วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555




โศลกที่สามสิบห้า "บูรณาการแห่งธรรม"

ในอานาปานสติทั้งสี่มิติ
เข้าถึงลมหายใจขั้นที่สาม-สี่
เข้าถึงความรู้สึกขั้นที่สาม-สี่
เข้าถึงจิตสภาวะขั้นที่สาม-สี่
เป็นความสงบเย็นกายสังขาร
เป็นความสงบเย็นจิตสังขาร
เป็นการทำจิตสภาวะให้ตั้งมั่น
ก็ถึงช่วงเวลาเดินวิปัสสนา
ใช้ธรรมสี่มิติเข้าบูรณาการ
สติย่อมมีพลังในการเดินวิปัสสนา
เห็นแจ้งอนิจจตาในกายเวทนาจิต
คลายความหลงใหลในกายเวทนาจิต
สิ้นความยึดมั่นกายเวทนาและจิต
ปล่อยวางกาย เวทนา และจิตไปตามธรรมชาติ
นี่เป็นแนวทางเจริญภาวนาบำเพ็ญสมณธรรม
นี่เป็นบูรณาการแห่งธรรมในอานาปานสติ





“บูรณาการ” คำๆ นี้กำลังได้รับการความสนใจในหลายๆ วงการ โดยเฉพาะวงการศึกษาได้ใช้คำนี้มาสักระยะหนึ่งแล้วและความเห่อนั้นกำลังจะหายไป แต่ไม่ว่าจะหายไปหรือไม่อย่างไร บูรณาการก็เป็นวิธีการที่เหมาะสมกับทุกศาสตร์ ศัพท์ว่า บูรณาการ (integration) คือ การทำให้สมบูรณ์ กล่าวให้ชัดคือ การนำองค์ประกอบหนึ่งไปรวมกับองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ หรือการมองทั้งระบบที่โยงใยสัมพัทธ์และสัมพันธ์กันแล้วจัดการให้สมบูรณ์ ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดตามเป้าหมาย ไม่ได้หมายถึงนำหนึ่งบวกสอง บวกสาม แต่อาจหมายถึงหนึ่งบวกสี่ สองบวกสามหรือกระทำอื่นใดก็ได้ในระบบนั้นเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ เพียงแต่ต้องเป็นไปอย่างมีระบบ ไม่ใช่ทำอย่างสะเปะสะปะ ความสมบูรณ์ที่เป็นบูรณาการนั้นมีปรากฏอยู่แล้วเพียงแต่ไม่ได้นำมาศึกษา เช่น บูรณาการของอาหาร บูรณาการของวงดนตรี การบูรณาการของยา การบูรณาการของไอแพท-ไอโฟน เป็นต้น ระบบต่างๆ ที่กำหนดไว้สามารถเชื่อมโยงกันทุกจุดขององค์ประกอบเพื่อประมวลผลออกมาอย่างสมบูรณ์



การบูรณาการนั้นมีความสำคัญอยู่ที่การเข้าใจหน้าที่ของตนๆ ยกตัวอย่างเรื่องดนตรี ดนตรีตัวไหนเป็นตัวนำจังหวะ ตัวไหนเป็นตัวทำนอง ตัวไหนเป็นตัวเคล้าตัวโน๊ต การทำหน้าที่ของแต่ละดนตรีนั้นผู้ทำดนตรีต้องทราบว่า จะให้ทำหน้าที่ตอนไหน เครื่องดนตรีตัวไหนเล่นกับตัวไหน ตัวไหนหยุดในขณะไหน ตอนไหนเล่นร่วมกันทั้งหมด ทุกอย่างมีระบบเพื่อความไพเราะของดนตรี มีทั้งเล่นเอง เล่นกับพวก มีทั้งหยุด มีทั้งส่ง มีทั้งรับ เป็นต้น



ระบบบูรณาการที่สุดมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบบูรณาการของร่างกายนี่เอง จะเห็นได้จากการทำงานของอวัยวะแต่ละส่วนนั้นทำงานประสานกันได้อย่างเป็นระบบ เรียกว่าบูรณาการกันอย่างลงตัว หากมีส่วนไหนบกพร่องก็จะเกิดอาการติดขัดทันที ที่เรียกว่า “ป่วย” “ไม่สบาย” เป็นการฟ้องว่า มีอวัยวะบางชิ้นส่วนไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ทำงานไม่สมบูรณ์ หรือทำงานบกพร่อง ต้องได้รับการดูแล ต้องได้รับการซ่อมแซมบำรุงให้เป็นปกติ ระบบกายก็มีองค์ประกอบของกาย ระบบจิตก็มีองค์ประกอบของจิต เมื่อพิจารณาการบูรณาการของทั้ง ๒ ระบบนี้ภายใต้ระบบใหญ่ที่เรียกว่า “ระบบสากล”(Holistic System)






กายตกอยู่ภายใต้กฎอุตุ (Physical Law) และพีชะนิยาม (Bio-Physical Law) จิตตกอยู่ภายใต้กฎจิต (Psychic Law) และกรรมนิยาม (Karmic Law) แต่ทั้งกายและจิตนั้นตกอยู่ภายใต้กฎธรรมนิยาม (Universal Law) นิยามทั้ง ๕ นั้นก็ทำงานสัมพัทธ์กันเป็นบูรณาการผลักดันให้ขันธ์นี้ดำเนินไป หมุนวนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าหากไม่รู้จักวิธีดับกระแสระบบนี้ ก็ไม่มีทางเลยที่จะหยุดยั้งการหมุนวนแห่งขันธ์นี้ได้ ความเป็นระบบเป็นสิ่งที่วิเศษ ถ้าเข้าใจระบบการทำงานของแต่ละส่วนได้ ก็จะสามารถเข้าไปจัดการกับระบบนั้นได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะทำให้ระบบทำงานดีขึ้นหรือทำให้ระบบหยุดทำงานลง แต่ถ้าหากไม่เข้าใจระบบ การกระทำต่อระบบก็จะผิดพลาด แทนที่จะทำให้ระบบเดินไปด้วยดี แต่กลับแทรกแซงและทำลายระบบอย่างไม่ถูกวิธี ด้วยคิดว่า จะหยุดยั้งระบบนั้นได้ ผลก็คือกลับยิ่งทำให้ระบบยิ่งหมุนไว ซับซ้อน ยิ่งทำยิ่งห่างไกลจากการหยุดระบบยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับคนผิดหวังแล้วฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็ฆ่าคนที่ทำให้ตนผิดหวัง ด้วยคาดหวังว่าจะหยุดระบบ แต่หารู้ไม่ว่านั่นแหละเป็นการกระทำต่อระบบที่ผิด ระบบจะยิ่งซับซ้อนตามพลังแรงกรรมที่ทำให้ระบบหมุนมากขึ้น


โศลกว่า “ก็ถึงช่วงเวลาเดินวิปัสสนา ใช้ธรรมสี่มิติเข้าบูรณาการ”


ก่อนอื่นให้ทราบระบบของกายและจิตให้สมบูรณ์ก่อน กายเป็นเรื่องของรูป (Material Qualities) ระบบของรูปต้องได้รับสารอาหารหล่อเลี้ยง ต้องได้รับการดูแลจากดินฟ้าอากาศหรือจากโรคภัยไข้เจ็บที่มีผลต่อรูป รูปซึ่งมีฐานอยู่ ๔ ส่วน ได้แก่




๑. ส่วนประกอบที่เป็นของแข็ง ไม่ว่าจะเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น
๒. ส่วนประกอบที่เป็นของเหลว ไม่ว่าจะเป็น ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ น้ำลาย เป็นต้น
๓. ส่วนประกอบที่เป็นอุณหภูมิ ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ทำให้ร่างกายแก่ชรา ทำให้เป็นไข้ ทำให้อาหารย่อย เป็นต้น
๔. ส่วนประกอบที่เป็นอากาศ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจ ลมในท้อง ลมในไส้ การหาว เรอ ผายลม ลมทั่วร่างที่ทำให้ร่างกายไหวไปมาได้ เป็นต้น




ส่วนประกอบทั้ง ๔ นี้เป็นฐานของกาย ซึ่งต้องได้รับการดูแลให้มีความเป็นปกติ ในแต่ละฐาน ไม่ให้มาก ไม่ให้น้อย ไม่ให้ได้รับความเสียหาย และต้องบำรุงด้วยสารอาหารให้เพื่อให้ส่วนประกอบทั้ง ๔ นี้ ทำงานไปได้ตามปกติ นอกจากนั้นฐานของรูปกายทั้ง ๔ นี้ ยังเป็นที่ประกอบของรูปอื่นๆ อีก ๒๔ ประเภทซึ่งไม่จำเป็นต้องแสดงไว้ในที่นี้


ส่วนของจิต (Psychic Qualities) ส่วนนี้ก็ต้องได้รับการดูแลเช่นเดียวกับทางกาย อันได้แก่ ดูแลช่องทางรับสารอาหารให้ดี ซึ่งมีทางถึง ๓ ทาง ไม่ให้สูญเสียสภาพ ฐานของจิตมี ๒ ฐาน ได้แก่


๑. ส่วนประกอบที่เป็นสภาพของจิตเอง แยกย่อยออกได้ถึง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ลักษณะ แต่รวมแล้วก็คือ สภาพที่รู้อารมณ์ เห็น ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัส รู้สึกนึกคิด
๒. ส่วนส่วนที่ประกอบกับจิตนี้ แยกย่อยออกได้ถึง ๕๒ ลักษณะ แต่รวมแล้วก็คือ ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ รัก โลภ โกรธ หลง เมตตา ดีใจ หดหู่ เบิกบาน เป็นต้น ปรุงแต่งจิตไปเพื่อให้เกิดการกระทำออกมา


ในขณะเดียวกัน จิตนั้นก็มีระบบการทำงานของตนเอง เรียกว่า จิตวิถี หรือระบบการทำงานของจิต ๑๗ ขั้นตอน รวมแล้ว มีขั้นตอนรักษาภพ ขั้นตอนรับรู้อารมณ์ภายใน ภายนอก รับทราบอารมณ์ เสพอารมณ์ และก็ส่งอารมณ์ไปเก็บไว้


การที่กายสัมพันธ์กับการทำงานของจิตอย่างเป็นระบบเช่นนี้จึงต้องย้อนไปดูระบบปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลที่ปรากฏ การนำผลที่ปรากฏนั้นไปทำปฏิกิริยาทางจิตเคมีให้เกิดความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอีกที นี่คือ การศึกษาระบบการทำงานของกายและจิต จุดที่สำคัญในโศลกนี้อยู่ที่ว่า เมื่อทราบขั้นตอนการทำงานของกายและจิตแล้ว ก็ใช้ระบบแห่งกรรม ซึ่งมีกฎอยู่ที่ว่า เหตุ=ผล ใส่อะไรเข้าไป ผลก็ออกมาเช่นนั้น ใส่เข้าไปในไหน ก็ป้อนเข้าไปให้เป็นอาหารของจิต ให้จิตได้เสพสิ่งนั้น


ในที่นี้ก็คือ เมื่อบำเพ็ญเพียรสมณธรรมเจริญสติภาวนา ปัจจัยนำเข้าได้แก่ ลมหายใจ ความรู้สึก สภาวจิต เป็นตัวป้อนเข้าสู่ระบบ ระบบทำงานได้แก่ สติที่พิจารณาเห็นปัจจัยนำเข้าเหล่านี้ตลอดสาย ผลที่เปลี่ยนแปลงก็เกิด ได้แก่ ความเย็นกาย ความเย็นจิต ความตั้งมั่นของจิต การกำหนดจิตให้เสพลมหายใจ ความรู้สึก และสภาวะจิตเอง จนกระทั่งเข้าสู่ระดับที่สาม ที่สี่ ของทุกปัจจัยนำเข้า การหายใจก็จะหายไป เหลือแต่ลมที่เข้าออกระหว่างภายในกับภายนอก ร่างกายก็จะหายไปเหลือแต่ธาตุที่ผสมผสานกันของธาตุทั้ง ๔ ปีติสุขก็หายไป เหลือแต่ความเย็นแห่งจิต สภาวะจิตที่เสพตัวมันเองอยู่หายไป เหลือแต่ความตั้งมั่นและความเป็นจิตสลายไปเหลือแต่ความว่าง ขณะนี้ชื่อว่า ผลปรากฏแล้ว เมื่อนั้นก็ใช้ผลที่ปรากฏนี้เป็นตัวผลักดันให้จิตทำงานโดยมีสติเป็นตัวควบคุมอยู่ตลอด



ในขณะนี้แหละที่เหมาะแก่การต้องใช้ระบบบูรณาการแห่งธรรม ๔ มิติ ให้เหมาะสม คือการบูรณาการความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของกาย เวทนา และจิต (อนิจจตา) บูรณาการความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่ยึดมั่นถือมั่นใน กาย เวทนา จิต และแม้กระทั่งธรรมที่เป็นตัวพิจารณาเอง (วิราคา) บูรณาการการไร้ที่ตั้งแห่งกาย เวทนา และจิต (นิโรธา) และบูรณาการการปล่อยวางไว้อย่างนั้น (ปฏินิสสัคคา) เมื่อบูรณาการธรรมทั้งสี่มิติด้วยสติอันคมกล้า สติอันเข้มแข็ง สติที่เต็มเปี่ยม อินทรีย์ทุกส่วนก็เต็มเปี่ยมแก่กล้ากลายเป็นกำลัง (พละ) ที่สมบูรณ์


โศลกว่า “เห็นแจ้งอนิจจตาในกายเวทนาจิต คลายความหลงใหลในกายเวทนาจิต”


เมื่อบูรณาการธรรมทั้งสี่มิติเข้าไปในกระบวนการเช่นนี้แล้ว เมื่อนั้นย่อมเห็นแจ้งด้วยญาณทัสสนะซึ่งความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปร ความไม่มีแก่นอัตตาในกาย เวทนา และจิต เมื่อเห็นแจ้งเช่นนี้ก็ย่อมเห็นภัยที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในกาย เวทนา และจิตนั้น เมื่อเห็นแจ้งด้วยปัญญาญาณเช่นนี้ก็ย่อมคลายความหลงใหลในกาย เวทนา และจิตนั้นเสียได้ เมื่อคลายออกจนสุด คลายออกจนไม่เหลือ ถอนความยึดมั่นจนหมดสิ้นแล้ว ย่อมเห็นแจ้งด้วยปัญญาซึ่งความดับไม่เหลือของกาย เวทนา และจิตนั้น ปัญญาเกิดแล้ว วิชชาเกิดแล้ว ญาณเกิดแล้ว ความสว่างเกิดแล้ว จากนั้นก็ปล่อยให้สรรพสิ่งเคลื่อนไหวไปอย่างธรรมชาติ ปล่อยวางกาย เวทนา จิต และธรรมไปตามธรรมชาติอยู่เช่นนั้น



พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปัตตนมฤคทายวันว่า


ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา... เวทนาเป็นอนัตตา... สัญญาเป็นอนัตตา... สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้น วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อม ไม่ได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย


(ก็ในเมื่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ...เธอทั้งหลายพึงพิจารณารูป เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา


ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟัง ได้พิจารณาอยู่อย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัดจิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นก็ทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี


การมีสติที่ดิ่งลงในการพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมเช่นนี้ ก็ย่อมเข้าถึงการหลุดพ้นจากสิ่งร้อยรัดทั้งหลาย การบูรณาการแห่งธรรมนี้เป็นสิ่งสูงสุดในการหลุดออกจากวัฏฏะได้


นี่คือ โศลกที่สามสิบห้าแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา



วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ข้ามไปอีกขั้น












โศลกที่สามสิบสี่ "ข้ามไปอีกขั้น"

ความสำเร็จทุกอย่าง
มีจุดเริ่มต้น มีด่านทดสอบ
การบำเพ็ญเพียรสมณธรรมก็เช่นกัน
สิ่งแรกสุดคือ ระยะเวลา
เวลาแห่งการปฏิบัติเป็นด่านทดสอบ
หนึ่งชั่วโมงก็เป็นระยะเวลา
ที่จะพิสูจน์ความสำเร็จขั้นต้น
ผ่านด่านเวทนากล้าก่อน
ผ่านด่านเรียกความฟิตให้ได้ก่อน
ผู้บำเพ็ญเพียรผ่านสองชั่วโมง
จึงทะลุด่านทดสอบแรกไปได้
สาระสำคัญอยู่ที่บำเพ็ญอะไร
ไม่ใช่นั่งแล้วเพื่อให้ได้อะไร
การบำเพ็ญจิตภาวนา
เท่ากับเจริญสติให้มากยิ่งขึ้น
บำเพ็ญสมณธรรมมีเท่านี้




เวลาเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังความฉงนสนเท่ต่อมนุษย์ทั้งหลาย ต่างพากันตั้งคำถามว่า แท้จริงเวลามีอยู่จริงหรือไม่ ถ้ามี แล้วเวลาเป็นอะไร และเวลาจะมีวันหมดไปหรือไม่ นักปราชญ์ราชบัณฑิตต่างพากันแสวงหาคำตอบกันอย่างมาก และก็ได้คำตอบแบบหลากหลาย กล่าวตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน บอกแต่คำนิยามของเวลาว่า "ชั่วขณะความยาวนานที่มีอยู่หรือเป็นอยู่ โดยนิยมกำหนดขึ้นเป็นครู่ คราว วัน เดือน ปี เป็นต้น" ซึ่งก็ไม่ได้บอกอะไรมากเกี่ยวกับตัวเวลา แต่บอกอาการที่เวลาแสดงออก

นักวิทยาศาสตร์อย่างไอน์สไตน์ให้ความคิดเกี่ยวกับเวลาว่า เวลามีความสัมพัทธกับความเร็วแสง หากแสงเดินทางช้าลงก็จะไปดึงเวลาให้เดินเร็วขึ้น เพื่อชดเชยกับความเร็วแสงที่สูญเสียไป ทำให้แสงเดินทางด้วยความเร็วคงที่อยู่ตลอดเวลา โดยปัจจัยที่ทำให้แสงเดินทางช้าลง เช่น แรงโน้มถ่วง กล่าวคือ ในที่ๆ ไม่มีแรงโน้มถ่วงเวลาจะเดินเร็วกว่าในที่ที่มีแรงโน้มถ่วง มุมมองนี้ก็เป็นมุมมองที่แสดงถึงกาลอวกาศ สสาร พลังงานที่ทำหน้าที่แสดงออกมาเป็นลักษณะเวลา แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า เวลาคืออะไรกันแน่ เวลาตั้งอยู่อย่างไร เวลาเป็นสสารหรือพลังงาน หรือเวลาไม่ใช่ทั้งสสารและพลังงาน แต่เป็นอีกมิติหนึ่งที่มนุษย์ยังไม่ทราบ ถ้าหากสามารถหยุดเวลาได้ก็สามารถหยุดสิ่งต่างๆ ได้หรือไม่

ในส่วนของพระพุทธศาสนา เวลาเป็นกฎแห่งไตรลักษณ์ที่เรียกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่ว่าอะไรก็ตามหากเกิดขึ้นก็ตกอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งนั้นจะเรียกว่า เวลาหรือกาล หรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อมีเกิดขึ้น มีดำรงอยู่และก็จะดับไป เวลาก็คือช่วงของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปนั้นเอง การเกิดขึ้นนับจากเวลานั้นไปก็จะกลายเป็นอดีต ขณะที่ดำรงอยู่ก็เป็นปัจจุบัน การจะดับไปในกาลข้างหน้าก็เป็นอนาคต และก็จะหมุนเวียนอย่างนี้ไปไม่มีวันจบสิ้น จึงเรียกว่า “สังสารวัฏ”



พระพุทธศาสนาเมื่อกล่าวถึงเรื่องเวลา ไม่ได้ให้ใส่ใจในความเป็นเวลาว่ามันจะเป็นอะไร ไม่ใช่หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องไปสนใจ ดังนั้นในคำถาม ๑๐ ประการที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ก็บวกเรื่องเวลาไว้แล้ว นั่นคือ สังสารวัฏ (โลก) มีที่สิ้นสุดหรือไม่ หรือว่า โลก (เวลา สังสารวัฏ) ไม่มีที่สิ้นสุด ปัญหาเหล่านี้จัดเป็นอัพยากตปัญหา พระพุทธเจ้าไม่ใช่ไม่แสดงเรื่องนี้ไว้ แต่ไม่ทรงตอบกับใครๆ ที่เข้ามาถามเพื่ออยากรู้

ดุจดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงอุปมาไว้ว่า หากมีชายคนหนึ่งถูกลูกศรยิงเข้าทรวงอก เมื่อมีหมอมารักษา เขากับตั้งคำถามมากมายว่า ลูกศรยิงมาจากทางไหน ทำด้วยอะไร ใครยิง ฯลฯ ถ้ายังไม่รู้คำตอบก็ยังไม่ให้รักษา ชายผู้นี้จัดเป็นคนโง่หรือฉลาด พระพุทธเจ้าทรงเป็นนายแพทย์ผู้รักษาโรคทุกข์ของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนที่ยังไม่หลุดพ้นต่างจมอยู่ในทะเลทุกข์ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงมาช่วย แต่มนุษย์ทั้งหลายพยายามไม่ให้พระองค์ช่วย กลับพากันตั้งคำถามต่างๆ นานา เพราะแม้รู้ไปก็หาได้ช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์ไม่ ก็เพียงแค่ประดับความรู้เท่านั้น ไม่ได้ลดการเกิด ลดกิเลสลงแต่อย่างใด

ท่าทีของพระพุทธศาสนาที่มองเรื่องเวลามี ๒ ลักษณะ คือ เวลาภายนอกและเวลาภายใน เวลาภายนอกนั้นได้แก่ สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่วนมนุษย์และสัตว์ก็ไหลไปตามกรรม หมุนเวียนตามกิเลส รับผลแห่งวิบาก จึงเป็นกิเลส กรรม วิบาก ในส่วนนี้ก็เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งที่มีการเกิดขึ้น ก็ต้องสลายไปตามกาล ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกหรือพิเศษอะไร ส่วนเวลาภายในก็คือความรู้สึกที่มีต่อเวลา หากมีความสุขมากก็อยากให้เวลานั้นอยู่ไปนานๆ หากมีความทุกข์ก็อยากให้เวลานั้นหมดไปเร็วๆ เป็นเรื่องของเวทนา ตัณหาและอุปาทาน คือความรู้สึก ความอยากและความยึด

เมื่อพิจารณาจากมุมมองในพระพุทธศาสนาแล้วก็สามารถเห็นวิธีการหลุดพ้นจากกาลเวลาได้ อยู่เหนือกาลเวลาได้ ไม่จำกัดอยู่ในกาลเวลาได้ ตามทฤษฎีก็คือ หากไม่ต้องเกิดก็ไม่ต้องตั้งอยู่และดับไป หากไม่มีกรรม กิเลส และวิบาก ก็ไม่ต้องหมุนวนอยู่ในวัฏฏะ หากไม่มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ก็ไม่ต้องมีกาลเวลา กาลเวลามีเพราะมีเรา มีที่ตั้งแห่งเรา หากไม่มีเรา ไม่มีที่ตั้งแห่งเรา ก็ไม่มีเวลา ก็ในสังสารวัฏนี้มี ๓๑ ภูมิ หากไม่ตกอยู่ในขอบเขตนี้ก็ไร้กาลเวลา ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าแล้วจะทำอย่างไร นี่คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง นี่คือสิ่งที่พระพุทธศาสนาให้ความใส่ใจ นี่คือคำสอนทั้งหมดของพระพุทธศาสนาเพื่อให้สรรพสัตว์พ้นจากทุกข์ หรือพ้นจากกาลเวลา เพราะกาลเวลาก็คือ ความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปร ก็สิ่งที่ไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ และสิ่งที่เป็นทุกข์นั้นเพราะเป็นอนัตตา

โศลกว่า “เวลาแห่งการปฏิบัติเป็นด่านทดสอบ หนึ่งชั่วโมงก็เป็นระยะเวลา”

การบำเพ็ญสมณธรรม เป็นการสงบเพื่อรอคอยอย่างอดทน เพื่อรอกาลเวลาเบ่งบาน ดุจดังการรอคอยการเบ่งบานของพืชพันธุ์ดอกไม้ที่มีต่อแสงอาทิตย์ หน้าที่ของดอกไม้ก็คือรอคอยด้วยความอดทน สงบอยู่ นิ่งอยู่ ว่างอยู่ ไม่แกว่งไกว สั่นไหว ด่วนบาน หากไม่มีความอดทน การเบ่งบานก็ไม่ปรากฏ ระยะเวลาแห่งการอดทนนั้นเป็นด่านทดสอบการปฏิบัติ คำว่า “ปฏิบัติ” ในที่นี้ก็คือการเจริญภาวนา การเจริญภาวนาก็คือ “การรักษาสติให้ต่อเนื่องตลอด” การทำให้สติเพิ่มพูนขึ้น เมื่อสติเพิ่มพูนขึ้นมากเท่าใด ความแจ่มชัดแห่งปัญญาก็จะเพิ่มพูนตามเมื่อนั้น

ในช่วงนี้เป็นระยะเวลาแห่งการใช้ความเพียร คือความอดทน หากไม่มีความอดทน สติก็ไม่เจริญ ปัญญาก็ไม่ปรากฏ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลาแห่งการเบ่งบาน ดอกไม้ก็ต้องอาศัยเวลาเบ่งบาน การปฏิบัติเจริญภาวนาบำเพ็ญสมณธรรมก็ต้องอาศัยเวลา ไม่อาจคาดคิดด่วนได้เป็นอันขาด เพราะการคาดคิดด่วนได้ทำให้พลาดโอกาสไปทันที หน้าที่ของการปฏิบัติเจริญภาวนาบำเพ็ญสมณธรรมก็คือดำเนินต่อไป ส่วนปัญญาที่จะเบ่งบานนั้นเป็นเรื่องของความเต็มเปี่ยมแห่งอินทรีย์เอง


ความงดงามนั้นต้องอาศัยเวลาของมัน ระยะเวลาระหว่างเมล็ดไปเป็นดอกผลนั้นมีความละเอียดอ่อนมาก มีความซับซ้อนมาก ต้องรู้จักอดทนรอคอย หน้าที่รดน้ำเป็นของเรา หน้าที่ให้ดอกผลเป็นเรื่องของต้นไม้พืชพันธุ์ แต่จุดสำคัญอยู่ที่การรู้จักปลูกเมล็ดพืชพันธุ์ รู้จักรดน้ำให้ถูกเวลา รู้จักการใส่ปุ๋ยพรวนดิน รู้จักกำจัดวัชพืชที่เป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโต รู้จักระยะเวลาที่พืชพันธุ์จะให้ผล รู้จักเก็บเกี่ยวช่วงระยะเวลาที่พืชพันธุ์ให้ผล ไม่ใช่รอคอยอย่างเดียว ไม่ใช่อดทนอย่างเดียว ทุกอย่างต้องมีระบบและการบริหารจัดการที่ดีและถูกต้อง

ดุจดังระยะเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เป็นระยะเวลาเริ่มแรกของการปฏิบัติเจริญภาวนาบำเพ็ญสมณธรรม ระยะเวลาแห่งการเริ่มจนไปถึงกาลที่ผลจะปรากฏ หรือที่เรียกในภาษาธรรมว่า ในระยะปฏิบัติไปสู่ปฏิเวธนั้นมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน แน่นอนระยะเวลาที่ระบุไว้นั้นเป็นเรื่องไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัวสำหรับทุกคน ทุกคนเป็นพืชพันธุ์ที่ต่างกัน บ้างใช้เวลามาก บ้างใช้เวลาน้อย แต่เพื่อให้เห็นเป็นแนวทางกลางๆ ในการพิสูจน์กระบวนการที่จะเกิดขึ้นตามมาสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติทุกคน นั่นก็คือ เวทนาอันเกิดจากความบีบคั้นทางร่างกายที่ต้องนั่งหรือเดินประมาณ ๑ ชั่วโมง

คำๆ หนึ่งที่มักได้ยินเป็นประจำในขณะที่จะต้องรับมือกับเวทนานี้ก็คือ “ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม” เนื่องจากเวทนาอันเกิดจากแรงบีบคั้นนี้กำลังเป็นขั้นตอนเปลี่ยนถ่ายระดับ พิจารณาดูขั้นตอนการทำอะไรทุกอย่างจะมีจุดเปลี่ยนอยู่ช่วงหนึ่ง จุดเปลี่ยนตรงนี้สำคัญมาก ถ้าหากผ่านจุดเปลี่ยนตรงนี้ไปได้ก็จะขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่งทันที ซึ่งจะรู้สึกง่ายยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างการยกตัวของเครื่องบินที่กำลังบินขึ้น ช่วงของการบินขึ้นและช่วงของการไต่ระดับขึ้นไปนั้นต้องใช้กำลังอย่างมาก จุดที่กำลังจะขี่จักรยานเป็นนั้นก็เช่นกันต้องใช้พลังอย่างมาก แต่เมื่อผ่านจุดผันผวนตรงนี้ไปก็จะผ่านด่านทดสอบความตั้งใจ

โศลกว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรผ่านสองชั่วโมง จึงทะลุด่านทดสอบแรกไปได้”

ความอดทนที่เป็นความเพียรต่อการบำเพ็ญนั้นมีสองด้าน ถ้าอดทนมากก็จะเป็นความกดดัน เป็นความเครียด เป็นการบีบคั้น แต่ถ้าไม่อดทนก็ทำให้ล้มเลิกและเกิดอาการเกียจคร้าน ไม่ทำต่อไปอีก ดังนั้น ความอดทนพากเพียรนี้ต้องไปคู่กับความมุ่งมั่นแบบปล่อยวาง ผู้ปลูกต้องอดทน แต่เมล็ดพันธุ์ไม่ต้องใช้ความอดทน เมล็ดพันธุ์ต้องพร้อมที่จะเจริญเติบโต หากเมล็ดมีความอดทนก็จะเติบโตยากหรืออาจจะเหี่ยวแห้งตาย จิตวิญญาณที่มุ่งต่อปัญญาที่เบ่งบานนั้นต้องให้เป็นไปตามธรรมชาติ

ชั่วระยะเวลาหลังจาก ๑ ชั่วโมงผ่านไป สิ่งที่สำคัญในขณะที่เวทนาบีบคั้นนี้เราตั้งหลักอย่างไร วางใจอย่างไร เพื่อจะให้ผ่านพ้นด่านทดสอบไปได้อย่างถูกต้องของการปลูกเมล็ดพันธุ์ทางปัญญาให้เบ่งบาน ความสัมพันธ์ระหว่าง กาย เวทนา จิต นั้นเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกในการทำหน้าที่ประสานกัน เช่น เข่าอยู่ท่าเดียวนานๆ ก็จะเกิดอาการชาและปวด ความปวดเป็นเรื่องของเวทนา เมื่อเกิดเวทนาจิตก็รับรู้ส่งทอดกันไปเป็นหนึ่งเดียวสู่ศูนย์ประมวลผล แยกกันไม่ออก ความเจ็บปวดที่เกิดกับอวัยวะก็เกิดการรับรู้ว่า “เรานี่แหละปวด” นี่คือ ลักษณะทั่วไปของบุคคลทั่วไปโดยเฉพาะผู้เริ่มปฏิบัติ

การที่มีคำว่า “เราเป็นผู้รับผลแห่งความเจ็บปวดนั้น” เกิดจากหลอมรวมกันของขันธ์ทั้ง ๕ เป็นหนึ่งเดียวอันเกิดอวิชชาให้ยึดในความเป็นขันธ์อยู่ เมื่อใดก็ตามมีสติเข้าไปกำหนดรู้กาย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณได้ แยกแยะขันธ์ออกได้ เมื่อนั้นก็จะพบว่า ความเจ็บปวดนั้นเป็นเรื่องของเวทนา ไม่เกี่ยวกับอะไร เมื่อสติพิจารณาศึกษา (สิกขติในอานาปานสติ) ก็จะเห็นชัดถึงเวทนานั้นก็เป็นสักว่าเวทนาเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลไปไหน ไม่มีผู้รับผล ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีการเข้าไปยึดว่า เวทนาเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา ทุกขันธ์มีแต่ความว่างเท่านั้น นี่แหละผู้ที่สามารถนั่งสมาธิได้เป็นวัน นั่งสมาธิได้หลายวัน ก็เพราะผู้ที่นั่งสมาธิได้ก้าวข้ามระดับการเริ่มต้นไปได้ จากนี้ไปก็ง่ายแล้วสำหรับจะทำงานทางจิตที่มั่นคง

โศลกว่า “การบำเพ็ญจิตภาวนา เท่ากับเจริญสติให้มากยิ่งขึ้น”

สติเป็นธรรมอันเอกที่สามารถแยกแยะสสารพลังงานให้ย่อยสลายไปได้ ไม่ให้เข้ามายึดความเป็นกลุ่มก้อนได้อีก เมื่อสติเข้มแข็งก็จะสว่างไสว สามารถกันและกั้นความมืดไม่ให้เข้ามาได้ ไม่ใช่เป็นการกำจัดความมืด แต่ความมืดเข้ามาไม่ได้ จุดนี้เองเป็นความมุ่งหมายสำคัญของธรรมในพระพุทธศาสนาทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นอานาปานสติ ไม่ว่าจะเป็นสติปัฏฐาน ไม่ว่าจะเป็นการเจริญวิปัสสนาอย่างไร สุดท้ายก็เพื่อเป็นการเจริญต่อเนื่องแห่งสติทั้งสิ้น การเจริญสติเท่านั้นที่จะสามารถยับยั้งกาลเวลาได้ ยับยั้งไม่ให้จิตปรุงแต่งเป็นสังขารที่เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขารใดใดอีก

กาลเวลาสูญสิ้นไปในขณะที่หยุดการเคลื่อนไหวทางจิต เหลือแต่ความว่างที่ปรากฏอยู่เท่านั้น ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคตหลงเหลืออยู่ให้ได้ตกอยู่ในวัฏฏะอีก เป็นแต่เพียงความว่างเช่นเดียวกับจักรวาล ไม่มีตัวตน ไม่มีของตน ไม่มีความเป็นตัวเป็นตนอีก การจะไม่มีสภาวะนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีสติอันสมบูรณ์เท่านั้น นี่คือ “พุทธศาสตร์” ศาสตร์แห่งการหลุดพ้นจากกาลเวลา เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล ไม่ตกในกาล หลุดพ้นจากวัฏฏะ หลุดพ้นจากการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปในภายใน การที่ร่างนี้จะดับสลายสูญสิ้นนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร เป็นปกติของธรรมชาติ แต่การที่ไม่ก่อเกิดร่างนี้ หรือขันธ์นี้ขึ้นมาอีกนี่เป็นสิ่งที่พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญสูงสุด

คำถามว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชคือความตายจึงจะไม่แลเห็น คือ จักไม่ตามทัน พระเจ้าข้า” เป็นคำถามที่โมฆราชมาณพทูลถามพระพุทธเจ้า คำถามนี้หากแปลง่ายๆ ให้เข้าใจกันก็คือ “ทำอย่างไรจึงจะพ้นจากความตาย”

พระบรมศาสดาตรัสพยากรณ์ว่า “ดูก่อน โมฆราช ท่านจงมีสติพิจารณาดูโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าตัว ของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจะข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล้ว มัจจุราชคือความตายจักแลไม่เห็น”

พระดำรัสนี้แสดงให้เห็นถึงการพ้นจากกาลเวลาที่ครอบคลุมสัตว์ทั้งหลาย กาลเวลาก็คือมัจจุราช ที่คร่า ฆ่าและกลืนกินสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้วๆ เล่าๆ การที่เข้าถึงความว่างด้วยการดำรงอยู่ด้วยสติอันสมบูรณ์ที่เกิดจากการบำเพ็ญเพียรเจริญภาวนาปฏิบัติสมณธรรมเท่านั้นเป็นทางอันเอกที่จะข้ามพ้นกาลเวลาและมัจจุราชได้อย่างสิ้นเชิง

นี่คือ โศลกที่สามสิบสี่แห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา


วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

แมลงภู่และภูเขา













โศลกที่สามสิบสาม "แมลงภู่และภูเขา"

ปรากฏการณ์ทางจิต
ขณะที่มีความสงบเย็น
ลมหายใจยังคงออกเข้าบางเบา
ใจได้ล่องลอยหายไปกับแมลงภู่
ปีติใหญ่ปรากฏพรั่งพรูท่วมทับ
ลมหายใจกลับคืนสู่ปกติอีกครั้ง
ผ่านกาลไปด้วยลมหายใจสงบเย็น
ก็ปรากฏภูเขาใหญ่สามลูกขึ้น
ภูเขากลายเป็นขาทั้งสองข้าง
อีกลูกหนึ่งเป็นลำตัวยึดโยงชนกัน
เกิดภาวะกดทับแทบจะระเบิดออก
ใช้สติพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง
เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป

ผู้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรภาวนาย่อมต้องเจอภาวะหนึ่งที่เรียกว่า อาการทางจิต หรือปรากฏการณ์ทางจิตไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งแล้วแต่ฐานจิตของแต่ละคน จะมากจะน้อย จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ปรากฏการณ์นั้นย่อมเกิด เพราะนี่เป็นกระบวนการทางจิต ดุจดังการย่อยอาหารต้องเกิดขึ้นเมื่อมีการทานอาหารเข้าไป บางคนเกิดมากจนถึงขั้นสั่นไปทั้งตัว บางคนเกิดน้อยเพียงแค่ขนลุกชูชัน บางคนน้ำตาไหลพราก บางคนเพียงแค่กระตุกนิดๆ บางคนก็น้ำตาขังบ่อ บางคนซาบซ่านไปทั่วทั้งตัว บางคนตัวเบาคล้ายจะลอยขึ้น ซึ่งก็แล้วแต่ประสบการณ์ของใครๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรที่จะต้องตื่นเต้น ตื่นกลัว มุ่งหวังให้เกิด หรือไม่ต้องการให้เกิด

ภาษาที่เรียกกันในการปฏิบัติธรรมก็คือ อาการของปีติ ในพระพุทธศาสนาได้แสดงอาการของปีติไว้ ๕ ประการ
๑)อาการขนลุกชัน หรือน้ำตาไหล เรียกว่า ขุททกาปีติ คือปีติเกิดเล็กน้อย
๒)อาการเสียวแปลบปลาบ รู้สึกเหมือนฟ้าแลบ รู้สึกเหมือนไฟฟ้าในตัวช๊อต เรียกว่า ขณิกาปีติ คือปีติเกิดเพียงชั่วขณะ
๓)อาการสั่นไหวไปทั้งตัว เกิดเป็นระยะแต่ต่อเนื่อง มีลักษณะเหมือนระลอกคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง เรียกว่า โอกกันติกาปีติ คือปีติท่วมทับซู่ซ่าเป็นระยะๆ
๔)อาการตัวลอย โลดลอย ร่างกายเบาเหมือนล่องลอยไปได้ การหลุดปากอุทาน เรียกว่า อุพเพงคาปีติ คือปีติที่ทำให้ตัวลอย
๕)อาการที่ทั่วร่างเกิดความซาบซ่าน เอิบอาบ เบ่งบาน ยิ้มละไม เอิบอิ่มเปี่ยมไปทั่วร่าง เรียกว่าผรณาปีติ คือปีติที่ทำให้เอิบอิ่มแผ่ซ่าน


อาการเหล่านี้เป็นปกติของนักปฏิบัติธรรม แม้บางคนไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ทันสังเกต แต่สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่จะไปหวังให้เกิดหรือไม่ให้เกิด เป็นอาการทางจิตที่พอมีความสงบแล้วก็จะเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นก็เท่านั้น เพียงแต่เข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า ปีติเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของการบรรลุธรรมที่จะพึงเกิดขึ้น เป็นปีติสัมโพชฌงค์ เพราะเมื่อปีติเกิดขึ้นการยกระดับจิตก็จะตามมา อาการเปลี่ยนแปลงทางจิตก็จะเกิดขึ้น ที่เรียกว่า ภาวะแห่งความสุข เป็นความสุขที่เกิดจากความสงบกายและสงบใจ ซึ่งเรียกเป็นภาษาเฉพาะ (technical term) ว่า “ปัสสัทธิ” เมื่อปีติและปัสสัทธิเกิดขึ้น พึงทราบได้ว่า เดินมาถูกทางแล้วและความเป็นสมาธิก็จะเกิดขึ้นตามมาเป็นกระบวนการลูกโซ่ เป็นกระบวนการที่เป็นเหตุและเป็นผลของกันและกัน เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เป็นปกติของกระบวนการบำเพ็ญเพียรสมณธรรม

โศลกว่า “ใจได้ล่องลอยหายไปกับแมลงภู่ ปีติใหญ่ปรากฏพรั่งพรูท่วมทับ”

สิ่งสำคัญเมื่อเกิดอาการทางจิตที่เรียกว่า ปีติขึ้นมา ก็ไม่ต้องตกใจ หรือเกิดอาการหลงใหล ยึดติด หรือหยุดยั้งการบำเพ็ญเพียรภาวนา ให้กำหนดรู้ทุกอาการที่เกิดขึ้น ไม่เกิดอาการพึงพอใจหรืออาการตกใจ กำหนดรู้ต่อไป การกำหนดรู้ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนต่อเนื่องจากลมหายใจที่สั้นยาวเข้าออก แต่เป็นการกำหนดรู้ปีติและสุขที่เกิดขึ้น หายใจเข้าออกเป็นปกติ มีสติอยู่ที่อาการนั้นๆ หายใจเข้า หายใจออก ไม่กำหนดลมหายใจแต่กำหนดปีติและสุขหายใจเข้า ออก จนในที่สุดอาการปีติและสุขก็สงบระงับไปตามกฎธรรมชาติที่เรียกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

ความสำคัญอยู่ที่เมื่อปีติเกิดแล้วอย่าได้เลือก อย่าได้ปล่อยให้ใจเข้าไปยึดเอามาเป็นสมบัติส่วนตัว อย่าได้เข้าหลงอยู่ภายในความสำเร็จที่เป็นอาการเช่นนี้ เพราะปีติเป็นเพียงอาการด้านหนึ่งของทวิภาวะเท่านั้น ก็คือมีปีติก็มีไม่ปีติ มีสุขก็มีไม่มีสุขเป็นของคู่กันคนละด้านของเหรียญ ความเป็นคุณและโทษของปีติมีอยู่ตลอด เมื่อใดที่ปล่อยใจไม่มีสติก็จะหลงไปกับคุณของปีติ คุณของปีติทำให้ผู้ปฏิบัติพึงพอใจในอาการเช่นนั้น ดุจดังการเห็นของสวยๆ งามๆ ก็พึงพอใจ อาการพึงพอใจในของสวยงามก็กลายเป็นตัณหาทันที แสดงว่าปล่อยให้อาการที่เกิดขึ้นผ่านเข้าไปสู่ระดับที่ยากต่อการถอนมากขึ้น แนวทางปฏิบัติที่มีต่ออาการของปีติก็คือ เข้าไปกำหนดในตัวของปีติเองเห็นเป็นเพียงจิตสังขาร เห็นเป็นเพียงอาการที่เป็นสิ่งที่ประกอบเข้ากับจิตเท่านั้นไม่ว่าจะเป็นทั้งปีติและสุขที่เกิดขึ้น ดังพุทธพจน์ว่า

“จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามิ
จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามิ
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขารจักหายใจเข้า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร จักหายใจออก”

ไม่มีอะไรๆ ให้ต้องเข้าไปยึดถือว่าเป็นเรา ว่าของเรา ว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา เพื่อให้เข้าถึงระดับที่สี่ ก็คือ การเข้าไปพิจารณากำหนดเห็นความสงบระงับไปของจิตสังขารนี้เท่านั้น ปีติและสุขที่เกิดขึ้นสื่อเชื่อมกันระหว่างกายกับจิต เมื่อจิตมีอาการปีติสุข กายก็แสดงอาการออกมาตามลักษณะ ในขั้นนี้คือการสัมพันธ์กันระหว่างอาการทางกายและจิต ปีติและสุขเกิดขึ้นกับจิต กายก็รับรู้แสดงอาการเป็น ๕ ลักษณะตามที่ได้แสดงไว้ ผู้ปฏิบัติพึงกำหนดต่อไปหยั่งเข้าไปในอาการนั้น (สิกขติ) เพื่อให้เห็นถึงความสงบระงับหรือการสิ้นไปของปีติและสุขที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ดังพุทธพจน์ว่า

ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามิ
ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามิ
เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า
เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”



การพิจารณา ๔ ระดับนี้มีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากไม่เข้าใจความลึกใน ๔ ระดับนี้ ก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากความมีอยู่ เป็นอยู่ได้เลย เพราะในระดับที่ ๑ ถึง ๓ นี้ เป็นระดับของความมีอยู่ เป็นอยู่ทั้งสิ้น ทำให้จิตเข้าไปยึดเอาได้ง่าย จะเห็นได้ว่า ธรรมในพระพุทธศาสนาที่เป็นระดับของการปฏิบัตินั้นจะมี ๔ มิติเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอานาปานสติ สติปัฏฐาน หรืออริยสัจ

มิติที่ ๑ เป็นมิติทางกายภาพ
มิติที่ ๒ เป็นมิติทางความคิด
มิติที่ ๓ เป็นมิติทางอารมณ์
มิติที่ ๔ เป็นมิติแห่งความว่าง


เทียบเคียงกับอานาปานสติในระยะของเวทนาที่เกิดขึ้นก็จะพบว่า เข้าได้กับระดับทั้ง ๔ นี้ ระดับทั้ง ๔ นี้มีความลึกลงไปในแต่ละชั้น และในแต่ละชั้นนั้นก็ต้องมีสติกำหนดรู้เข้าไปให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริง
ระดับที่ ๑ เป็นระดับที่ปีติท่วมทับจิตพรั่งพรูจนจิตแสดงอาการออกมา
ระดับที่ ๒ เป็นระดับที่ปีติแปรเปลี่ยนไปเป็นความสุขแสดงอาการออกมา
ระดับที่ ๓ เป็นระดับที่ทั้งปีติและสุขอยู่ด้วยกันกลายเป็นความดื่มด่ำ
ระดับที่ ๔ ระดับที่ปีติและสุขสงบระงับไป


พึงทราบว่า ในแต่ละระดับที่แสดงไว้นี้เป็นนามธรรมที่กำหนดรู้ได้ด้วยสติที่คมชัดเท่านั้น ถ้าหากสติไม่คมชัดไม่สามารถแยกแยะและเข้าไปกำหนดรู้ได้เลย เพราะตัวปีติและสุขจะกลายเป็นตัวเราไปทันที กลายเป็นเรามีความสุข ความสุขมีในเรา เมื่อนั้นทุกอย่างก็จบ เป็นการพลาดจากทางเข้าที่เหมาะสมทันที

โศลกว่า “ผ่านกาลไปด้วยลมหายใจสงบเย็น ก็ปรากฏภูเขาใหญ่สามลูกขึ้น”

ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตามที่อยู่ในขั้นตอนของการปฏิบัติ วันหนึ่งอาจเบิกบานยิ้มแย้ม ขนลุก น้ำตาไหล หรือวันหนึ่งอาจเปลี่ยนเป็นความหนักหน่วงแห่งภูเขาท่วมทับ หรือกระแสน้ำถาโถม ทุกภาวะที่เกิดขึ้นอยู่ในวิสัยที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพียงแต่ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ทางจิตขึ้นเช่นนี้จะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร เพราะอาการเหล่านั้นจะรุนแรงท่วมทับตนเองจนแทบหายใจไม่ออกก็มี แสดงออกมาทางกายภาพทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดอาการขึ้น บางครั้งต้องอาศัยครูอาจารย์ช่วยแก้ไข ผ่อนคลายให้ บางครั้งก็แก้ไขได้ด้วยตนเอง

ผู้ปฏิบัติพึงต้องศึกษาให้ทราบถึงเส้นทางที่จิตเดินไปเสียก่อน ดุจดังการจะเดินทางไปตามเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งจะต้องสำรวจก่อนว่า จะไปทางไหน เจอกับอะไร เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาอย่างไร มีหลุม มีบ่ออย่างไร ทางโค้ง ทางตรงอย่างไร เหล่านี้เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติที่ต้องศึกษา ที่เรียกว่า ปริยัตินั่นเอง ศึกษาเพื่อให้เข้าใจว่า เมื่อเดินทางไปแล้วมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจะได้ไม่ตกใจ ไม่พลัดหลงจากทางที่จะไป ไม่ว่าจะพบกับแรงปะทะทั้งจากสภาพภายนอกและสภาพภายในอย่างไร ก็มีความเข้าใจในสภาวะนั้น รู้วิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้


ภูเขาใหญ่ที่ท่วมทับร่างกายอัดแน่นเข้ามาทั้ง ๓ ทาง มาจากด้านข้างทั้งสองข้าง มาจากด้านบนอีก ทับกันอัดแน่นเข้าๆ ทุกขณะจนเกิดอาการกายจะระเบิด ขั้นนี้เป็นเพียงอาการที่จิตเกิดอาการทางสภาวะแห่งการปฏิบัติแล้วสื่อออกมาทางกายภาพให้อึดอัดขัดข้อง เพียงแต่เข้าไปกำหนดในอาการนั้นว่า ไม่ใช่อะไรอื่นใด เป็นเพียงเวทนาที่ปรากฏกับจิตเท่านั้น เวทนาก็ไม่เที่ยง กายก็ไม่เที่ยง จิตก็ไม่เที่ยง สิ่งที่เกิดขั้นจากความไม่เที่ยงแท้ทั้งนั้นมันจะดำรงอยู่อย่างนั้นได้อย่างไร ก็ทุกอย่างเป็นแต่เพียงความไม่เที่ยง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พิจารณาเห็นถึงความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป หายใจเข้า หายใจออก

การยกระดับจิตจะเกิดขึ้นในระยะนี้ เหมือนดังการเปลี่ยนแปลงของความรู้ไปสู่ทักษะ เป็นเรื่องที่บอกยากว่า เปลี่ยนเมื่อไหร่ เปลี่ยนอย่างไร แต่รวมกันเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความรู้ก็เป็นระดับหนึ่งขององค์ประกอบทางจิต แต่เป็นระดับของจินตามยปัญญา แต่ทักษะนั้นเป็นการยกระดับจากจินตามยปัญญาไปสู่ระดับภาวนามยปัญญา เป็นการรู้แจ้งอันเกิดจากการเข้าไปพิจารณาในความรู้นั่นเอง

คำว่า “พิจารณา” คำนี้ต้องระวัง อย่าในไปปนกับคำภาษาไทยที่ใช้กันในความหมายทั่วไป เพราะไม่ตรงกัน ความหมายในภาษาไทยนั้นเป็นคำระดับที่ ๒ เท่านั้นเอง แต่พิจารณาในสภาวธรรมนี้เป็นระดับ “สิกขติ” เป็นระดับที่ ๔ เป็นระดับตัวสติที่เห็นแจ้ง กำหนดรู้ เจาะหยั่งลงไปในอาการทางจิตที่ปรากฏนั้น เพียงแต่ยืมคำมาใช้ให้เข้าใจง่ายเท่านั้น การกำหนดรู้เจาะหยั่งลงไปในอาการนั้นทำให้ยกระดับจิตขึ้นไปสู่มิติที่ ๔ ได้ เป็นภาวนามยปัญญา

โศลกว่า “ใช้สติพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป”

ในระดับมิติทั้ง ๔ นี้ ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เพราะมีส่วนสนับสนุนความก้าวหน้าทางจิตได้ง่ายขึ้น เพราะในระดับที่ ๑ ถึงมิติที่ ๓ นั้นเป็นระดับที่มีทวิภาวะซ่อนอยู่ภายในนั้น เมื่อใดที่ยังเป็นระดับทวิภาวะ เมื่อนั้นก็ตกอยู่ภายใต้กฎแกว่งไปมาตามทฤษฎีลูกตุ้มนาฬิกา เพราะความเป็นทวิภาวะนั้นมีสนามแม่เหล็กแห่งตัณหาซ่อนอยู่ภายในนั้น สนามแม่เหล็กนี้แหละที่ผลักชีวิตให้ตกอยู่ภายใต้วงจรอุบาทว์อย่างแท้จริง นั่นก็คือวงจรแห่งวัฏฏะ ที่เรียกว่า “วน” คือ “กิเลส กรรม วิบาก” ตราบใดที่ไม่เข้าไปสู่ระดับที่ ๔ ตราบนั้นก็ยังคงตกอยู่วังวนนี้ไปตลอดอนันตกาล

ความพิเศษของระดับที่ ๔ ก็คือ การไม่เป็นปฏิปักข์ต่อสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวในประเด็นนั้น แต่กลับเลื่อนระดับไปสู่การเห็นสิ่งที่ปรากฏทั้งหลายทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม นามธรรม ก็มีแต่การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปทั้งนั้น การพิจารณาอย่างนี้ถือว่าไม่ได้เล่นตามเกมของตัณหา แต่กลับเล่นเกมผู้สังเกตการณ์แทน แทนที่จะดีใจ เสียใจ พึงพอใจ ชอบใจ ไม่ชอบใจ มีความสุข มีทุกข์ ซึ่งทั้งหมดนี้คือเกมของตัณหา

แต่ระดับที่ ๔ กลายเป็นการเฝ้ามองอาการที่ปรากฏแทน เป็นแต่เพียงผู้มองเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใด มองให้เห็นถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่และสิ้นไปของปรากฏการณ์เหล่านั้น เมื่อนั้นลูกตุ้มนาฬิกาก็หยุดแกว่ง เมื่อลูกตุ้มนาฬิกาหยุดแกว่ง สนามแม่เหล็กก็ลดพลังดึงดูดลง เพราะการแกว่งของลูกตุ้มเป็นตัวเสริมพลังดึงดูด ความกระจ่างใสย่อมปรากฏขึ้นแทน ตรงนี้แหละคือ ช่วงเวลาแห่ง “ปัญญาญาณ” ย่อมเกิดขึ้น ดังพุทธพจน์ว่า “จกฺขุง อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ดวงตาคือ ปัญญาเห็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว การกำหนดรู้ความหยั่งรู้เหตุผลเกิดขึ้นแล้ว ความรู้แจ้ง เกิดขึ้นแล้ว ความมีใจสว่างเกิดขึ้นแล้ว”

ตรรกะในสภาวธรรมนั้นไม่ตรงกับตรรกะทางความคิดเหตุผลที่คนทั้งหลายเข้าใจ เพราะตรรกะของคนทั่วไปนั้นมุ่งไปที่ฐานที่ ๑ และ ฐานที่ ๒ กล่าวคือทุกอย่างต้องมีการกระทำให้เกิดขึ้น แต่ในสภาวธรรมนั้นกลับตรงกันข้าม เมื่อใดกระทำไม่ว่าทางกาย วาจา หรือใจ เมื่อนั้นก็ยิ่งห่างไกลจากปัญญาญาณที่จะเกิดขึ้น ปัญญาญาณจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าหากยังอยู่ในระดับความคิด เปรียบเหมือนความใสสะอาดเกิดไม่ได้ด้วยการเติมความขุ่นลงไป เมื่อใดที่ไม่กวนให้น้ำขุ่น เมื่อนั้นความใสจึงจะปรากฏเอง

นี่คือ โศลกที่สามสิบสามแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ก้าวเดินเป็นธรรม








โศลกที่สามสิบสอง "ก้าวเดินเป็นธรรม"


หัวใจของธรรมอยู่ที่รู้ตัว
เป็นกิริยาอาการนั้นเต็มที่
ไม่เหลือช่องว่างให้ได้คิด
เดินคือเดินเต็มที่
ทุกฝ่าเท้าที่เหยียบคือเหยียบ
ทุกเท้าที่ยกคือยกเท้า
ทุกเดินก้าวคือก้าวเดิน
ไม่เหลือให้ได้คิดเดิน
ไม่เหลือช่องให้เดินคิด
ไม่เหลือช่องบริกรรมเดิน
เดินด้วยใจรัก งดงาม บำเพ็ญ
ทุกองคาพยพที่เคลื่อนไหว
ทุกกิริยาอาการที่เดินไป
มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียว
คือก้าวเดินเป็นธรรม





อาการสองสิ่งในกิริยานั้นจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน ในขณะเดินก็ไม่ยืน ในขณะยืนก็ไม่นั่ง ในขณะนั่งก็ไม่นอน แต่จะเกิดขึ้นไล่ลำดับกันอย่างรวดเร็วทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่า อาการนั้นเกิดก่อนหรือหลัง ต้องระมัดระวังไม่ให้เข้าไปในวังวนเดิม ไม่ให้ถูกจิตใช้เป็นเครื่องมือเหมือนเดิม ให้เข้าใจคำว่า “เป็นเพียงผู้เฝ้าดู เป็นพยาน (Witness)” และคำว่า “เป็นผู้ตื่นตัว (Awareness)” คำทั้งสองคำนี้มีความหมายอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นทันทีที่มีคำว่า เป็นผู้ตื่นตัว (สติมา) นี้อยู่ และมีคำว่า เป็นผู้เฝ้าดูรู้ตัวทั่วพร้อม (สัมปชาโน) ถ้าหากไม่มีคำนี้ก็ไม่ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เพราะสัมปชาโน สติมา คือธรรมที่แท้จริง มีความหมายมาก มีอานิสงส์มากเหลือเกิน คำ ๒ คำนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นลอยๆ ต้องบำเพ็ญ ต้องมีความเพียร ต้องมีความต่อเนื่องที่เรียกว่า “อาตาปี”

ความตื่นตัวและเป็นเพียงผู้เฝ้าดูนั้นเป็นด่านสกัดไม่ให้มีความคิดอะไรเข้ามาแทรกแซงกิริยาอาการที่เคลื่อนไหวทุกขณะ ทุกระยะ ทุกรายละเอียด เห็นหมด เห็นทุกอย่างชัดแจ้ง ไม่เหลือช่องให้มีความคิดเข้ามาแทรก ไม่ให้โอกาสการปรุงแต่งเข้ามาแทรก ไม่ให้เกิดความพึงพอใจ (อภิชฌา) ในอาการนั้นๆ ไม่ให้เกิดความอึดอัดขัดข้อง (โทมนัสและอนภิชฌา) ในอาการนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการยืน เดิน นั่ง หรือนอนก็ตาม ทุกอิริยาบถนั้นมีความเต็มเปี่ยมแห่งอาการนั้นเท่านั้น มีความสมบูรณ์พร้อมแห่งอาการนั้นเท่านั้น

โศลกว่า “ไม่เหลือช่องว่างให้ได้คิด เดินคือเดินเต็มที่”

ในการปฏิบัติธรรมสิ่งที่ขัดขวางมากที่สุดก็คือ “ความคิด” กระบวนการแห่งความคิดเป็นกระบวนการแห่งความทุกข์ ตามลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาท เพราะในความคิดนั้นประกอบไปด้วยอวิชชา “ความคิด” ที่มีอวิชชาเป็นพื้นฐานก็ย่อมประกอบไปด้วยตัณหาและอุปาทาน เป็นปกติของจิตที่ไม่รู้แจ้ง เมื่อไรที่รู้แจ้ง จักษุคือปัญญาเห็นธรรมก็เกิด ญาณกำหนดรู้ก็เกิด ปัญญาหยั่งรู้เหตุผลก็เกิด วิชชารู้แจ้งก็เกิด อาโลโกความสว่างในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็เกิด กระบวนการทางดับแห่งทุกข์ก็ปรากฏขึ้นทันที ความคิดโดยปกติตัวของมันเองนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิเพราะไม่เห็นแจ้งในอริยสัจจ์ พอไม่เห็นแจ้งในอริยสัจจ์ก็ดำริสะเปะสะปะเป็นเหตุให้กล่าวออกมาทางวาจา


เมื่อใดที่เห็นแจ้งในอริยสัจจ์เมื่อนั้นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเป็นสัมมาทิฏฐินั้นเกิดมาพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่เต็มรอบ สติสัมปชัญญะไม่ให้มีความดำริสะเปะสะปะอีกต่อไป กระบวนการแห่งธรรมก็เกิด ด้วยเหตุนี้กระบวนการแห่งสติปัฏฐานและอานาปานสติจึงเป็นกระบวนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิโดยแท้ ความคิดตามความเข้าใจของชาวโลกนั้นไม่ถูกต้องตรงกันกับชาวธรรม การกินแบบโลกกับการกินแบบธรรมนั้นต่างกัน ไม่ต้องนำมาคิดเข้าหากัน เพียงแค่คิดก็ตกหล่นหลุดออกไปจากเส้นทางทันที ต้องไม่คิดเท่านั้นจึงจะอยู่บนเส้นทางได้


โศลกว่า “เดินด้วยใจรัก งดงาม บำเพ็ญ”

เฝ้าดูจิตที่ประกอบไปด้วยความเชื่อมั่นในการก้าวเดิน ความเป็นทั้งหมดแห่งการก้าวเดิน การก้าวย่างที่ขยับเขยื้อนก้าวไปนั้นเต็มเปี่ยมด้วยความต่อเนื่องเป็นลำดับ ความสมบูรณ์พร้อมเกิดขึ้นเต็มที่ ไม่เหลือช่องให้สิ่งใดหลุดรอดเข้ามาได้ ต้นสายปลายเหตุทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป อาการเดินเช่นนี้คือการเดินที่งดงาม จึงไม่แปลกใจที่อุปติสสมานพพอพบกับพระอัสสชิ พอเฝ้าสังเกตเห็นการเดินของพระอริยอัสสชิ ก็พบเห็นความงดงามนั้นเห็นอากัปกิริยาอาการที่ก้าวเดินทุกก้าวอย่างสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ต้องกังวล ความงดงามแห่งการก้าวเดินของผู้มีสติสัมปชัญญะนั้นสื่อออกมาภายนอก เป็นความสงบกายที่เคลื่อนไหว เป็นความงดงามของท่าร่างที่ก้าวเดิน

อาการเช่นนี้จะปรากฏขึ้นอย่างไรเล่า จะมีก็แต่เฉพาะผู้มีความเต็มเปี่ยมจากภายในเท่านั้น อุปติสสมานพไม่เคยเห็นผู้ที่เดินด้วยความงดงามเช่นนี้มาก่อนจึงได้ติดตามไประยะหนึ่ง เพื่อให้เกิดความแน่ใจในสายตาของตนว่า นี่เป็นของจริง นี่คือบุคคลที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ในที่สุดท่านจึงได้รับรสแห่งอมตวาจาที่สมบูรณ์พร้อมอีกเช่นกันในยามที่สนทนา


“เย ธัมมา เหตุปภวา เตสัง เหตุง ตถาคโต
เตสัญจ โย นิโรโธ จ เอวัง วาที มหาสมโณ”


โศลกเพียงเท่านี้ยังกระแสแห่งความสว่างในอริยสัจจ์ปรากฏขึ้นในปัญญาญาณของอุปติสสมานพ กาลภายหลังท่านก็คือพระสารีบุตรเถระ ธรรมเสนาบดีในพระพุทธศาสนานี่เอง


สำหรับเราท่านแล้ว การก้าวเดินไปยังคงเป็นไปเพื่อบำเพ็ญบารมี เดินไปเพื่อให้ปัญญาเกิดขึ้น เดินไปเพื่อให้วิชชาเกิดขึ้น เดินไปเพื่อเห็นแจ้งการเกิดดับ เดินไปเพื่อให้ญาณเกิดขึ้น การเดินเช่นนี้จึงเป็นการเดินที่เป็นธรรม เดินไปด้วยความพากเพียรพยายาม เดินไปด้วยความงดงามแห่งสติสัมปชัญญะ และเดินไปด้วยการยังความเต็มเปี่ยมแห่งการเดินแต่ละก้าวให้ปรากฏ



โศลกว่า “มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียว”



ผู้เข้าใจความเป็นเอกภาวะย่อมเข้าใจสรรพสิ่งได้ดีขึ้น ความเป็นเอกภาวะนั้น คือ ความว่าง คือนิพพาน คือความดับ คือความเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น ทุกกิริยาอาการ ความเป็นหนึ่งเดียวนี้ไม่เกี่ยวกับเอกัคคตารมณ์ (One Pointedness) เพราะเอกัคคตารมณ์นั้นเป็นเรื่องของจิตที่มีปกติวุ่นอยู่ตลอดเวลา จิตจะมีความสงบลงได้ก็ต่อเมื่อจิตทำหน้าที่อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างเดียว การที่จิตอยู่กับอารมณ์จนเป็นเอกัคคตาจิตนั้นจิตไม่สามารถเข้าใจตัวของมันเองได้ มันได้แต่เข้าใจตัวของสิ่งอื่นเท่านั้น ก็ยังเป็นการเข้าใจสิ่งที่เป็นภายนอก


แต่เอกภาวะในที่นี้เป็นความเต็มเปี่ยมแห่งสติกับทุกกิริยาอาการ สติสัมปชัญญะนั้นรู้ตัวจิตเองได้ เป็นการเข้าใจภายใน มีแต่สติสัมปชัญญะเท่านั้นที่สามารถปราบความคิดที่ยึดอารมณ์ให้กลายเป็นเอกภาวะได้ การที่จะเข้าถึงการรู้แจ้งภายในนั้นต้องอาศัยสติสัมปชัญญะ ไม่อาจใช้ความคิดได้ เมื่อใดที่ใช้ความคิด เมื่อนั้นเอกภาวะก็ไม่เกิดขึ้น ความสมบูรณ์แห่งสติที่เต็มเปี่ยมมีเมื่อใด เอกภาวะก็ปรากฏเมื่อนั้น

ความยากที่จะเข้าใจเรื่องนี้ก็เพราะคนโดยมากแล้วตกอยู่ภายใต้การทำงานของจิต โดยเฉพาะโลกตะวันตกที่ไม่เคยทราบว่า จิตไม่คิดเป็นอย่างไร เอกภาวะเป็นอย่างไร การเข้าถึงเอกภาวะจึงต้องนำมาคิดก่อนว่า มันเข้าถึงได้อย่างไร จะเป็นเช่นนี้เสมอ ด้วยเหตุนี้คำว่า สัมมาสมาธิ ภาษาอังกฤษจึงใช้คำว่า “Right Concentration” และยังสื่อให้เห็นอีกว่า หัวใจของสมาธิในที่นี้ก็คือ “เอกัคคตาจิต” หรือ “One Pointedness” ผู้ที่ไม่เข้าถึงอรรถะแห่งคำว่า “สัมมาสมาธิ” ในที่นี้ก็เข้าใจตามไปกับภาษาอังกฤษที่เขาใช้จึงทำให้หลงประเด็นกันไปใหญ่


Right Concentration ไม่ใช่สัมมาสมาธิตามที่พระพุทธศาสนามุ่งหมาย การใช้คำว่า Right Meditation ยังจะใกล้เคียงกว่าเสียอีก เพราะคำว่า สมาธิในพระพุทธศาสนานั้น เป็นหนึ่งในองค์แห่งพละ ๕ ที่มีหน้าที่กรองสิ่งที่ขุ่นมัวทั้งหมดให้ใสสะอาด สติมีหน้าที่เฝ้าดู ส่วนสมาธิมีหน้าที่ทำให้ใสสะอาด เมื่อนั้นปัญญาจึงเห็นแจ้งในความเป็นจริงของสรรพสิ่ง สมาธิจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะคิดเอาได้ตามตรรกะ อธิบายด้วยเหตุผล เพราะเหตุผลนั้นอยู่ในระดับของความคิด โดยเฉพาะการแปลคำนี้เป็นภาษาอังกฤษจึงไม่ใช่ความหมายของสมาธิ

ความยากอีกประการหนึ่งก็คือ ผู้ที่เขียนคำนี้ก็ไม่เคยรับรู้ถึงสภาวะแห่งสมาธิเช่นนั้น ก็เข้าใจเอาเองว่า สมาธินั้นคือการที่จิตอยู่ในเอกัคคตา นั่นเป็นการตรองเอาตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การที่จิตดิ่งนิ่งอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็หมายเอาว่านั่นแหละคือสมาธิ ถือว่าเป็นกับดักใหญ่ หลุมพรางใหญ่ในการปฏิบัติเท่านั้น นั่นเป็นเพียงการใช้จิตเข้าสะกดจิตเท่านั้น


การกระทำที่เป็นหนึ่งเดียวจึงเป็นการกระทำที่มีสติสัมปชัญญะกำกับดูแลอยู่อย่างสมบูรณ์ ความคิดเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นก็เกิดทวิภาวะทันที ความเป็นทวิภาวะนี้อยู่ในระดับความคิด ความคิดมีสภาพเป็นทวิภาวะเสมอ เมื่อใดที่มีสติเมื่อนั้นก็เข้าถึงเอกภาวะ การเดินอย่างมีสติเต็มเปี่ยมก็ชื่อว่า เป็นการเดินที่เป็นเอกภาวะ ความเป็นเอกภาวะนี้เท่านั้นจึงเป็นการปฏิบัติธรรมโดยแท้ ความเพียรเพื่อให้ดำรงอยู่ในเอกภาวะ ในความว่าง ด้วยสติเสมอจึงนับได้ว่าเป็นอิสระอย่างแท้จริง


นี่คือ โศลกที่สามสิบสองแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา