จะพัฒนาอารมณ์ก็ต้องพัฒนาระดับจิตหรือความคิดก่อน
การพัฒนาจิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการพัฒนาจิตในระดับ Consciousnessหรือที่เรียกว่าฝึกจิตภาวนาที่ใช้กันตามหลักพระพุทธศาสนาแต่เป็นการพัฒนาจิตที่เป็น
Thoughtfulness คือการพัฒนาความคิดให้มีความคิดที่ดี
คิดในเชิงบวก (Positive Thinking) เท่านั้นความคิดเชิงบวกเป็นความคิดที่มีวิธีหลากหลาย
หนึ่งในวิธีที่ใช้กันมากก็คือ การคิดหาโอกาส การคิดแบบเปรียบเทียบจุดเด่น จุดด้อย
แต่ในที่นี้ต้องการให้รู้จักพัฒนาความคิดตามความเข้าใจกระบวนทัศน์ (Paradigm)
การรู้จักพัฒนาความคิดนี้ให้ไปถึงระดับที่ ๕ แล้ว
การพัฒนาอารมณ์ก็จะง่ายขึ้น
ความคิด ๕ ระดับ คือ
๑. ความคิดระดับความลึกลับ
(Myth)
๒. ความคิดระดับศรัทธา
(Faith)
๓. ความคิดระดับทฤษฎี (Bible)
๔. ความคิดระดับเหตุผลพิสูจน์ได้ (Science)
๕. ความคิดระดับเข้าใจ (Understanding)
การพัฒนาความคิดต้องมาถึงระดับความเข้าใจจึงทำให้การพัฒนาอารมณ์ได้ผล
เพราะอารมณ์เป็นระดับที่อยู่ต่อเนื่องจากความคิดนี้ ถ้าหากไม่มาถึงระดับที่ ๕
นี้จะก่อให้เกิดอันตรายขึ้น
อันเนื่องมาจากการยึดมั่นในความคิดของตนความคิดในระดับที่ ๑ ถึงที่ ๔ นี้
เป็นความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นซึ่งทำให้มีนำไปสู่การทำลายกัน ส่วนความคิดในระดับที่
๕ นั้นไม่นำไปสู่การทำลายกัน ดังแสดงตามแผนผังนี้
ความคิดระดับ๑-๔
|
|
ยึดมั่นถือมั่น
|
การแบ่งแยก
|
การแบ่งแยก
|
การแข่งขัน
|
การแข่งขัน
|
การไม่ไว้วางใจกัน
|
การไม่ไว้วางใจกัน
|
การทำลายกัน
|
การทำลายกัน
|
ความไม่สงบในสังคม
|
ความคิดระดับ๕
|
|
ไม่ยึดมั่นถือมั่น
|
การแบ่งหน้าที่
|
การแบ่งหน้าที่
|
การส่งเสริมกัน
|
การส่งเสริมกัน
|
การไว้วางใจกัน
|
การไว้วางใจกัน
|
การร่วมมือกัน
|
การร่วมมือกัน
|
สันติภาพ
|
การบริหารหรือพัฒนาอารมณ์
เมื่อพัฒนาจิตไปถึงระดับที่ ๕
แล้วก็สามารถพัฒนาอารมณ์ได้โดยง่าย เพราะความคิดระดับที่ ๕
นั้นส่งเสริมให้อารมณ์เป็นไปในทิศทางบวก (Positive Thinking)การฝึกบริหารอารมณ์หรือการพัฒนาอารมณ์ตามความเข้าใจที่ใช้กันทั่วไป
หมายถึง การรู้จักเก็บอารมณ์ ข่มอารมณ์ การควบคุมอารมณ์
การระงับอารมณ์โดยเฉพาะอารมณ์รัก โลภโกรธ หลง เช่น การฝึกระงับความโกรธ ข่มอารมณ์ทางเพศปล่อยวางอารมณ์หงุดหงิด
การฝึกตามแนวทางนี้นั้นเป็นเพียงแค่การใช้ยาระงับอาการเท่านั้น
พอยาหมดฤทธิ์อารมณ์ก็มาดั่งเดิม หรือหนักกว่าเดิม อารมณ์เหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน
อารมณ์ยังคงอยู่ภายใน ยังคงก่อตัวเป็นภูเขาไฟรอวันประทุอยู่ภายในนอกจากนั้นการข่มอารมณ์เช่นนี้มีผลข้างเคียงอีกด้วย
เพราะจะทำให้อารมณ์ที่ข่มไว้นั้นไหลไปสู่การปลดปล่อยช่องทางอื่นจะเห็นว่า
คนที่เก็บกดทางเพศจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวแทน หรือไม่ก็เงียบขรึมแทนหรือไม่ก็ชอบระบายกับผู้อื่น
การบริหารอารมณ์ที่ถูกต้อง ก็คือ
การฝึกเป็นนักสังเกตที่ดี เป็นนักเฝ้าดูที่ดีเท่านั้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
๑. เฝ้าดูการเกิดขึ้นของอารมณ์
๒. รับรู้ถึงอาการของอารมณ์
๓. รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงอารมณ์
๔. การสังเกตอารมณ์ลักษณะอารมณ์
๕. ดูอารมณ์อย่างเดียวไม่ตัดสินใดๆ
ทั้งสิ้น
การฝึกเรียนรู้อารมณ์ เฝ้าสังเกตอารมณ์
เป็นนักเฝ้าดูที่ดีเพียงอย่างเดียว ยิ่งอารมณ์ใดเกิดขึ้นรุนแรง ก็จะยิ่งเห็นอารมณ์นั้นชัดเจน
ถือว่าเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต
ในชีวิตใครคนหนึ่งจะมีเรื่องหรือมีโอกาสที่จะมีอารมณ์รุนแรงเกิดขึ้นไม่กี่ครั้ง
ให้ใช้โอกาสนั้นฝึกฝน อย่าปล่อยโอกาสหลุดไปเป็นอันขาด เมื่อฝึกเฝ้าดู สังเกต
เรียนรู้อารมณ์ได้ไวเท่าใด สติที่เฝ้ามองก็เจริญยิ่งขึ้นมากเท่านั้น นี่เป็นการบริหารอารมณ์ที่ยั่งยืน
เป็นการพัฒนาอารมณ์แบบผ่าตัด ระดับเปลี่ยนแปลงโมเลกุลทางอารมณ์เลยทีเดียว
การสลายอารมณ์
หลังจากที่เป็นนักเฝ้าดูที่ดีแล้ว
รับรู้ เห็น และเข้าใจอารมณ์แล้ว ยังไม่หมดขั้นตอนเท่านั้น
จะต้องเข้าใจวิธีการสลายอารมณ์ด้วย อารมณ์นั้นเป็นกระบวนการทางจิตที่ลึกมาก
ถ้าหากไม่มีวิธีสลายก็อาจถูกอารมณ์หวนกลับมาเล่นงานอีกเช่นเคย ดูได้จากบางคนเป็นคนใจเย็น
เป็นคนรักษาอารมณ์ได้ดี ที่ทำได้เช่นนั้นก็เพราะไม่เคยได้รับการกระทบอารมณ์ที่รุนแรง
มักจะเข้าใจตนเองว่า ตนเองมีอารมณ์ไม่หวั่นไหว รู้ทันได้ แต่เมื่อใดถูกอารมณ์กระทบแรงๆ
จึงจะรู้ว่า สติที่มีอยู่นั้นไม่เจริญพอที่จะทันกับอารมณ์ที่เกิดและไม่สามารถสลายอารมณ์ให้กลายเป็นเพียงอาการไปได้
เพราะเมื่อใดยังไม่สลายอารมณ์ เคมีของอารมณ์ที่เป็นพลัง ๓ ประการ ได้แก่
พลังความอยากได้ พลังความอยากมี พลังความอยากเป็น และพลังความไม่อยากได้ ไม่อยากมี
ไม่อยากเป็น
(กามตัณหาภวตัณหาและวิภวตัณหา) ก็ยังคงครุกรุ่นอยู่ภายใน
เป็นเหมือนภูเขาไฟที่เย็นแล้ว แต่ไม่ได้หมายถึงจะไม่ประทุอีก
เมื่อตรวจสอบดูระดับของอารมณ์ตามมิติทั้ง
๔ แล้ว อารมณ์อยู่ในลำดับที่ ๓ ได้แก่
๑.
ระดับกายภาพ (Body)
๒.
ระดับจิตภาพ (Mind)
๓.
ระดับอารมณ์ (Heart)
๔.
ระดับสภาวธรรม (Soul)
สรุป
อารมณ์เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากสำหรับคนทุกคน
โดยเฉพาะผู้ที่ทำงาน
การทำงานถ้าหากไม่รู้จักบริหารอารมณ์จะทำให้ชีวิตนี้เกิดปัญหาขึ้นได้ แน่นอนแม้ว่าจะไม่สามารถสลายอารมณ์ในระดับปรับเปลี่ยน
DNA
เพียงแค่พัฒนาจิตเข้าถึงระดับที่ ๕ ก็นับว่ามาได้ไกลแล้ว
แต่ถ้าผู้ใดรู้จักบริหารอารมณ์ที่ถูกต้องได้อีกก็เชื่อได้ว่า ไม่เพียงแต่ทำงานได้อย่างมีความสุขเท่านั้น
ชีวิตนี้เข้าถึงเป้าหมายที่สูงสุดแล้วเป็นความสุขสูงสุดในชีวิตที่ไม่กลับกลายมาเป็นความทุกข์อีกด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)