วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กายนี้ก็เท่านั้น














โศลกที่ยี่สิบห้า "กายนี้ก็เท่านั้น"

รูปขันธ์อันวิเศษ
รักษานามขันธ์อีกสี่ประการไป
ก่อเกิดเป็นปัจจัยสืบภพชาติ
มีแต่ขันธ์นี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับลง
พึงบริหารรูปขันธ์นี้ให้เป็นเครื่องมือ
เข้าไปกำหนดรู้ชัดลมหายใจเข้าออก
ระยะที่หนึ่งรู้ชัดลมสั้น เข้าออก
ระยะที่สองรู้ชัดลมยาว เข้าออก
ระยะที่สามหยั่งรู้เพียงลม เข้าออก
ระยะที่สี่หยั่งรู้ความสงบเย็น เข้าออก
รูปขันธ์สงบ นามขันธ์ก็ระงับ
ความสัมพันธ์แห่งธรรมชาติปรากฏ
นามรูปเป็นเพียงขันธ์เกิดดับ
การสั่งสมกองทุกข์จะมีไฉน!



กายนี้เป็นองค์ประกอบแห่งสรีรยนต์ที่น่าอัศจรรย์ ทุกองค์ประกอบนั้นทำหน้าที่ของตนไปอย่างพร้อมเพียงประสานกันเป็นหนึ่งเดียว มีวงจรไฟฟ้าคือเส้นประสาทที่วิเศษเชื่อมโยงไปทั่วร่างกายนี้ ไม่ว่าเกิดความผิดปกติตรงไหน อย่างไร ก็จะส่งผลไปสู่ตัวควบคุมหลัก (Mainframe) ให้ตรวจสอบแก้ไขเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความดัน เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือด หรือ ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) และอะไรต่อมิอะไรอีกจำนวนมากที่เป็นความผิดปกติ แม้กระทั่งเศษหนามเพียงนิดเดียวที่ติดเกี่ยวเข้าไปในเนื้อที่เท้า ก็สร้างความผิดปกติส่งผลไปที่ส่วนควบคุมให้ไปดูแลดำเนินการให้เป็นปกติด้วย นอกจากนั้นยังมีต่อมมีท่อ ต่อมไร้ท่อที่แสดงปฏิกิริยาทันทีที่มีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา สร้างทั้งภูมิคุ้มกันและทำลายตัวมันเองได้ วิเศษเหลือเกินสรีรยนต์นี้



ในพระพุทธศาสนามองร่างกายนี้เป็นสรีรยนต์อันหนึ่งที่มีจักร ๔ คือ อิริยาบถทั้ง ๔ ได้แก่ ยืน เดิน นั่ง และนอน เป็นตัวขับเคลื่อนสรีรยนต์นี้ มีเครื่องยนต์ ๙ สูบ และเป็นท่อไอเสียไปในตัว ที่เรียกว่า ทวาร ๙ ได้แก่ ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ท่อปัสสาวะ ๑ และท่ออุจจาระ ๑ ด้วยเหตุนี้ในพุทธกาลนั้น เวลาพบปะทักทายกันจึงมีวัฒนธรรมเฉพาะว่า “ขมนียัง อาวุโส” หรือ “ขมนียัง ภันเต” แปลว่า “ท่านผู้มีอายุ หรือ ท่านผู้เจริญ สรีรยนต์อันมีจักร ๔ มีทวาร ๙ พอทนได้ดีไหม” คำทักทายนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง มีแต่ในพระพุทธศาสนาที่ใช้คำทักทายแสดงให้เห็นถึงการแยกแยะให้เห็นกระบวนการทำงานของร่างกายนี้ชัดเจน ก็อิริยาบถทั้ง ๔ นี้ ย่อมมีความผิดปกติเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา อิริยาบถทั้ง ๔ นี้ยังใช้ได้เป็นปกติดีอยู่หรือไม่ มีอะไรต้องให้ทนกับอิริยาบถทั้ง ๔ หรือไม่ เดินดีอยู่หรือไม่ นอนหลับดีอยู่หรือไม่ นอกจากนั้น ทวารทั้ง ๙ ละ มีอะไรเป็นปัญหาหรือไม่ ตายังดูได้ดีอยู่หรือไม่ อุจจาระยังระบายดีอยู่ไหม ถ้าทุกอย่างเป็นปกติก็แปลว่า สบายดี ถ้าตรงไหนเริ่มติดขัดก็แสดงว่า ไม่สบายดี สรีรยนต์คือกายนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เป็นสิ่งที่ต้องดูแลให้เป็นไปตามปกติจึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข ที่เรียกว่า สุขกาย (ทำให้) สบายใจ


ร่างกายนี้มีความสมบูรณ์มาก วิเศษมาก ถ้าหากใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล แต่ถ้าใช้ไปในทางที่เป็นโทษ ก็เป็นโทษอย่างอนันต์ ไล่ตามลำดับฝ่ายประโยชน์ก็ตั้งแต่ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ จนถึงนิพพานสมบัติ ถ้าไล่ตามลำดับฝ่ายโทษ ก็ตั้งแต่เป็นดิรัจฉานวิบัติ เปรตวิบัติ อสุรกายวิบัติ จนถึงนรกวิบัติ ผู้มีปัญญาต้องอาศัยร่างกายนี้บำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าถึงสมบัติทั้งหลายตามลำดับไป เรียกว่า “ใช้ขันธ์นี้บริหารขันธ์นี้ให้สิ้นขันธ์” เพราะการสิ้นไปแห่งกองทุกข์ก็คือ การสิ้นไปแห่งกองแห่งขันธ์นี้นั่นเอง


กายนี้มีการตอบสนองอย่างตรงไปตรงมามาก ไม่มีอะไรเป็นวาระซ่อนเร้น ไม่มีอะไรซ่อนเงื่อนเป็นเล่ห์กล ไม่มีอะไรเป็นพิษเป็นภัย ต้องการอะไร จำเป็นต่อสิ่งไหน กายก็จะแสดงออกมาอย่างนั้น หิว กระหาย กระเพาะก็จะเรียกร้องเอง หนาว ร้อน ผิวหนังนี้ก็จะแสดงออกเอง ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ท่ออุจจาระและท่อปัสสาวะก็จะทำหน้าที่เอง ถ้าง่วง ตาก็จะแสดงอาการ ร่วมกับการหาว ตาเริ่มปิด คอเริ่มตกตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทั้งหมดแสดงอาการหลับโดยอัตโนมัติ หรือแม้แต่ความต้องการทางเพศ เมื่อถึงเวลาร่างกายจะเรียกร้องโดยหลั่งฮอร์โมนทางเพศออกมา ทุกอย่างมีระบบชัดเจนไม่ต้องตีความอะไรทั้งสิ้น นี่คือความสมบูรณ์แบบของร่างกายนี้


จนกระทั่งเมื่อมนุษย์เริ่มมีความกลัวต่อร่างกายที่ทำหน้าที่ได้อย่างชัดเจนเหลือเกิน เกินกว่าที่ใจจะรับได้เพราะมันตรงไปตรงมาเกินไป ใจจึงสร้างความคิดขึ้นเข้าไปตีความระบบร่างกายให้แปรเปลี่ยนไป แปรเปลี่ยนไปตามความเชื่อ ตำรา วัฒนธรรม คำสอน การศึกษา เช่น ถ้าร่างกายต้องการระบายลม (ตดหรือผายลม) ใจจะบอกกายว่าต้องดูก่อนที่นี่ที่ไหน เสียมารยาทหรือเปล่า จะตดต้องดูที่ ตรงนี้ผายลมไม่ได้ต้องระงับยับยั้งไว้ หรือแม้แต่ใจอนุญาตให้ทำได้ แต่ต้องทำอย่างเบาๆ ช้าๆ แนบเนียน ห้ามมีเสียง เพราะนั่นบ่งบอกถึงความไม่เป็นผู้ดี



“ความเป็นผู้ดี” ความคิดได้ตีความไว้ให้ร่างกายต้องกระทำตาม มิฉะนั้นจะถูกประณามว่าไร้การศึกษา ไร้ความเป็นผู้ดี ร่างกายต้องสูญเสียอิสรภาพไปแล้วเพราะความคิดอย่างนี้ เมื่อร่างกายสูญเสียอิสรภาพ ร่างกายก็ต้องตอบสนองคืนให้เป็นโรคลมพิษตีกลับ เพราะการผายลม (ตด) เป็นการระบายลมพิษที่มีในร่างกายออก แต่ถ้าไม่สามารถระบายได้อย่างเต็มที่ลมพิษนั้นก็จะตีกลับ มีการสำรวจคนอังกฤษ เป็นโรคเกี่ยวกับระบบลมพิษมาก เพราะคนอังกฤษอั้นตดไม่ให้ออกมาตามธรรมชาติของร่างกาย


อีกแง่มุมหนึ่ง ร่างกายไม่ได้ต้องการอาหาร ไม่หิว กระเพาะไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่ความคิดบอกว่า “อยากทาน” เป็นการข่มขืนร่างกายให้กระทำตาม ถ้าไม่กระทำตาม ใจจะคิดทันทีว่า ไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนไม่ได้ เดี๋ยวเพื่อนบ่น เดี๋ยวเพื่อนว่าเอาได้ ชวนแล้วทำเป็นเล่นตัว ความคิดที่กลัวเพื่อนว่า กลัวเสียมารยาท กลัวเขาจะเลิกคบ กลัวครั้งหน้าเขาไม่ชวน หรือแม้แต่ไม่ได้กลัวใคร แต่ก็แสดงถึงความเป็นใหญ่กว่ากาย ว่าถ้าฉันอยากแล้วต้องทาน ต้องหยิบเข้าปากให้กับฉัน นี่เป็นพฤติกรรมที่ใจข่มขืนกายให้กระทำตาม แม้ว่า กายไม่มีได้แสดงออกว่าหิวสักนิดก็ต้องทำ หยิบอาหารว่างเข้าปาก กินของกินเล่น ขบเคี้ยวไปพลางๆ นั่นแหละเข้าข่ายนี้ทั้งนั้น ผลจึงปรากฏว่า เกิดโทษภัยอันเกิดจากปาก ตายเพราะปาก คือ “โอษฐภัย” กันมากต่อมาก เป็นกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคอะไรต่อมิอะไรมากมายที่เกิดจากการยัดเยียดเข้าไปทางปาก


ส่วนเรื่องที่มีปัญหามากอีกปัญหาหนึ่ง คือปัญหาเรื่องการมีเซ็กส์ เรื่องนี้มีการตีความมาก มีการแปรความไปมากตามความคิดที่ให้ไว้ ความคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ตำราต่างๆ วิชาความรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิดทางตะวันตกหรือตะวันออก ลองพิจารณาให้ดี ถ้ามองกันให้ชัด มนุษย์ก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่มีระบบสรีระร่างกายทำงานเหมือนเดียวกันกับสัตว์ทั้งหลาย ที่เรียกว่ากันว่า “มีการสืบพันธุ์”

นอกจากมีการสืบพันธุ์แล้ว สัตว์ก็ยังแสดงความรักต่อกันด้วยอิริยาบถต่างๆ ด้วย การสืบพันธุ์เกิดจากฮอร์โมนทางเพศทำงาน สารเคมีเกี่ยวกับเพศจะหลั่งออกมาให้ร่างกายตอบสนอง เมื่อได้รับการตอบสนองแล้วร่างกายก็หยุดทำงาน แต่การแสดงความรักยังคงแสดงได้ต่อไป เพราะการแสดงความรักเป็นความรู้สึกที่ทำงาน มิใช่ต่อมเพศ แต่มนุษย์ได้แปรเปลี่ยนระบบของเพศให้เข้ามาสู่ระบบทางความคิดของสังคม ศาสนา วัฒนธรรม ร่างกายไม่ทราบหรอกว่า สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นอย่างไร คิดกันอย่างไร เมื่อถึงเวลา ร่างกายก็ต้องแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา

แต่ความคิดได้แปรผลความต้องการทางร่างกายไปเป็นอื่น เช่นแปรผลไปตามสังคมว่า การมีเซ็กส์ทำให้ประชากรล้นโลก การมีเซ็กส์ทำให้ขาดดุลทางทรัพยากร การมีเซ็กส์ทำให้โรคระบาด แปรผลไปตามศาสนาว่า การมีเซ็กส์เป็นที่มาของกิเลส ความต้องการทางเพศทำให้จิตใจเสื่อมทราม การมีเซ็กส์ทำให้ซาตานคืนชีพ แปรผลไปตามวัฒนธรรมว่า การมีเซ็กส์ทำให้เสียความเป็นผู้ดี ความต้องการทางเพศทำให้วัฒนธรรมเสียหาย ความต้องการทางเพศทำให้ขาดอารยธรรม เป็นมนุษย์ที่ไม่เจริญ


การตีความทุกอย่างเหล่านี้คือการที่ความคิดได้ใส่ร้ายต่อร่างกายอย่างไม่เป็นธรรม อย่างไม่น่าให้อภัย นอกจากนั้นบางคนทนไม่ได้กับความคิดที่ใส่ร้ายต่อการมีเซ็กส์เช่นนี้ก็ทำการประชดเสียเลย โดยการสำส่อนไปทั่ว มั่วเซ็กส์ไปทั่ว หื่นไปทั่ว ทั้งที่ร่างกายไม่ได้แสดงอาการแม้สักนิดว่าต้องทำอย่างนั้น แต่ความคิดได้สั่งการบอกว่า เมื่อฉันต้องการแล้วร่างกายต้องปฏิบัติตาม นี่ก็เป็นอีกด้านหนึ่งของการข่มขืนร่างกายนี้ด้วยความคิด


แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีการยัดเยียดและข่มขืนร่างกายอย่างนี้ก็ย่อมมีผลกระทบต่อร่างกายทันที ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาเพื่อแสดงความต้องการนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นพิษผสมเข้ากับฮอร์โมนตัวอื่น เพราะเกิดความผิดปกติขึ้นต่อระบบร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติขึ้นในร่างกาย คนที่เก็บกดทางเพศมักมีความเครียด มักมีปัญหาทางจิต มักมีอคติต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ มักมีความเบี่ยงเบนทางเพศ มักมีอารมณ์ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด ส่วนผู้ที่สนองตามความคิดก็ทำให้เกิดโรคติดเชื้อต่างๆ ทำให้ร่างกายขาดความสมดุลของเลือดขาว เป็นโรคผอมเหลือง และยังเกิดความทุกข์จากการถูกย่ำยีทางเพศอีก ทั้งหมดนี้คือ การกระทำต่อร่างกายไม่ถูกต้องทั้งสิ้น


โศลกว่า “พึงบริหารรูปขันธ์นี้ให้เป็นเครื่องมือ” ศาสตร์โบราณได้แบ่งระดับแห่งรูปขันธ์หรือร่างกายนี้ออกเป็น ๗ ระดับ แต่ละระดับก็มีความหมายสื่อไปถึงการใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาการเชื่อมประสานให้กายและจิตไปด้วยกัน ทำงานร่วมกัน เป็นศาสตร์ที่สร้างความสมดุลขึ้นทางกายและใจ ไม่ให้ตกไปสู่ขั้วใดขั้วหนึ่ง ไม่ให้ตกไปสู่อำนาจทางกายและอำนาจทางใจ แต่เป็นการใช้พลังกายเพื่อเอื้อถึงพลังใจ ใช้พลังใจเสริมสร้างพลังกาย แปรเปลี่ยนพลังขั้วลบและขั้วบวกในกายพัฒนาระดับขึ้น จุดหมายก็คือหลุดพ้นจากขอบเขตของกายและใจ เป็นอิสระทั้งกายและใจ


กายฐานที่หนึ่ง ฐาน “มูลธร” หรือฐาน “กุณฑาลินี” ฐานนี้อยู่ระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เป็นฐานที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ เชื่อมโยงระหว่างกายกับชีวิต มูลธรฐานรักษาไว้ซึ่งพลังชีวิตและความตื่นตัว ถ้าสะกดทางเพศ ความตื่นตัวก็หายไปด้วย หรือถ้าปล่อยไปตามพลังเพศ ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณก็หดหาย วิธีการปฏิบัติก็คือต้องแปรสภาพของพลังนี้ ยืมพลังเพศมาสร้างพลังการตื่นตัว พึงเข้าใจว่า พลังเพศนี้สร้างสรรพสิ่งขึ้นมา ไม่ต่อต้าน ไม่ยอมตาม แต่เข้าใจ ใช้พลังนี้เข้าสู่พลังการตื่นตัว จิตวิญญาณก็ก้าวหน้า กายฐานอื่นๆ ก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย

กายฐานที่สอง ฐาน “สวาธิษฐาน” เป็นฐานที่อยู่ปลายก้นกบ เป็นศูนย์กลางพลังอารมณ์ความรู้สึก สวาธิษฐานรักษาพลังอยู่ ๒ ด้าน ด้านหนึ่งนั้นเป็นพลังลบ คือความกลัว ความเกลียด ความโกรธ และความรุนแรง อีกด้านหนึ่งคือ ความรัก ความเมตตา ความกล้า ความเป็นมิตร เป็นพลังด้านบวก สำหรับพลังด้านลบมีเองโดยอัตโนมัติ แต่ด้านบวกต้องแปรเปลี่ยน ต้องพัฒนาจึงจะมีได้ คนทั่วไปกระทำต่อพลังลบนี้เป็น ๒ ทาง หนึ่งปลดปล่อยพลังลบออกมา เรียกว่า ระบายอารมณ์ หนึ่งคือเก็บกักพลังลบไว้ เรียกว่า ข่มอารมณ์ การปฏิบัติต่อพลังลบอย่างนี้ ไม่ถูกต้อง ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเข้าไปรับรู้ ยอมรับ เพ่งเข้าไปสู่ศูนย์กลางของมัน แทนที่จะระบายความโกรธ หรือสะกดกลั้นไว้ แต่กลับพิจารณาตัวมัน การทำเช่นนี้พลังสายบวกจะพัฒนาขึ้นมาได้ ความรัก ความเมตตา อภัย ไมตรี ความกล้าจะปรากฏขึ้นมาได้


กายฐานที่สาม ฐาน “มณีปุระ” ฐานกายนี้ตั้งอยู่ตำแหน่งบั้นเอว ตรงสะดือ เป็นศูนย์กลางพลังความคิดพื้นฐาน มณีปุระฐานรักษาไว้ซึ่งพลัง ๒ สายเช่นกัน พลังลบก็คือ ความสงสัย ส่วนพลังบวก คือ ความเชื่อมั่น สำหรับพลังด้านลบ คือ ความสงสัยมีเองโดยอัตโนมัติ แต่ด้านบวกปัญญาวินิจฉัยต้องแปรเปลี่ยนจึงจะได้มา คนทั่วไปกระทำต่อพลังลบนี้เป็น ๒ ทาง หนึ่งสงสัยอยู่อย่างนั้น เรียกว่า ไม่กล้าตัดสินใจ ลังเล คิดวนไปวนมา หนึ่งคือ ไม่สงสัย เรียกว่า เชื่องมงาย ไม่ตะขิดตะขวางใจ ไม่ฉุกคิด ไม่คิดมาก การปฏิบัติต่อพลังลบอย่างนี้ ไม่ถูกต้อง ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเข้าไปรับรู้ ยอมรับ เพ่งเข้าไปสู่ศูนย์กลางของมัน แทนที่จะสงสัย หรือเชื่อทันที แต่กลับพิจารณาตัวความคิด ตัวความสงสัย การทำเช่นนี้ ตัวความสงสัยจะหายไป แต่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นความจริงแทน เมื่อเป็นความจริงก็กลายเป็นพลังศรัทธา ความเชื่อมั่น ส่วนพลังสายบวกคือความคิดใคร่ครวญก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นปัญญาวินิจฉัย เป็นความคิดสมบูรณ์ เป็นโยนิโสมนสิการได้



กายฐานที่สี่ ฐาน “อนหตะ” ฐานนี้ตั้งอยู่ตรงกลางกระดูกสันหลัง ระดับที่ตรงกับหัวใจ ตรงกับ Thymus gland เป็นฐานของหัวใจ (Heart) เกี่ยวกับระบบหมุนเวียนโลหิต เป็นศูนย์กลางพลังความฝันและจินตนาการ อนหตะฐานรักษาไว้ซึ่งพลัง ๒ สายเช่นกัน พลังลบก็คือ ความฝัน ส่วนพลังบวก คือ เจตคติ สำหรับความฝันนั้นมีเอง แต่จินตนาการต้องพัฒนาขึ้น เจตคตินั้นมีเอง แต่วิสัยทัศน์ต้องพัฒนาขึ้น คนทั่วไปกระทำต่อพลังลบนี้เป็น ๒ ทาง หนึ่งก็ฝันหวานไปอย่างนั้น เรียกว่า พวกเฟ้อฝัน พวกฝันกลางวัน หนึ่งคือพวกไม่มีอะไรให้ฝัน ไม่ใฝ่ฝัน ไม่สร้างวิมานในฝัน การปฏิบัติต่อพลังลบอย่างนี้ ไม่ถูกต้อง ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเข้าไปรับรู้ ยอมรับ เพ่งเข้าไปสู่ศูนย์กลางของมัน แทนที่จะฝันเฉย แต่กลับพิจารณาความฝัน เป็นความใฝ่ฝัน การทำเช่นนี้ ตัวความฝันจะหายไป แต่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นจินตนาการแทน เมื่อเป็นจินตนาการ ฝันก็จะเป็นจริงขึ้นมาได้ ส่วนพลังสายบวกคือเจตคติ ในที่สุดก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นวิสัยทัศน์ขึ้นมาได้ พวกนอนข้างถนนฝันว่าบินได้กับนักบินอวกาศต่างกันตรงนี้


กายฐานที่ห้า ฐาน “วิสุทธิ” กายฐานนี้อยู่ตำแหน่งกระดูกต้นคอ ตรงกับต่อมไทรอยด์ (Thyroid Grand) เป็นฐานของปอดเกี่ยวกับลมหายใจ เป็นศูนย์กลางพลังบริสุทธิ์ พลังจิตวิญญาณ นับตั้งแต่ฐานนี้ไปไม่มีพลังสองสายปะทะกันแล้ว ไม่มีขั้วบวก ขั้วลบแล้ว ไม่มีทวิภาวะเหลืออยู่ในฐานนี้ แต่มีความเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกภาวะ ไม่ต้องปรับพลังอะไรอีกต่อไป แต่ให้กำหนดหยั่งลงไปในลมหายใจเท่านั้น เป็นฐานแห่งสติที่ตื่นตัวอยู่เสมอ ลมหายใจเป็นที่ตั้งแห่งความบริสุทธิ์ เป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีชายหญิง ไม่มีทวิภาวะ มีแต่ลมหายใจ มีแต่ความชัดเจน มีแต่สติที่แจ่มใส ไม่ว่าหลับหรือตื่นก็มีสติ กายหลับก็หลับไป แต่สติยังแจ่มใสเหมือนเดิม รู้ชัดแล้วว่าตนเป็นใคร อัตตา (I or Ego) ได้สลายไปแล้ว ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว และความสงสัยได้แล้ว ไม่เลือกเดินทางสุดโต่งทั้งพลังสายบวกและสายลบแล้ว


แต่อันตรายยังมีอยู่สำหรับผู้ที่เข้าถึงกายฐานวิสุทธินี้ เพราะเมื่อเข้าถึงฐานนี้ย่อมเกิดความสุขขึ้น เป็นภาวะแห่งการดื่มด่ำกับสิ่งที่ไม่เคยประสบมาก่อน ทำให้ไม่อยากไปไหนอีก อยากจะดำรงอยู่ภายในฐานนี้เท่านั้น พูดง่ายๆ ว่า “กำลังติดสุข” ความทุกข์ไม่เคยทำร้ายใคร แต่ความสบายได้ทำร้ายคนมานักต่อนัก ยาจกสละกะลาขอทานได้ง่าย แต่พระราชาสละมงกุฎได้ยาก การหนีออกจากความวุ่นวายในตลาดสดยังทำได้ง่าย แต่การหลบออกจากเสียงดนตรีอันไพเราะในโบสถ์นั้นยาก ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย โดยมากมักจะหยุดอยู่ที่ฐานนี้ แล้วเลิกบำเพ็ญเพียรต่อไป ในฐานที่ ๕ นี้ ความเข้าใจว่า “ตัวฉัน” (อัตตา Ego-Ness) นั้นหายไปแล้ว แต่ความรู้สึกว่า “เป็นฉัน” หรือ “อสฺสมิตา” หรือ “มานะ” (Am-Ness) นั้นยังคงอยู่ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมีความสุขได้

ฐานกายที่หก ฐาน “อัชนะ” ฐานนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางหน้าผาก ตรงกับ Pituitary gland (ต่อมใต้สมอง) เป็นฐานของสมองส่วนล่างเกี่ยวกับระบบประสาท ฐานอัชนะนี้เป็นที่รวมของปัญญา เป็นดวงตาที่สาม เป็นพาหนะแห่งญาณวิเศษ ติดต่อกับเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนได้ ฐานนี้คือฐานกายจักรวาล ความเป็นเรา “อัสสมิตา” ไม่หลงเหลืออะไรให้ติดค้างอีก ไม่มีทั้งฉันและความเป็นฉันอยู่ในฐานนี้ มีแต่ความเป็นเช่นนั้นเอง ความเป็นสัจธรรม ความสมบูรณ์พร้อมแห่งสติ เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้แล้ว ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ผู้ปฏิบัติอีกส่วนหนึ่งก็มาติดอยู่ขั้นนี้ อันเกิดจากความยิ่งใหญ่แห่งกายนี้นั่นเอง เพราะกายนี้ปกคลุมหมดแล้ว ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด ไม่มีขอบเขต ไม่มีจุดจบ ไม่มีที่ไหนให้ต้องไปอีก ไม่มีอะไรให้ต้องแสวงหา ไม่มีอะไรให้ต้องค้นพบ ทุกสิ่งปกคลุมหมดแล้ว การเดินทางจึงหยุดอยู่ที่ฐานนี้สิ้นชาติไม่ถ้วน


แม้กระนั้น ความเป็นสัจธรรมแห่งกายนี้ที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินก็กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางได้อีก ไม่ว่าจะเป็นความมีอยู่และไม่มีอยู่แห่งกายที่ยิ่งใหญ่นั้น ก็ยังถือว่า มีอยู่นั่นเอง (เนวสัญญานาสัญญายตนะ) ความยากปรากฏขึ้นเพราะขอบเขตเริ่มลางเลือน ที่กำหนดนั้นลางเลือน ตัวตนนั้นขาดไป ความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้ปกคลุมไปทั่ว ไม่เหลือให้ต้องติดขัดอีก ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะเห็นความมีอยู่ที่ปกคลุม ดังนั้น ผู้ปฏิบัติยังต้องเดินทางต่อไป ยังต้องบำเพ็ญต่อไป


กายฐานที่เจ็ด ฐาน สหัสระ หรือ “สหัสชะ” ฐานสหัสระตั้งอยู่กลางศีรษะด้านบน เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว ตรงกับ Pineal gland เป็นฐานศูนย์กลางของสมองส่วนบนเกี่ยวกับระบบประสาทโครงสร้างทั้งหมด ยังเหลือการเดินทางขั้นสุดท้าย นั่นคือ การเดินทางไปถึงความไม่ดำรงอยู่ ไม่เป็นอยู่ การดำรงอยู่เป็นเพียงเครื่องหนึ่งของเรื่อง อีกครึ่งหนึ่งคือการไม่ดำรงอยู่ แสงสว่างเป็นหนึ่งด้าน อีกหนึ่งด้านคือความมืด ชีวิตคือข้างหนึ่ง ความตายเป็นอีกข้างหนึ่ง ดังนั้น ต้องเข้าถึงความดำรงอยู่และความไม่ดำรงอยู่ เป็นเพียงความว่าง ความจริงสูงสุดต้องมีเพียงการเข้าไปรู้ถึงการดำรงอยู่และการไม่ดำรงอยู่เท่านั้น เป็นความจริงอย่างหมดเปลือก เป็นความว่างตลอดสายทั้งการดำรงอยู่และการไม่ดำรงอยู่ เป็นความสมบูรณ์พร้อม นี่แหละจึงเรียก ธรรมกาย เรียกนิพพาน

ฐานทั้ง ๗ นี้สามารถนำมาเปรียบเทียบฐานที่เกิดเสียงซึ่งเดิมเป็นศาสตร์โบราณที่เป็นรากฐานของความรู้ก่อนแปรเปลี่ยนมาเป็นแค่จะอักขระธรรมดาและเทียบได้กับโพชฌงค์ ๗ ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งการบรรลุรู้แจ้ง ดังนี้


ฐาน ป ได้แก่ ป ผ พ ภ ม เท่ากับ สติสัมโพชฌงค์ เชื่อมกับฐานชีวิต (กุณฑลินี)
ฐาน ต ได้แก่ ต ถ ท ธ น เท่ากับ ธัมวจยสัมโพชฌงค์ เชื่อมกับฐานอารมณ์
ฐาน ฏ ได้แก่ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เท่ากับ วิริยสัมโพชฌงค์ เชื่อมกับฐานความเชื่อ
ฐาน จ ได้แก่ จ ฉ ช ฌ ญ เท่ากับ ปีติสัมโพชฌงค์ เชื่อมกับฐานความคิด
ฐาน ก ได้แก่ ก ข ค ฆ ง เท่ากับ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เชื่อมกับฐานความสุข
อฐาน ได้แก่ ย ร ล ว ส ห ฬ เท่ากับ สมาธิสัมโพชฌงค์ เชื่อมกับฐานความรู้ตัว
วิมุตติฐาน ได้แก่ อัง (อํ) เท่ากับอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เชื่อมกับฐานญาณ


เมื่อเข้าถึงฐานสุดท้ายแล้ว กระนั้นนิพพานคือความว่างก็ต้องวางไว้ ปล่อยวางไว้อย่างนั้น ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นอะไรอีกต่อไป “สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” นี่แหละคือการใช้ขันธ์มาบริหารขันธ์เพื่อความสิ้นขันธ์อย่างแท้จริง


นี่คือ โศลกที่ยี่สิบห้าแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา



วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แผนโจโฉ



















แผนโจโฉหนีน้ำ

เจ้าเด็กน้อยจิวยี่ปัญญาทราม มีหรือจะเข้าใจแผนเรา ขงเบ้งลือว่าเก่งนัก ก็แค่เด็กอมมือ เราเตรียมแผนรับมือไว้แล้ว ถ้ามาทางซ้ายเราหนีออกขวา ถ้ามาทางขวาเราหนีออกซ้าย รถลาม้าช้างเราก็เตรียมพร้อม
เทียหยก : นายท่านใช้แผนอะไร
โจโฉ : ถึงเวลาค่อยเปิดกลก้นหีบออก
เทียหยก : ตอนนี้ข้าศึกมาโอบซ้ายขวาแล้วนะนายท่าน
โจโฉ : ข้าศึกมามากน้อยเท่าใด
เทียหยก : สิบสองหมื่นลูกบาศก์
โจโฉ : อืมมม ในบรรดา ๓๖ กลยุทธ เห็นทีต้องใช้แผนนี้เท่านั้น
เทียหยก : แผนอะไร
โจโฉ : กลยุทธหนีจุกตูด

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ขบธรรม เห็นธรรม











โศลกที่ยี่สิบสี่ "ขบธรรม เห็นธรรม"

พิจารณาธรรมเพียงสี่ฐาน
ในกาย เวทนา จิต ธรรม
ใช้สติพิจารณาไม่ใช้ความคิด
เป็นทางมุ่งตรงต่อพระนิพพาน
เป็นทางทำลายการยึดมั่นถือมั่น
เห็นลมหายใจที่อยู่ในกายนี้
เห็นความรู้สึกที่อยู่ในเวทนานี้
เห็นความผ่องใสที่อยู่ในจิตนี้
เห็นความว่างที่อยู่ในธรรมนี้
เห็นความว่างในกายเวทนาจิตเช่นนี้
สัจธรรมย่อมปรากฏ
มายาย่อมสิ้นไป
วิชชาย่อมปรากฏ
อวิชชาย่อมสลายไป


เป็นที่น่าสังเกตอย่างยิ่งในคำสอนของพระพุทธศาสนา เมื่อเกี่ยวกับการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วต้องปฏิบัติตามทางสายกลางเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ความเข้าใจเกี่ยวกับทางสายกลางในประเทศไทย และชาวพุทธทั้งหลายไม่แน่ว่าจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง โดยมากก็เข้าใจไปตามตัวหนังสือ หรือไม่ก็เข้าใจตามที่สอนต่อๆ กันมา
เรื่องมรรคมีองค์แปด แยกออกเป็นปัญญา ศีล สมาธิ เพราะความไม่เข้าใจอรรถแห่งทางสายกลางอย่างลึกซึ้งนี่เอง ทำให้ชาวพุทธไม่สามารถปฏิบัติตนตั้งอยู่ในทางสายกลางแม้แต่นิดเดียว


โดยมากตกไปสู่ขั้วใดขั้วหนึ่งทั้งนั้น เป็นเหมือนลูกตุ้มนาฬิกาที่เขาแกว่งไปก็จะไปสู่ข้างโน้น ข้างนี้ ไม่อาจดำรงอยู่อย่างท่ามกลางได้ การหมุนไปของชีวิตในสังสารวัฏนี้ก็เป็นเหมือนนาฬิกาที่หมุนไปเพราะลูกตุ้มนั้น นาฬิกายังเดินได้เพราะลูกตุ้มที่แกว่งไปมาฉันใด ชีวิตก็ดำเนินไปเพราะการแกว่งไปมาระหว่างขั้วทั้งสองฉันนั้นเหมือนกัน หากถามว่า ถ้าลูกตุ้มหยุดแกว่งจะเป็นอย่างไร นาฬิกาก็ตาย ถ้าหากชีวิตหยุดตกขั้วละ ชีวิตก็ตาย นาฬิกาตายก็พ้นจากความเป็นนาฬิกาอีกเท่ากับเป็นเศษเหล็ก ชีวิตที่ตายก็พ้นจากความเป็นชีวิตอีก เท่ากับเป็นเบญจขันธ์เท่านั้น ไม่ต้องเกิดอีก พ้นจากสังสารวัฏนี้


ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า ทำไมต้องเป็นสายกลาง คำตอบก็เพราะปฏิเสธทางส่วนสุดทั้งสอง จึงเรียกว่า สายกลาง ส่วนสุดทั้งสองนั้นเป็นทวิภาวะ การจะปฏิเสธส่วนสุดทั้งสองนั้นไม่ใช่เราเป็นผู้ปฏิเสธ เพราะเมื่อมีเราเป็นผู้ปฏิเสธเมื่อใด ก็ต้องตกอยู่ในทวิภาวะทันทีโดยไม่รู้ตัว เพราะเราก็คือความคิด ความคิดเป็นเรา ความคิดไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากการเข้าไปยึดส่วนสุดได้ เพราะความคิดมีธรรมชาติยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอารมณ์เสมอ

การเข้าไปยึดของความคิดเมื่อใด ก็ตกลงสุดขั้วเมื่อนั้น เมื่อไม่มีอะไรยึด ความคิดจะหายไปทันที การปฏิเสธส่วนสุดนั้นกระทำได้ก็ต่อเมื่อไม่มีเรา เป็นการปฏิเสธระหว่างเรา เขา ระหว่างมี ไม่มี ระหว่างข้างนี้ ข้างนั้น ระหว่างชอบ ไม่ชอบ ระหว่างมาก น้อย ระหว่างโลกกับหลีกจากโลก ระหว่างรัก เกลียด เป็นต้น การที่คนๆ หนึ่งจะตกไปสู่ส่วนสุดข้างใดข้างหนึ่งนั้นเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน


การที่จะดำรงอยู่ในทางสายกลางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นเดียวกับการทานอาหาร ทานให้อิ่มนั้นง่าย แต่ทานให้พอประมาณนี้ยาก ความอ้วนนั้นง่าย แต่ทำให้ผอมนั้นยาก จมน้ำนั้นง่าย แต่ลอยในน้ำนั้นยาก พูดมากนั้นง่าย แต่ไม่พูดมากนั้นยาก ติฉินคนอื่นง่าย ไม่ตำหนิผู้อื่นนั้นยาก สำหรับทางสายกลางนั้นกลับอยู่ตรงกลางระหว่างสภาวะทั้งสองที่กล่าวมานี้ นี่คือ ความลึกซึ้งของทางสายกลางประการแรก

ประการต่อมา ทางสายกลางเป็นศาสตร์ชั้นสูง เป็นไตรสภาวะ (Triangle) เป็นตรียาน เป็นตรีจักร เป็นตรีภาวะที่ทำให้หลุดพ้นจากความเป็นทวิภาวะได้ เป็นพุทธศาสตร์แห่งการหลุดพ้นโดยแท้ เป็นการพ้นจากอำนาจกายและอำนาจจิต ได้แก่ การดำรงอยู่ท่ามกลางอำนาจกายและอำนาจจิตได้ รักษาสมดุลไม่ให้อำนาจกายและจิตเข้ามาบงการได้ เมื่อนั้นมัจจุราชก็ไม่อาจเห็น มัจจุราชเห็นได้เฉพาะผู้ที่ตกอยู่อำนาจความต้องการทางกาย และผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจทางจิตเท่านั้น




ปัญญาคือกุญแจทำให้พ้นจากอำนาจกายด้วยศีล ทำให้พ้นจากอำนาจใจด้วยสมาธิ ปัญญาเป็นตัวควบคุมให้กายและใจไม่แสดงฤทธิ์ออกมาได้ ฤทธิ์ของกายก็คือความต้องการสนองทางกาย (Physical Needs) ฤทธิ์ของใจก็คือความต้องการสนองทางใจ (Mental Needs) อำนาจทางกายก็เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง อำนาจทางใจก็เป็นส่วนสุดอีกขั้วหนึ่ง ดังนั้น การดำรงอยู่ท่ามกลางระหว่างกายและจิตได้จึงเป็นตรีภาวะ นี่เป็นพุทธศาสตร์ ภาวะแห่งปัญญา ศีล สมาธิ ภาวะที่ปรับสมดุลให้ดำรงอยู่ท่ามกลางได้

โศลกว่า “ใช้สติพิจารณาไม่ใช้ความคิด” การฝึกเพื่อให้ดำรงอยู่ในทางสายกลางก็คือ การฝึกมีสติอยู่เสมอ เพราะในขณะที่มีสตินั้นตัวตนจะหายไป เมื่อตัวตนหายไปก็พ้นจากทวิภาวะได้ เพราะตัวตนคืออัตตานี้ต้องอาศัยส่วนสุดข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้นจึงดำรงอยู่ได้ ตัวตนอยู่ไม่ได้ในท่ามกลาง ในท่ามกลางนั้นมีแต่สติเท่านั้นที่อยู่ได้ พาหะของตัวตนที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในก็คือ ความคิด เมื่อใดคิด เมื่อนั้นมีตัวตนขึ้นมาทันที เมื่อใดมีสติอยู่กับปัจจุบัน เมื่อนั้นตัวตนจะหายไปทันที ทางสายกลางก็คือการดำรงอยู่ไม่ปราศจากสตินั่นเอง



ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในปัจฉิมวาจาว่า “หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โม วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีสภาพสูญสิ้นไป เธอทั้งหลายจงดำรงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด” ความไม่ประมาทในที่นี้ หมายถึง การดำรงอยู่ด้วยสติทุกเมื่อ การดำรงอยู่ด้วยสตินั้นคนทั่วไปเข้าใจได้แต่เพียงภาษา แต่ไม่ได้เข้าใจถึงอรรถที่แท้ของการดำรงอยู่เช่นนี้ได้ เมื่อใดคิดสติก็หาย เมื่อใดมีสติ ความคิดก็หายไป นี่แหละเป็นกล่าวที่ว่า ไม่ให้คิด ไม่ใช้ความคิด แต่ให้ใช้สติ



มีแต่ดำรงอยู่ด้วยสติเท่านั้นจึงทำให้ดำรงอยู่ในทางสายกลางได้ ทางสายกลางนี้เป็นทางที่ตรงต่อพระนิพพาน คือความเป็นอิสระอย่างเต็มที่ ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจทางกายและใจ ไม่ตกไปสู่ส่วนสุดทั้งสอง ไม่ตกอยู่ในทวิภาวะ (Duality) บางคนยังไม่อาจเข้าใจได้ว่า ความแตกต่างระหว่างสติกับความคิดนั้นเป็นอย่างไร สตินั้นเป็นตัวคอยสังเกตความเคลื่อนไหวทั้งหมดไม่ว่ากายหรือจิต เมื่อสติเห็นชัดเจนทุกความเคลื่อนไหวจึงทำให้มีปัญญารู้แจ้งในเหตุ ผล ความดับเหตุผล และทางที่เข้าถึงความดับเหตุผลนั้นด้วย กระบวนการนี้จะปรากฏชัด นี่คือ การดำรงอยู่อย่างไม่ประมาท นี่คือ ทางสายกลาง


เมื่อใดก็ตามดำรงอยู่บนสติ มีสติเป็นเครื่องดำเนินไป ชีวิตก็ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของโลภ โกรธ หลง อีก เพราะโลภ โกรธ หลงนี้ เกาะอยู่ในใจเท่านั้น เมื่อไม่มีใจให้เกาะ กิเลสเหล่านี้ก็ตกไปโดยปริยาย ไม่ต้องไปทำอะไรป้องกันให้วุ่นวาย ด้วยเหตุนี้ท่านเหว่ยหลาง (ฮุ่ยเหนิง) จึงมองไปที่ต้นตอ ไม่มองไปที่ว่าจะทำอย่างไร ก็เมื่อขจัดต้นตอ ก็คือ เมื่อไม่มีจิต (ความคิด) เสียแล้ว กิเลสจะมีได้แต่ที่ไหน ท่านจึงเขียนโศลกไว้ว่า

“กายมิใช่ต้นโพธิ์
ใจมิใช่กระจกใส
เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่า
ฝุ่นจะจับที่ใดได้”


ที่สำคัญก็คือทำอย่างไรจึงจะให้ทุกสิ่งว่างเปล่า ก็ต้องมีสติเท่านั้น เพราะสติเป็นอาวุธอันวิเศษที่มองทะลุสิ่งต่างๆ เห็นความไม่มีความเป็นกลุ่มก้อนใดๆ เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา มองได้แต่กิริยาอาการที่ดำเนินไปเท่านั้น เมื่อสติมา อัตตาก็หาย เมื่ออัตตาหายไป ความเป็นกลางก็เกิด เมื่อความเป็นกลางเกิดขึ้น นิพพานก็ปรากฏ ความเป็นอิสรเสรีภาพที่แท้ก็เกิดขึ้น คำว่า อิสรเสรีภาพ ก็คือ การไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของโลภ โกรธ หลง ซึ่งอกุศลมูล ๓ ตัวนี้ฝังอยู่ในอัตตา เมื่อไม่มีอัตตา มันก็หาที่อยู่ไม่ได้


การใช้คำพูดบางทีก็ทำให้ไขว่เขวได้ เพราะถ้าบอกมีโลภะ โทสะ โมหะ ก็นึกว่า มีเป็นตัว มีเป็นอะไรเหมือนกับที่เห็น ที่เข้าใจ สัมผัสได้ ตรงนี้แหละที่พระพุทธศาสนามีปัญหากับการใช้คำ เพราะคนในโลกอดไม่ได้ที่จะต้องคิดเหมือนกับที่ตนมีประสบการณ์เสมอ การพูดออกไปอย่างหนึ่งก็ทำให้ตกไปสู่อีกอย่างหนึ่งได้เพราะการจะพูดทั้งสองประการนั้นยากที่จะทำให้เข้าใจได้สำหรับชาวโลก

ในพระพุทธศาสนาบางทีก็ต้องใช้บัญญัติตามโลกโวหาร โลกสมมติ แต่ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เช่นกับว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน” คำว่าตนในที่นี้ก็ต้องใช้ตามโลก แต่แท้ที่จริงแล้วก็คือ การใช้ขันธ์นี้บริหารขันธ์นี้ให้ดี อย่าให้ขันธ์นี้ตกไปสู่ทุคติ การพูดให้ผู้อื่นเข้าใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามิฉะนั้นอุดมคติคงไม่เกิดขึ้น เพราะเขาไม่ทราบถึงจุดหมายของชีวิตได้


คำว่า “ไม่ใช้ความคิด” ชาวโลกฟังแล้วต้องไม่เข้าใจแน่ เพราะความคิดเป็นสิ่งที่โลกอาศัยอยู่ พอบอกไม่ให้ใช้ความคิด โลกย่อมสับสนแน่นอน เหมือนกับคำว่า “ไม่หายใจ” ชาวโลกย่อมไม่เข้าใจว่า ไม่หายใจแล้วจะอยู่ได้อย่างไร เผลอๆ ถูกมองว่า “บ้า” หรือ “เพี้ยน” ไปแน่นอน หรือไม่ก็ถูกพวกนักศึกษาอภิธรรมพากันแย้งกันเป็นแถวเป็นแนวว่า ก็จิตมีปกติคิด ไม่คิดแล้วจะมีจิตยังไง เป็นไปไม่ได้ พวกนักบาลีก็จะเสริมอีกว่า จิตมีสภาพรับอารมณ์ แล้วจะไม่ให้มีความคิดได้อย่างไร ก็ต้องให้ใช้ตามภาษาโลกไป
ดุจดังเต่าที่ขึ้นได้ทั้งบนบกและลงในน้ำ แล้วอธิบายเรื่องบนบกให้ปลาฟัง มีหรือปลาจะเข้าใจเรื่องที่เต่ากำลังอธิบาย สู้บอกไปตามที่ปลาเข้าใจดีกว่า คือ ให้คิดดี คิดสิ่งที่มีประโยชน์ คิดรอบคอบ คิดแยบคาย คิดแบบโยนิโสมนสิการ อย่างนี้ไปดีกว่า เพราะโลกเข้าใจอย่างนี้ เหมือนกับการสอนเรื่องกรรม ก็ต้องบอกแต่เรื่องกรรมดี เว้นกรรมชั่ว แต่ที่พระพุทธศาสนาเน้น คือ ให้พ้นดี พ้นชั่ว คนทั่วไปก็ต้องถามแน่นอน “แล้วมันดียังไง” อีกนั่นแหละ

การไม่ให้ใช้ความคิด เพราะความคิดนำไปสู่ส่วนสุด เพราะความคิดออกมาจากอัตตา แต่ให้ใช้สติพิจารณา สติพิจารณาโดยใช้จิตเป็นเครื่องมือ ดุจดังที่กล่าวไว้แล้วว่า ปัญญาเป็นตัวที่ตัดกระแสแห่งความคิดได้ ดูแลความคิดได้ ไม่ให้ความคิดนั้นเป็นกรรมต่อไป เป็นได้แต่เพียงกิริยา แต่เมื่อใดที่กระทำด้วยจิตเป็นตัวนำพาแล้ว เมื่อนั้นการกระทำต้องตกสู่ส่วนสุดแน่นอน ไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่ง


ในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการปรุงแต่งด้วยบุญ การปรุงแต่ด้วยบาป การปรุงแต่งเพื่อฌาน ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมทั้งสิ้น ต้องไม่ให้เป็นกรรม การไม่ให้เป็นกรรมก็คือไม่ให้จิตปรุงแต่ง มีแต่สติเท่านั้นที่ดูแลอยู่ตลอด เป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วๆ ไป แต่ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้มีอินทรีย์เต็มเปี่ยม


โศลกว่า “เห็นความว่างในกายเวทนาจิตเช่นนี้” ความเข้าใจของคนทั้งโลกย่อมไม่อาจแยกแยะได้ว่า กาย เวทนา จิต นี้เชื่อมสัมพันธ์กันแต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพราะเมื่อกายเจ็บ ก็คือเราเจ็บ เราเจ็บก็คือ ใจเจ็บ มีแต่สติเท่านั้นจึงจะเห็นความว่างที่ซ่อนอยู่ในระดับที่ ๔ ของกาย เวทนา และจิต เพราะทุกสภาวะย่อมเป็นธรรมที่มีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์บีบคั้น และมีสภาพว่างเปล่า เมื่อเป็นเช่นนั้นก็พิจารณาคลายความยึดมั่น ถือมั่นเสีย คลายความยินดี ยินร้ายเสีย เมื่อคลายจนสิ้นแล้วก็เป็นอันจบกระบวนการแห่งความยึดมั่น สิ้นสุด จากนั้นก็ปล่อยวางไว้อย่างนั้น
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระมาลุงกยบุตรโดยใจความว่า แนะมาลุงกยบุตร! รูปที่ยังไม่เคยเห็น ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น เสียงที่ยังไม่เคยได้ยินและไม่คิดว่าจะได้ยิน กลิ่นและรสที่ยังไม่เคยรู้สึก และไม่คิดว่าจะได้รู้สึกนั้น เธอเข้าไปยินดีกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่

พระมาลุงกยบุตรกราบทูลว่า ไม่มีพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าจึงตรัสอีกโดยใจความว่า ดูกร มาลุงกยบุตร! บรรดาสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้รู้ ได้ทราบ ก็ให้เป็นเพียงจักแค่เห็น แค่ได้ยิน แค่ได้รู้สึก และแค่ได้ทราบ เมื่อใดที่เธอมีแค่เห็น ได้ยิน ได้รู้สึก ได้ทราบ เมื่อนั้นเธอ (ตัวตน) ก็ไม่มีด้วยนั่น เมื่อ (ตัวตน) ไม่มี ก็ไม่มีที่นั่น ก็ไม่มีที่โน่น ไม่มีที่นี่ ไม่มีระหว่างที่นี่และที่โน่นนั่นแหละ คือ จุดจบของทุกข์”
พระมาลุงกยบุตรเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็แสดงความเข้าใจของตนออกไปมีใจความว่า “พอเห็นรูปแล้วไม่มีสติเข้าไปปรุงแต่ว่าน่ารัก ติดใจ ชอบใจ มีความสุขกับสิ่งนั้น เวทนา (สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์=โมหะ) ก็เกิดจากรูปนั้น ขยายผลไปเพิ่มขึ้น จิตก็สั่งสมความทุกข์อย่างนี้เรียกว่า ไกลนิพพาน (ใช่หรือไม่) แต่ถ้าเห็นรูปแล้วมีสติ ไม่ติดในรูป เสวยเวทนาไปก็ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งอารมณ์นั้น ทุกข์ก็มีแต่สิ้นไป ไม่สั่งสมอีกอย่างนี้เรียกว่า ใกล้นิพพาน (ใช่หรือไม่)...”(สํ.สฬา. ๑๘/๑๔๒-๑๔๕)


พระพุทธเจ้าก็ตรัสรับรองความเข้าใจของพระมาลุงกยบุตรรูปนั้นว่าถูกต้องแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่า สติเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความว่างขึ้นในกาย เวทนาและจิต เพราะในขณะที่มีสตินั้นตัวตนก็ไม่มี ก็เมื่อไม่มีตัวตนแล้ว ก็ไม่มีอะไร อะไรให้ต้องเข้าไปยึด ไม่มีฐานที่ตั้งแห่งทุกข์ แห่งสุข ไม่มีที่นี่ ที่โน่น หรือที่ไหนๆ อีก เมื่อนั้นก็ย่อมถึงจุดจบแห่งทุกข์ คือนิพพาน ในทางกลับกัน ถ้าหากไม่มีสติ การหลงเข้าไปยึดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์ว่ามีอยู่ ทุกข์ก็เกิดจากตรงนั้น


นี่คือ โศลกที่ยี่สิบสี่แห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา


วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความเจ็บที่มีค่า















โศลกที่ยี่สิบสาม "ความเจ็บที่มีค่า"

สมาธินี้มีคุณค่ามาก
นักปฏิบัติพึงรักษาไว้
ยอมให้กายแหลกเหลว
ยอมให้ขันธ์ถูกทำลาย
ไม่ยอมเลิกล้มการปฏิบัติกลางคัน
ผู้ไม่ปฏิบัติย่อมไม่เข้าใจ
แมลงตัวหนึ่งจับที่แขน
กำหนดจิตแผ่เมตตาให้
หากเคยทำไว้ก็ให้ทำคืน
แมลงตัวนั้นก็กัดทีหนึ่ง
กัดนี้จะมีเจตนาตอบสนอง
หรือมาทดสอบความตั้งใจ
นี่เป็นความเจ็บในธรรมครั้งแรก
เห็นความเจ็บจากกายแล่นเข้าใจ
ความเจ็บที่กลายเป็นอารมณ์ธรรม
ยอมเจ็บไม่ยอมทิ้งสมาธิ
นี่เป็นเจ็บที่งดงามเหลือเกิน




ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้จำนวนมากถึงบุคคลผู้กระทำอะไรอย่างไม่ย่อท้อ กระทำไปจนสุดกระบวนการ กระทำไปด้วยความพากเพียรพยายาม ฝ่าฟันอุปสรรคนานาที่เกิดขึ้น ตามสำนวนจีนที่ว่า “น้ำมากั้นทำนบ ศึกมาตั้งทัพสู้” หมายความว่า ในขณะที่ทำงานไปนั้นจะพบกับปัญหาหลากหลาย ปัญหาใดมาก็แก้ไข การจะไม่ให้มีปัญหานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ประวัติบุคคลผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายบ่งบอกเสมอว่า ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จมานั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง คนที่อ่านประวัติผู้อื่นแล้วเข้าใจว่าเป็นเรื่องง่ายก็ลองทำดู แต่ละขั้นตอนแลกมาด้วยค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไปเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอดหลับอดนอน ไม่ว่าจะลืมทานข้าวทานปลา ไม่ว่าจะเป็นการจากบ้านจากเรือน ไม่ว่าจะเป็นขาดการติดต่อกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นยอมแลกกับคนที่ตนรัก ทุกค่าตอบแทนเหล่านี้ผู้ที่ขึ้นไปยืนอยู่บนความสำเร็จผ่านมาทั้งสิ้นไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง


ยังไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม เป็นการใช้ทุกค่าตอบแทนที่กล่าวไว้ทั้งหมดและยังเพิ่มอีกประการหนึ่งคือ แลกมาด้วยชีวิต เมื่อเปรียบเทียบระหว่างชีวิตกับธรรมแล้วเป็นสิ่งที่เปรียบเทียบกันไม่ได้ ชีวิตมีค่าอยู่ที่ธรรม เนื่องด้วยธรรม เป็นไปด้วยธรรม ธรรมในที่นี้หมายเอาการปฏิบัติบำเพ็ญสมณธรรม ขันธ์นี้ ชีวิตนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย เป็นเพียงแค่กองสังขารที่ดำเนินไปตามพลังกรรมที่สะสมไว้ จุดหมายปลายทางและหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนก็คือการใช้ขันธ์นี้ทำลายขันธ์นี้ให้สิ้นสุดลงก็เท่านั้น ไม่ให้เวียนว่ายตายเกิดอีก เป็นการหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารอันยาวนานนี้ ไม่พึงพอใจกับการเวียนว่ายตายเกิดอีก มีแต่สั่งสมบารมีให้เต็มเปี่ยมเท่านั้น


ประวัติชีวิตของพระพุทธเจ้าตอนที่บำเพ็ญเพียรในชาติขันติวาทดาบส ก็ใช้ความอดทนอย่างยิ่งยวดในการบำเพ็ญเพียรบารมีธรรม เพื่อให้ธรรมนี้เจริญ รักษาไว้ซึ่งธรรม ไม่ยอมทิ้งธรรม ไม่ยอมมีจิตหวั่นไหว ละทิ้งธรรมในยามได้รับทุกข์ เหตุการณ์เกิดขึ้นดังนี้ พระราชาองค์หนึ่งมีโอรสสองพระองค์ พระโอรสองค์โตนั้นเป็นพระโพธิสัตว์มีอุปนิสัยชอบบำเพ็ญเพียรสมณธรรมสั่งสมบารมี จึงไม่รับตำแหน่งเป็นอุปราช พระราชาบังคับอย่างไรก็ไม่ยินยอม ถึงกับยอมตาย ในที่สุดพระราชาก็ยินยอม และยกราชสมบัติให้กับพระราชโอรสองค์เล็กสืบต่อ เหตุการณ์ผ่านไปหลายปี พระราชาองค์ใหม่เสด็จประพาสป่าแล้วพลัดหลงกับข้าราชบริพารทั้งหลาย เหล่าข้าราชบริพารหลงทางไปพบกับฤาษีผู้เป็นพระโอรสองค์โต ทำความเคารพนอบน้อมฟังธรรมอยู่อย่างสงบ เมื่อพระราชามาพบภาพนั้น ก็เกิดความไม่พอพระทัยที่ข้าทาสบริพารของตนไปให้ความเคารพนอบน้อมต่อฤาษีเช่นนั้น พระองค์จึงกล่าวตู่ฤาษีว่า เป็นผู้ล่อลวงให้ข้าทาสบริพารทั้งหลายเชื่อ แม้ฤาษีจะปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น อธิบายเหตุผลให้ฟัง พระราชาก็ไม่ยอมรับ พร้อมกับใช้กำลังขู่ให้ฤาษียอมรับในการล่อลวง เมื่อฤาษีไม่ยอมรับ พระราชาจึงได้ใช้พระขรรค์ตัดอวัยวะของฤาษีออกทีละชิ้นเพื่อให้ยอมรับ เมื่อทำเช่นนั้นแล้วพระราชาก็จากไป


ด้วยผลแห่งการกระทำอันรุนแรงต่อท่านขันติวาทดาบส บ้านเมืองก็เกิดทุพภิกขภัย เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหลายรู้ว่าสาเหตุนี้เป็นเพราะพระราชาได้ทำร้ายพระโพธิสัตว์นั่นเอง จึงขอให้พระราชาไปขอโทษต่อฤาษี พระราชาหลังจากที่ได้ทำบาปกรรมนั้นก็มีพระทัยหม่นหมอง ทุกข์ระทม สำนึกได้ในผลกรรมชั่วที่ทำลงไปจึงได้เข้าป่าไปขอขมาต่อขันติวาทดาบส ท่านดาบสโพธิสัตว์ได้ตั้งสัจอธิษฐานต่อหน้าพระพักตร์ว่า หากแม้พระองค์มีจิตใจอาฆาตมาดร้าย หรือไม่พอใจต่อการกระทำของพระราชาแม้แต่นิดเดียว ขอให้อวัยวะที่ขาดไปอย่าได้กลับมาเหมือนเดิม แต่ถ้าตรงกันข้ามก็ขอให้อวัยวะที่ขาดไปกลับมา ด้วยสัจอธิษฐานนั้น อวัยวะของท่านฤาษีโพธิสัตว์ก็กลับมาเหมือนเดิม นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะทนทุกข์อย่างไร ไม่ว่าจะแลกมาด้วยชีวิตอย่างไร ก็ไม่อาจเปรียบเทียบกับธรรมที่ตนบำเพ็ญได้เลย ไม่อาจละทิ้งธรรมที่บำเพ็ญ


โศลกว่า “ไม่ยอมเลิกล้มการปฏิบัติกลางคัน” เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมได้ดำรงตนตั้งมั่นอยู่ในธรรมแล้ว ก็ไม่ยอมให้ธรรมที่ตนรักษานั้นขาดไปได้โดยง่าย ล้มเลิกโดยง่าย ละทิ้งไปโดยง่าย เหมือนกับใครที่ได้ทำธุรกิจของตน ได้ลงทุนไปเป็นจำนวนมาก การที่จะยอมล้มเลิกกิจการกลางคันง่ายๆ ไม่ใช่วิสัยของนักธุรกิจ ไม่ใช่วิสัยของพ่อค้า เฉกเช่นผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อได้ตั้งใจทำ อธิษฐานใจปฏิบัติธรรม ลงมือทำ ก็ต้องทำไปให้ถึงที่สุดจนกว่าจะได้พบกับผลอันน่าชื่นใจ จะให้ละเลิกง่ายๆ จะยอมละทิ้งธรรมง่ายๆ นั้นไม่ใช่วิสัยที่พระโยคาวจรพึงทำ ไม่ใช่วิสัยของวิญญูชน


ในประวัติศาสตร์มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อพระโคธิกะ ท่านได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียรสมณธรรมจนกระทั่งได้ฌานสมาบัติ แต่พอหยุดบำเพ็ญ ฌานก็เสื่อมถอย ภาวะแห่งวิถีปุถุชนก็เข้าครอบงำเหมือนเดิม เป็นอย่างนี้บ่อยๆ ท่านรู้สึกว่า การบำเพ็ญเพียรสมณธรรมของท่านนั้นยังไม่สมบูรณ์พอ ไม่เข้มแข็งพอ ไม่ถึงที่สุดพอ แต่จะทำอย่างไรให้การบำเพ็ญเพียรนี้ถึงที่สุดได้ ไม่มีทางอื่นนอกจากเชือดคอตนเองให้สิ้นชีวิตไปเสีย ดีกว่าจะยอมให้ฌานนั้นเสื่อมไปอีก เมื่อตกลงใจดังนั้นท่านจึงได้ใช้มีดเชือดคอตนเองอยู่ที่หน้าผา ในขณะที่ท่านเชือดคอตนเองใกล้สิ้นชีวิตนั้น อาศัยเวทนาเป็นกำลังกล้ามาพิจารณาธรรม ท่านจึงได้บรรลุธรรมพร้อมกับสิ้นชีวิตไป

ตัวอย่างนี้ย่อมอาจเป็นที่น่าสงสัยและแปลกใจสำหรับผู้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมว่า ทำไมท่านจึงทำอย่างนั้น นี่เป็นการฆ่าตัวตาย นี่เป็นการกระทำที่สุดโต่ง นี่เป็นการทำที่อยู่ในทางสายกลางหรือไม่ นี่เป็นการเบียดเบียนตนหรือไม่ แต่วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรมย่อมเป็นที่เข้าใจผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกันดี อย่าได้นำวิสัยของคนธรรมดา ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปมาตัดสินการกระทำของผู้ปฏิบัติธรรม เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นวิสัยของพระโยคาวจรและพระโพธิสัตว์

โศลกว่า “กำหนดจิตแผ่เมตตาให้” การปลูกความเอื้ออารีให้เจริญงอกงามลงในใจนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจำเป็นต้องทำ ต้องทำให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ต้องทำให้มากเข้าไว้ เพราะจิตที่เอื้ออารีนี้ย่อมนำมาซึ่งผลอันน่าชื่นใจเสมอ ใครที่ให้ความรักความเมตตาต่อผู้อื่นย่อมได้ความรักความเมตตาตอบ ความเมตตาเป็นความรักประเภทหนึ่ง แต่เป็นความรักในระดับมิติที่สี่ ความรักนั้นมี ๔ ระดับด้วยกัน คือ

๑. ความรักระดับกายภาพ คือ ความรักแบบเพศสัมพันธ์ (Sexual Love) ความรักในระดับนี้เป็นการตอบสนองความต้องการทางกาย (Handily or Physical needs) เมื่อมีความต้องการทางเพศขึ้นก็เริ่มมีความรัก เป็นความรักแบบหนุ่มสาว แบบคู่ครอง แบบชู้รักนั่นเอง เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเรื่องเพศเท่านั้น รักในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความรักแบบกายภาพนี้ ตราบใดที่ยังได้รับการสนองทางเพศสัมพันธ์ ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ยังคงความรักอยู่ได้ แต่พอไม่ได้รับการสนอง ความรักก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที

๒) ความรักระดับจิตภาพ เป็นความรักแบบเหตุผล (Rational Love) เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิด ความรักที่มีคำจำกัดความ เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนฐานของความลงตัวทางเหตุผล และประโยชน์ (Headily or Thoughtful Love) ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลในเชิงไหน บางคนก็รักกันตามเหตุผลเชิงธุรกิจ บางคนรักกันตามเหตุผลประเพณีวัฒนธรรม บางคนรักกันตามเหตุผลเชื้อชาติ ศาสนา บางคนรักกันบนเหตุผลชอบเหมือนๆ กัน ล้วนแล้วแต่ใช้ความคิดเป็นตัวแสดงความรักทั้งสิ้น ความรักระดับเหตุผลนี้ พอเหตุผลลงตัว ประโยชน์ลงตัว เรียกว่า “win win situation” ก็รักกันตราบนั้น แต่พอไม่ลงตัวก็จบกัน

๓) ความรักระดับอารมณ์ เป็นความรักแบบรู้สึก (Emotional Love) เป็นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก เป็นความรักของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน เป็นความรักความผูกพันที่ให้ต่อกันและกันตามสายใยที่เกิดขึ้น (Heartily or Relative Love) เช่น สายใยแห่งญาติพี่น้อง สายใยแห่งชนชาติเผ่าพันธุ์ สายใยแห่งศาสนา เป็นความรู้สึกที่มีให้กับผู้ที่มีสายใยต่อกัน ความรักระดับอารมณ์นี้ก็รักตามสายใย ถ้าต่างสายใยก็ทำใจรักไม่ได้ ถ้าเป็นลูกตนเองก็รักได้ แต่พอลูกคนอื่นทำใจรักไม่ได้ ถ้าเป็นเผ่าพันธุ์ ศาสนาตนเอง ก็รักได้ แต่พอต่างเผ่าพันธุ์ ต่างศาสนาก็ทำใจรักไม่ได้

๔) ความรักระดับเมตตา เป็นความรักแบบเอื้ออารี (Loving Kindness) เป็นความรักของผู้มีจิตเมตตา ไม่มีขอบเขตขวางกั้น เป็นการให้ธรรมคือความเอื้ออารีนี้แผ่ขยายไปในทุกคน (Spiritually or Universal Love) เป็นความรักระดับที่เท่าเทียมกัน ไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างเพศ วัย ระหว่างพืชสัตว์ คน เทพ สิ่งของ เป็นการแสดงความเป็นเพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ และตาย ความรักระดับเมตตานี้ ยิ่งแผ่เมตตาไป เมตตาก็ยิ่งเพิ่มพูน ยิ่งให้ความเอื้ออารี ก็ยิ่งทวีความเอื้ออารีอย่างไม่มีสิ้นสุด ยิ่งมีมิตรไมตรี ก็ยิ่งมีแต่ความเมตตาในใจงอกงาม

ในการบำเพ็ญเพียรสมณธรรม ให้แผ่เมตตาคือความรักระดับเอื้ออารีนี้ มีแต่จิตที่งดงามให้แก่กันและกัน แม้ว่าจะมีการเบียดเบียนกันเกิดขึ้นจากผู้อื่นหรือสัตว์อื่น ผู้ที่แผ่เมตตากลับทวีความเมตตาให้ เพราะความเมตตายังไม่มากพอ เขาจึงเบียดเบียน หรืออาจเป็นเพราะตนได้เคยเบียดเบียนเขาไว้ในกาลก่อน เขาจึงมาตอบแทนผลนั้น เมื่อรู้ดังนี้ก็ยินยอมพร้อมใจให้เขาทดแทน เมื่อทดแทนเสร็จแล้วก็ให้มีความรักความเมตตาต่อกันใหม่ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องตั้งจิตเมตตาไว้เสมอ ไม่สนองตอบการเบียดเบียนนั้น เพราะการสิ้นสุดแห่งเวรภัยย่อมไม่มีด้วยการกระทำตอบ แต่มีด้วยการอภัย แผ่เมตตาอารี เอื้อเฟื้อ อาทรต่อกันและกัน




โศลกว่า “นี่เป็นความเจ็บในธรรมครั้งแรก เห็นความเจ็บจากกายแล่นเข้าใจ” พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติย่อมสามารถแยกแยะเวทนาออกจากจิตได้ เวทนาก็เป็นเวทนา ความรู้สึกเจ็บก็เป็นส่วนเจ็บ ไม่นำมาปนกับจิตที่ปรุงแต่งต่อ จะเห็นได้จากผู้ที่ปฏิบัติจนถึงขั้นแล้วย่อมสามารถกำหนดจิตในการละสังขารได้ ขั้นที่หนึ่งละส่วนกายภาพ (Body) จากนั้นก็เป็นละความความคิด (Head) ความรู้สึก (Heart) และก็สุดท้ายก็เป็นจิตวิญญาณ (Soul) ใครก็ตามพิจารณาเห็นความเจ็บที่ไหลเข้าสู่กับรับรู้ของวิญญาณได้แสดงว่า เข้าถึงการแยกรูปนามได้


โดยปกติผู้คนทั้งหลายย่อมรับรู้ระหว่างความรู้สึกกับการรับรู้เป็นสิ่งเดียวกัน เนื่องจากไม่สามารถเข้าใจกระบวนการเกิดของทั้งสองสิ่งนี้และไม่สามารถมีสติกำหนดทันถึงกระบวนการที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเป็นเวทนา กระบวนการรับรู้เป็นอยู่ในขั้นปัญจวิญญาณสัมผัสชา เมื่อเกิดการรับรู้ขึ้นจากช่องทางใดช่องทางหนึ่งของขันธ์ ๕ ความรู้สึกจึงเกิด (ผัสสะทำให้เกิดเวทนา) ผู้ปฏิบัติย่อมกำหนดเห็นความเจ็บที่เกิดขึ้นกับกายไหลเข้าสู่กระแสความรู้สึกได้ ดุจดังการใช้เครื่องแยกแสงสว่างออกจากกระแสไฟได้ ในยามที่หลอดไฟติดแล้วก็รู้ว่า แสงสว่างมาพร้อมกับกระแสไฟฟ้า ความเจ็บที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัตินี้เป็นความเจ็บที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรม เพราะเป็นความเจ็บที่ถูกใช้มาพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ โดยมากเมื่อมีความเจ็บเกิดขึ้น ก็นำไปสู่การปรุงแต่งทั้งสิ้น ไม่ได้นำมาพิจารณาเช่นนี้ ความเจ็บกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับตัวเรา ตัวเราคือผู้เจ็บ ความเจ็บเป็นเรา แต่พอเป็นความเจ็บในธรรมนั้น ความเจ็บก็เป็นส่วนเจ็บ วิญญาณที่รับรู้ความเจ็บก็เป็นส่วนวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ดังนั้น ไม่ได้มีบุคคลผู้เจ็บอยู่ภายในนั้น แต่ด้วยความไม่รู้ว่าความเจ็บกับผู้เจ็บเป็นอะไร มีกระบวนการอย่างไร จึงตกอยู่ภายใต้มายานี้เสมอมา



เมื่อมีสติกำหนดเห็นความเจ็บที่เกิดขึ้นแล้วไหลเข้าไปสู่การรับรู้ความเจ็บนั้น ก็เป็นความงดงามของกระแสสิ่งที่เกิดขึ้นก็เท่านั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไร ความเจ็บที่เกิดขึ้นกับกายนี้เป็นปกติที่ต้องมี ถ้าไม่มีเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นความงดงาม เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ชีวิตย่อมมีความเจ็บปวดเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจ็บปวดที่เกิดจากการกระทำของสัตว์มีพิษในขณะปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นยุง เหลือบ ริ้น ไร มด แมลง ชีวิตนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เมื่อสัตว์ทั้งหลายก็เป็นธรรมชาติ ทุกอย่างจึงงดงามไม่มีอะไรให้ต้องวิตกกังวลในความเจ็บปวดทั้งสิ้น กลับยินดีที่ทำให้ได้นำความเจ็บนั้นมาพิจารณาในธรรมได้อีก
ความเจ็บปวดที่เป็นปัญหา ก็คือความเจ็บปวดที่เกิดจากความคิดของตนเองต่างหากที่อันตราย ผู้คนทั้งหลายสามารถฆ่ากันได้เพียงเพราะวาจาถากถาง ฆ่ากันได้เพียงแค่เหยียบหัวแม่เท้าของกัน ฆ่ากันได้เพียงแค่ได้ยินเขานินทา ฆ่ากันได้เพราะคำตำหนิเล็กน้อย ฆ่ากันได้เพราะจอดรถขวางทาง นั่นเพราะอะไร ก็เพราะความเจ็บที่เกิดจากความคิดของตนเองทั้งนั้น ไม่ได้เป็นความเจ็บที่งดงาม เป็นความเจ็บที่อัปลักษณ์อย่างยิ่ง ไม่ใช่ความเจ็บที่มีจริง เป็นแต่การสร้างขึ้นของจิตที่คิดเท่านั้น เป็นเพียงมายา แต่มายานี้กลับมีพลังสามารถทำให้คนเป็นบ้าได้ ทำให้คนโหดเหี้ยมได้ ทำให้คนเป็นโรคจิตได้ พวกนักจิตวิทยาทั้งหลายมีงานทำก็เพราะต้องมาแก้ไขความเจ็บประเภทนี้




การสร้างความเจ็บขึ้นมาเองของความคิดเป็นเรื่องที่แปลกและเป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ เป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับมนุษย์ ถ้าสัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่น ไม่ว่าเป็นสุนัข แมว วัว ควาย ช้าง ม้า รู้ว่ามนุษย์คือสัตว์ประเภทเดียวที่สร้างความเจ็บปวดขึ้นมาเองได้แล้วก็คร่ำครวญต่อความเจ็บปวดนั้นเสียเอง พวกมันคงหัวเราะเยาะกันไปทั่วว่า ทำไมต้องทำอย่างนั้น ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้มีจริงสักนิด เป็นแต่ความคิดสร้างขึ้นมาแล้วก็ยึดเอาว่านั่นแหละความเจ็บปวดที่ถูกผู้อื่นกระทำ ช่างน่าขำโดยแท้ ถ้าหากเป็นแผลอันเกิดจากการได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่เห็นต้องเข้าไปทุกข์ระทมกับมันเลย นั่นก็เป็นปกติของชีวิต พึงเห็นเป็นความงดงาม เป็นความบาดเจ็บที่งดงาม มันเกิดได้ก็หายได้ อย่าได้ถูกความคิดลวงเอาเลย อย่าได้ถูกพิษจิตปรุงแต่งทำร้ายเอาเลย พึงนำเอาความเจ็บที่จริงๆ มาพิจารณาเถิด



นี่คือ โศลกที่ยี่สิบสามแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา