วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

ภาพพักสายตา


แอ๊คยังกะมืออาชีพแนะ














จังซี่มันมันต้องโชว์



ทุ่งมัสตาสใครจำได้บ้าง?



กะเรียนริมทาง


ไม่รู้เป็นคู่แฝดหรือเปล่า?







ทานตะวันข้างบ้าน







วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ปรัชญาการศึกษาโลกาภิวัฒน์





ดร.สุวิญ รักสัตย์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย


“โลภาภิวัฒน์” คือ อะไร การศึกษาที่เหมาะสมกับโลกแห่งความอภิวัฒน์นั้นควรเป็นอย่างไร เราควรทำความเข้าใจในคำทั้งสองนี้ให้กระจ่างชัดเพื่อที่จะได้ตั้งหลักให้ถูกต้อง จะได้ไม่หลงทางและเป็นการศึกษาที่ยั่งยืน เพื่อประโยชน์สุขอันยั่งยืน ฉบับก่อนเราได้แสดงให้เห็นถึงความผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปของการศึกษา ความบิดเบี้ยวนี้เกิดจากความไม่สมดุลของการเน้นไปข้างใดข้างหนึ่งทำให้เกิดความไม่สมดุล หากเน้นไปทางกาย ก็จะกลายเป็นบริโภคนิยม (Consumerism) คือ ถือทุกสิ่งเป็นเพียงสิ่งที่ต้องบริโภคเพื่อสนองเนื้อหนังมังสา สนองผัสสะทั้งห้า แม้แต่มนุษย์ด้วยกันเองก็กลายเป็นเพียงสิ่งสนองเท่านั้นไม่มีความหมายมากไปกว่านั้น แต่หากเน้นไปทางจิต (Idealism) ก็จะทำให้ละเลยความสำคัญทางกาย ถือเรื่องของกายเป็นเรื่องหยาบช้า ต่ำ เกิดการเหยียดหยาม ถือการสนองจิตวิญญาณเป็นเรื่องใหญ่ สิ่งสนองจิตวิญญาณก็คือ ทิฏฐิที่หยาบ แข็งกระด้าง นำไปสู่การล้มล้าง

“ความสมดุล” จึงกลายมาเป็นปรัชญาที่เหมาะกับโลกาภิวัฒน์ (Globalization Flow) แต่ความสมดุลมิใช่เรื่องที่จะปฏิบัติได้ง่าย เพราะมีองค์ประกอบจำนวนมากที่จะต้องรอบรู้ จึงกลายเป็นว่า การจะเข้าถึงปรัชญาความสมดุล (Middlelogy) ได้ต้องอาศัยเครื่องมือเพียงหนึ่งเดียวคือ ความรอบรู้ อันเกิดจากการพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) อันเป็นผลมาจากสัมมาปัญญา (Right Wisdom)

ความรอบด้านของทุกเรื่องโดยมากก็สรุปรวมอยู่ ๔ มิติ ได้แก่
๑. มิติมืด (Negative Dimension)
๒. มิติสว่าง (Positive Dimension)
๓. มิติเกือบมืด (Trend Negative Dimension)
๔. มิติเกือบสว่าง (Trend Positive Dimension)

ทุกเรื่องราวล้วนอยู่ในมิติทั้ง ๔ นี้ เมื่อจะมองอะไรก็ขอให้พิจารณาว่า สิ่งนั้นมีมิติใดและกำลังโน้มเอียงไปสู่มิติใด หลักการที่สามารถนำมาประกอบการพิจารณาในความโน้มเอียงนี้มีหลักดังนี้ การปฏิบัติหรือการคิดหรือสิ่งใดนำไปสู่ความไม่ลุ่มหลง ไม่มัวเมา ไม่ผูกมัด ไม่ละโมบ ไม่หยิ่งผยอง รู้จักเพียงพอ รู้จักประมาณ เพิ่มฉันทะ มีอิสระ ให้ถือว่า เป็นมิติสว่าง ให้ดำเนินการต่อไป สิ่งใดตรงกันข้ามคือ มิติมืด ให้ลด ละ เลิก หากทำได้ไม่ครบก็ค่อนข้างสว่าง และค่อนข้างมืด

ปรัชญาการศึกษาที่เหมาะสมกับโลกยุคโลกาภิวัตน์ต้องคำนึงถึงจุดสมดุลให้มาก และพยายามใช้วิจารณญาณให้มาก โลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นยุคที่มีความไวสูง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างภูมิคุ้มกันโดยการฉีดวัคซีน PHC (Proper Hermeneutic Contemplation) ได้แก่ การพิจารณาแยกแยะโดยแยบคายให้ทราบระดับมิติและจุดมุ่งหมายในข้อความ โดยตรวจทานกับหลักการที่นำไปสู่มิติดังกล่าวแล้ว เลือกปฏิบัติ หาทฤษฎีเสริมสร้างในมิติที่พึงประสงค์

ปรัชญาแห่งความสมดุลนี้ เป็นปรัชญาที่เหมาะสำหรับโลกยุคใหม่ และอยากจะบอกต่อไปว่า ความสมดุล มีถ้อยคำเรียกที่เหมือนกันอยู่หลายคำ ได้แก่ สายกลาง พอเพียง เหมาะสม พอดี ได้สัดส่วน พอประมาณ เป็นต้น หวังว่า ผู้ที่มีส่วนในการขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศจะร่วมกันผลักดันปรัชญาการศึกษาแนวนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ และเข้มแข็ง ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คนในประเทศเข้มแข็งอย่างมีทิศทางเท่านั้น แต่ยังเป็นการศึกษาที่ตั้งอยู่บนปัญญาสากล (Universal Knowledge Based Education) เพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้การศึกษาไทยอยู่รอด และโลกก็อยู่รอด



(อ่านในหนังสือพิมพ์เพื่อนครู)

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องสั้น เถระยุคสุดท้าย


มีแต่ต้องยอมรับจังจะทำให้ใจสงบลง
แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างสนิทใจ
คำ..ยอมรับ..
ที่ทำไดโดยไม่เสียน้ำตาเล่า!”
ขึ้นสิบค่ำเดือนสิบ
ดินแดนสารขันธ์กลายเป็นที่รู้จักกันทั่วเพราะมีสถานเริงรมย์ เหลาสุรา
โรงเตี๊ยมและนารี ผู้คนต่างพากันใฝ่ฝันอยากจะได้มาแวะชมสักครั้ง
แต่ผู้คนอดตั้งคำถามในใจตนไม่ได้ว่า
เหลาสุรานารีใยอยู่ใกล้อารามภิกษุยิ่งนัก
ป้ายอารามหมองมัว
แผ่นชื่อเหลาสุราสะดุดตา
น่าอาดูรต่อวิญญูชนอย่างยิ่ง
เสียงดนตรีประโคมดังผ่านช่องหน้าต่างเข้าสู่อารามในยามราตรี
สตรีสูงวัยสองนางกำลังทำความสะอาดเก็บเก้าอี้และโต๊ะอย่างเงียบๆ คล้ายไม่สนใจใยดีต่อเรื่องราวใดๆ
พลันประตูอารามเปิดออก สตรีชราสองนาง เงยหน้ามองว่าเป็นผู้ใด ใช่ว่านางไม่เคยเห็นผู้คนเข้าประตูนี้มา แต่มาเวลานี้นางก็อดดูไม่ได้


[[[[[



หนทางแผ่นศิลาเรียบสายหนึ่ง
สองข้างทางมีร้านค้าแบละเหลารุราเรียงเป็นแนวยาวดูเป็นระเบีรยบ
ผู้คนกำลังเดินไปบนเส้นทางที่มุ่งไปสู่ตึกหลังใหญ่หลังหนึ่ง
เอ้งฮวง เป็นภิกษุหนึ่งท่านหนึ่งที่เข้าไปสู่ห้องบรรยายธรรมที่ตึกใหญ่หลังนั้น
ตัวห้องปูพรมหสีแดงงดงาม บนโต้ะมีเครื่องรับภาพอันทันสมัยทุกตัว
ท่านยังใหม่ในธรรมวินัย นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งพร้อมกับดึงสมุดบันทึกขึ้นมาไว้บนตัก

สตรีนางหนึ่งเดินผ่านไป
กลิ่นน้ำหอมมีราคาปะทะจมูกจนทำให้มันต้องยกมือขึ้นลูกจมูกพร้อมกับเหลือมองด้วยหางตาแวบหนึ่ง
ชุดสีเท่าที่นางสวมใส่เป็นชุดที่ทันสมัยยิ่ง
ในยุคนี้ ตุ้มหูมุกส่องประกายจากติ่งหูทั้งสองข้างของนาง
ทรงผมสั้นเพียงบ่าคล้ายทรงผมสตรีแดนอาทิตย์อุทัย กระโปรงสีครีม่ยามคลุมมาถึงข้อเท้า รองเรท้สีน้ำตาลอ่อนที่รองรับเท้าที่เล็กเรียวดูปราดเปรียว
มันอดนึกชมนางในใจไม่ได้ว่า สตรีนางนี้ดูสง่างามภาคภูมิ
สองมือนางหอบหนังสือชุดหนึ่งแนบอกเดินผ่านไปเบื้องหน้า

ความสง่างามของบุคคลดูได้จากพฤติกรรม
ความสง่างามเกิดจากความเพียร
ความสง่างามเกิดจากความสุขุมคัมภีรภาพ
สง่างามด้วยอาการสงบ
สมาธิเป็นการรวมพลังความสง่างามให้แผ่ซ่านไป…

ในขณะที่มันกำลังปล่อยจิตให้คิดอย่างเป็นอิสระนั้น เอ้งฮวงต้องตกใจเมื่อมันได้ยินเสียงหนึ่งทักขึ้น
เป็นเสียงชายผู้มีอายุท่านหนึ่งยืนอยู่ข้างมันเมื่อไรไม่ทราบ
“ขอโทษ ข้ามารบกวนท่านหรือไม่?”
“หามิได้” มันผายมือไปยังม้านั่งที่ว่าง
“เชิญท่านอาวุโส”
“ข้ามิเคยพบเจ้ามาก่อน มิทราบมาแต่ที่ใด” อาวุโสท่านนั้นถามพร้อมกับแนะนำตนเอง
“ข้าแซ่ลี้ นางเอียงกอ”
“ข้ามาจากลุ่มอิรวดี” เอ้งฮวงตอบตามมารยาทสังคม “ข้าแซ่ซือ นามเอ้งฮวง”
“ท่านมาด้วยธุระใด?”
“ข้าเพียงต้องการทราบข่าวพระเถระท่านหนึ่งที่อยู่ ณ อารามแห่งนี้”
“ท่านรู้จักหรือ?”
“หามิได้”
“หากเจอแล้วจะรู้จักหรือ?”
“หากท่านพระเถระต้องการปกปิด ไหนเลยจะทราบได้”
“ถ้าเช่นนั้นหวังว่า ท่านจะได้พบในเร็ววัน” ผู้อาวุโสแซ่ลี้ให้ความหวัง นัยตาเป็นประกายวูบหนึ่ง
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”

ไม่ว่าผู้ใด ในชีวิตหนึ่งย่องต้องพบกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปรกระทันหันมากมาย
เหตุการณ์เหล่านั้นมีทั้งน่ายินดีและทั้งเลวร้าย มีทั้งน่าปีติหรรษา
มีบ้างที่น้างความท้อแท้รันทดแก่ผู้คน
กระนั้นผู้คนก็ยากยิ่งจะบังคับให้ทุกสิ่งเป็นไปดังที่ผู้คนคาดหวัง
ทุกคนต่างมีปมของตนที่แก้ไม่ตกและไม่อาจแพร่งพราย

ผู้อาวุโสเดินจากไปด้วยท่าทางเฉื่อยชา คล้ายเบื่อหน่ายต่อชีวิตอย่างยิ่ง
เอ้งฮวงลอบคิดในใจ ผู้อาวุโสท่านนี้มาหลายส่วนน่าเลื่อมใส



(อ่านต่อในรวมเรื่องสั้น ปุ๊ซินเนี่ยน)

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ฤาจะถึงกาล












โอ…เชี๊ยะเทียนใบไม้ร่วงโรย
อาดูรนัก ยืนดูเดียวดาย
หล่นเกลื่อนกล่นยากยิ่งทัดทาน
เฉกเช่นชะตากรรมมนุษย์เมื่อถึงกาล
ฤา…
ผู้ใดเล่าห้ามได้!!



ฟาเหวินยืนบนเนินหินรำพึงพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่

เชี๊ยะเทียนปีนี้ดูหม่นหมองกว่าทุกปี ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉาแห้งเกรียม



เปลวแดดต้นเชี๊ยะเทียนกระทบกายร้อนผะผ่าว

ในบางครั้งความร้อนนี้ยังน้อยกว่าความร้อนที่เกิดมาจากจิตใจของผู้คน

ลมพัดใบปังแห้งปลิวตกใกล้เท้าฟาเหวิน ดูเหมือนยิ่งทำให้จิตใจมันสลดหดหู่ยิ่งกว่าเดิม

จริงอยู่อีกไม่นานสถานที่แห่งนี้ก็จะเขียวชะอุ่มเช่นเดิม สองข้างทางจะสดเขียวไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า เหล่าผีเสื้อหมู่แมลงก็จะบินโฉบเฉี่ยวล้อเล่นดอมดมเหล่าพฤกษา สรรพสิ่งกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

แต่มีบางสิ่งบางเรื่องราว ก็ไม่อาจกลับคืนมาเหมือนเดิมเช่นกัน…ดุจดังผมที่หงอกขาว ไหนเลยจะกลายมาดำขลับได้อีกเล่า

ตอนนี้เป็นต้นฤดูกาล สภาพเช่นนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร จะต้องรออีกนานเพียงไหน?!

เด็กเลี้ยงวัวกลุ่มหนึ่งวิ่งต้อนวัวไปตามท้องทุ่งอันแห้งแล้ง เหลือแต่ตอข้าวที่ถูกแดดแผดเผาทุกวัน ฝูงวัวเล็มตอข้าว พวกเด็กวิ่งหลบเข้าร่มไม้ริมทุ่ง

ฟาเหวินยืนมองธรรมชาติไปทำให้จิตใจพลอยคลายความกลัดกลุ้มไปบ้าง

ในขณะที่มันลังเลไม่รู้จะตัดสินใจเช่นไรและก็ไม่รู้จะกระทำประการใด มันพลันพบว่า มีสตรีนางหนึ่งกำลังมองดูตัวมันและกำลังเดินมา ณ ที่ ๆ มันยืนอยู่

นางคือ เวียวมู่หลา (วิมลา) สตรีน้อยสาวแรกรุ่นนางหนึ่ง เป็นสตรีนางเดียวที่มันถือว่าเป็นเพื่อนในช่วงที่มันอยู่ที่นี่ห้าเดือน

นางคือสตรีชาวบ้านที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ทั้งมิใช่เสื้อผ้าที่ตัดมาจากร้านที่มีชื่อเสียงทั้งมิใช่ผ้าที่มาจากแคว้นกาสี เพียงแต่นางสวมใส่ชุดใดก็เหมาะสมกับนาง เนื่องเพราะความสมส่วนแห่งความเป็นสตรีอันสมบูรณ์เต็มที่ถูกปกปิดไว้ภายในแล้ว ผมที่ปล่อยยาวสลวยดำขลับสะท้อนกับแสงอาทิตย์บางครั้ง นางมีดวงตาที่บริสุทธิ์คู่หนึ่ง แววตานั้นลึกซึ้งไร้มารยาที่มากมายแอบแฝง

ลมร้อนปะทะผ้าคลุมไหล่นางปลิวพริ้วไป

“ข้ามองท่านอยู่เนิ่นนาน” นางกล่าวด้วยสีหน้าวิตก “ดูเหมือนท่านจะมีเรื่องยุ่งยากใจใช่หรือไม่”

“ข้าคงไม่ได้มายืนมองทุ่งนาแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว” ฟาเหวินไม่กล้าที่จะสบตานางเอ่ยคำ “ท่านคุรุสัมภาดรให้ข้ากลับจุงโกวภายในห้าวัน” มันเพียงนึกคำเหล่านี้หาได้กล่าวออกไปไม่

นี่เป็นครั้งที่สามที่มันพบนาง และเป็นเดือนที่ห้าที่มันมาจากดินแดนของตนมา จากพ่อแม่และน้องสาว

ฟูเลียนต้า (นาลันทา) เป็นสถานที่ๆ เต็มไปด้วยสรรพวิชา เป็นสถานที่ใฝ่ฝันของผู้คนมากมายที่อยากจะศึกษาและสร้างชื่อเสียงที่นี่ แต่ช่างน่าเสียดายฟาเหวินมาในยามที่ฟูเลียนต้า กำลังประสบชะตากรรม

“หามิได้…เพียงแต่” มันพยายามที่จะเลี่ยงคำตอบของนาง

“ข้าพอทราบมาบ้าง และเข้าใจท่าน” นางชิงเอ่ยขึ้น ก่อนที่รอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าของนางจะจางหายไป “ผู้คนภายในหมู่บ้านพากันพูดถึงชะตากรรมของฟูเลียนต้า พวกเขาบอกว่ายากที่จะต้านทานได้ ก็ที่ฟูสี่ต้ามีการป้องกันอย่างเข้มแข็งเพียงไรยังคงถูกทำลายไปแล้ว”

“ข้าคิดจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นป้องกันที่นี่” มันกำมือตนเองแน่นพลางกล่าวขึ้น

“ความคิดของท่านไม่ผิด” นางถอนหายใจกล่าว “เมื่อคราถึงกาลแล้วมีผู้ใดเล่าห้ามได้ ?!”



ดวงอาทิตย์เมื่อขึ้นสูงสุดแล้ว

มีผู้ใดห้ามมิให้อาทิตย์ตกได้

ที่สำคัญหาได้อยู่ที่การหายไปของดวงอาทิตย์ในยามค่ำคืน

หากแต่อยู่ที่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในยามไร้แสงอาทิตย์ได้



“ข้าจะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือไร ?” ฟาเหวินมองดูนางตรงๆ สายตามันประสานกับดวงตาที่ใสบริสุทธิ์คู่นั้น “ในเมื่อผู้อื่นขอต่อสู้อยู่ที่นี่”

“ท่านทราบหรือไม่ที่ฟูสี่เลี่ยวต้า มีผู้เสียชีวิตไปเท่าไร”

“สิบหมื่นกว่าชีวิต”

“มีผู้ใดตำหนิผู้มีชีวิตรอดบ้าง?!”

“??!…….”

“ท่านไปจุงโกวเถิด ท่านยังมีสิ่งที่จะกระทำเพื่อชีวิตของท่านอยู่มาก”

“แล้วเจ้าละ…?” ฟาเหวินถามคำนี้ออกไปจริงๆ หรือนี่คือเรื่องหนึ่งที่มันหนักใจ

วู่มู่เหลียวใจหายกับคำถามนั้น นางบอกไม่ได้กับความรู้สึกของตน

ความรู้สึกของบุรุษสตรีที่เริ่มจะมีความรักมักมีความรู้สึกเช่นนี้

“ข้าอยู่ที่นี่ได้พบกับท่านนับเป็นวาสนาแล้ว” วาจานี้ใช่เป็นวาจาที่นางต้องการเอ่ยออกมาหรือไม่

“เจ้าไปจุงโกวกับข้าเถอะ” ประโยคนี้เป็นเพียงสิ่งที่มันคิดจะกล่าว “ข้าเองก็เช่นกันนับว่าเป็นวาสนายิ่งที่ได้พบเจ้า” มันกล่าวประโยคนี้ออกไป



(อ่านในเรื่องสั้น ปุ๊ซินเนี่ยน)