การสื่อสารกับการบริหารอารมณ์อย่างมืออาชีพ
ผศ.ดร.สุวิญ รักสัตย์
www.goodthinkingtraining.com
ความเบื้องต้น
อารมณ์เป็นเจตสิกที่ชักนำจิตให้เกิดสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งนอกเหนือจากที่จิตทำงานของมันเอง
มาจากภาษาบาลีว่า “อารมณ์” แปลว่า สภาวะที่เกิดกับจิต สภาวะที่จิตยึดเอาไว้ ตามความเข้าใจในสำนวนไทย
คำว่า“อารมณ์”คือความรู้สึกที่สื่อให้เห็นถึงความกระเพื่อมของจิตที่แสดงท่าทีออกมา
บางทีก็ใช้คำว่า มีอารมณ์ อารมณ์จะมีขึ้นก็ต่อเมื่อถูกการกระตุ้นให้ออกมา เช่นการเห็นภาพเย้ายวนของเพศตรงข้าม
ก็จะเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมา หรือใครถูกยั่วโมโห ก็จะมีอารมณ์โกรธขึ้นมา
หรือใครถูกล่อด้วยเงินทองมาก ๆ ก็เกิดความโลภขึ้นมาด้วยเหตุนี้อารมณ์จึงเป็นเจตสิกที่ปรุงแต่งจิตให้เคลื่อนไหวรุนแรงยิ่งกว่าปกติ
ที่อยู่ของอารมณ์
ตามปกติอารมณ์จะนอนเนื่องอยู่ภายในถัดลึกลงไปจากความคิดระดับหนึ่ง
ความคิดเป็นทางเดินให้อารมณ์ประกอบเข้ามาได้ ตามกระบวนแห่งหลักปฏิจจสมุปบาทในพระพุทธศาสนา
อารมณ์จะอยู่ถัดจากการรับรู้ทางอายตนะและผัสสะ
การรับรู้ทางอายตนะและผัสสะนั้นเป็นกระบวนการทางจิต เมื่อจิตรับรู้จากอายตนะภายในและอายตนะภายนอก
หรืออารมณ์ภายนอกเข้ามากระทบกับอารมณ์ภายในแล้ว ก็จะนำไปสู่ระดับอารมณ์ทันทีถ้าหากอารมณ์นี้ประกอบไปด้วยอิฏฐารมณ์
คือน่าพอใจ ก็จะทำให้อารมณ์แสดงผลออกมาเป็นอารมณ์น่าพอใจ อยากได้
แต่ถ้าอารมณ์นั้นเป็นอนิฏฐารมณ์ คือสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์อันไม่น่าพอใจ
ก็จะทำให้อารมณ์นั้นไม่น่าพอใจตามไปด้วย อยากไปให้พ้นจากอารมณ์นั้นอารมณ์จึงเป็นขั้นของเวทนาคือความรู้สึกนี่เอง
นี่เป็นอารมณ์ปกติธรรมดา ยังไม่แสดงอาการแห่งอารมณ์ในระดับที่เข้มข้นขึ้น
การพัฒนาความคิด
ก่อนที่จะรู้จักวิธีบริหารอารมณ์ก็ต้องรู้เงื่อนต้นของอารมณ์ก่อน
ตามหลักการพัฒนาบุคคลในปัจจุบัน มีการจัดระดับของการพัฒนาอารมณ์ไว้เป็นลำดับที่สอง
ได้แก่ การพัฒนาจิต (Mental
Development) พัฒนาอารมณ์ (Emotional Development) พัฒนาสังคม (Social Development) และพัฒนาปัญญา (Intellectual
Development)ตามหลักการนี้ผู้จะพัฒนาอารมณ์ก็ต้องพัฒนาระดับจิตหรือความคิดก่อน
การพัฒนาจิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการพัฒนาจิตในระดับ Consciousnessหรือที่เรียกว่าฝึกจิตภาวนาที่ใช้กันตามหลักพระพุทธศาสนาแต่เป็นการพัฒนาจิตที่เป็น
Thoughtfulness คือการพัฒนาความคิดให้มีความคิดที่ดี
คิดในเชิงบวก (Positive Thinking) เท่านั้นความคิดเชิงบวกเป็นความคิดที่มีวิธีหลากหลาย
หนึ่งในวิธีที่ใช้กันมากก็คือ การคิดหาโอกาส การคิดแบบเปรียบเทียบจุดเด่น จุดด้อย
แต่ในที่นี้ต้องการให้รู้จักพัฒนาความคิดตามความเข้าใจกระบวนทัศน์ (Paradigm)
การรู้จักพัฒนาความคิดนี้ให้ไปถึงระดับที่ ๕ แล้ว
การพัฒนาอารมณ์ก็จะง่ายขึ้น
ความคิด ๕ ระดับ คือ
๑. ความคิดระดับความลึกลับ
(Myth)
๒. ความคิดระดับศรัทธา
(Faith)
๓. ความคิดระดับทฤษฎี (Bible)
๔. ความคิดระดับเหตุผลพิสูจน์ได้ (Science)
๕. ความคิดระดับเข้าใจ (Understanding)
การพัฒนาความคิดต้องมาถึงระดับความเข้าใจจึงทำให้การพัฒนาอารมณ์ได้ผล
เพราะอารมณ์เป็นระดับที่อยู่ต่อเนื่องจากความคิดนี้ ถ้าหากไม่มาถึงระดับที่ ๕
นี้จะก่อให้เกิดอันตรายขึ้น
อันเนื่องมาจากการยึดมั่นในความคิดของตนความคิดในระดับที่ ๑ ถึงที่ ๔ นี้
เป็นความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นซึ่งทำให้มีนำไปสู่การทำลายกัน ส่วนความคิดในระดับที่
๕ นั้นไม่นำไปสู่การทำลายกัน ดังแสดงตามแผนผังนี้
ความคิดระดับ๑-๔
|
ยึดมั่นถือมั่น
|
การแบ่งแยก
|
การแบ่งแยก
|
การแข่งขัน
|
การแข่งขัน
|
การไม่ไว้วางใจกัน
|
การไม่ไว้วางใจกัน
|
การทำลายกัน
|
การทำลายกัน
|
ความไม่สงบในสังคม
|
ความคิดระดับ๕
|
ไม่ยึดมั่นถือมั่น
|
การแบ่งหน้าที่
|
การแบ่งหน้าที่
|
การส่งเสริมกัน
|
การส่งเสริมกัน
|
การไว้วางใจกัน
|
การไว้วางใจกัน
|
การร่วมมือกัน
|
การร่วมมือกัน
|
สันติภาพ
|
การบริหารหรือพัฒนาอารมณ์
เมื่อพัฒนาจิตไปถึงระดับที่ ๕
แล้วก็สามารถพัฒนาอารมณ์ได้โดยง่าย เพราะความคิดระดับที่ ๕
นั้นส่งเสริมให้อารมณ์เป็นไปในทิศทางบวก (Positive Thinking)การฝึกบริหารอารมณ์หรือการพัฒนาอารมณ์ตามความเข้าใจที่ใช้กันทั่วไป
หมายถึง การรู้จักเก็บอารมณ์ ข่มอารมณ์ การควบคุมอารมณ์
การระงับอารมณ์โดยเฉพาะอารมณ์รัก โลภโกรธ หลง เช่น การฝึกระงับความโกรธ ข่มอารมณ์ทางเพศปล่อยวางอารมณ์หงุดหงิด
การฝึกตามแนวทางนี้นั้นเป็นเพียงแค่การใช้ยาระงับอาการเท่านั้น
พอยาหมดฤทธิ์อารมณ์ก็มาดั่งเดิม หรือหนักกว่าเดิม อารมณ์เหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน
อารมณ์ยังคงอยู่ภายใน ยังคงก่อตัวเป็นภูเขาไฟรอวันประทุอยู่ภายในนอกจากนั้นการข่มอารมณ์เช่นนี้มีผลข้างเคียงอีกด้วย
เพราะจะทำให้อารมณ์ที่ข่มไว้นั้นไหลไปสู่การปลดปล่อยช่องทางอื่นจะเห็นว่า
คนที่เก็บกดทางเพศจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวแทน หรือไม่ก็เงียบขรึมแทนหรือไม่ก็ชอบระบายกับผู้อื่น
การบริหารอารมณ์ที่ถูกต้อง ก็คือ
การฝึกเป็นนักสังเกตที่ดี เป็นนักเฝ้าดูที่ดีเท่านั้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
๑. เฝ้าดูการเกิดขึ้นของอารมณ์
๒. รับรู้ถึงอาการของอารมณ์
๓. รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงอารมณ์
๔. การสังเกตอารมณ์ลักษณะอารมณ์
๕. ดูอารมณ์อย่างเดียวไม่ตัดสินใดๆ
ทั้งสิ้น
การฝึกเรียนรู้อารมณ์ เฝ้าสังเกตอารมณ์
เป็นนักเฝ้าดูที่ดีเพียงอย่างเดียว ยิ่งอารมณ์ใดเกิดขึ้นรุนแรง ก็จะยิ่งเห็นอารมณ์นั้นชัดเจน
ถือว่าเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต
ในชีวิตใครคนหนึ่งจะมีเรื่องหรือมีโอกาสที่จะมีอารมณ์รุนแรงเกิดขึ้นไม่กี่ครั้ง
ให้ใช้โอกาสนั้นฝึกฝน อย่าปล่อยโอกาสหลุดไปเป็นอันขาด เมื่อฝึกเฝ้าดู สังเกต
เรียนรู้อารมณ์ได้ไวเท่าใด สติที่เฝ้ามองก็เจริญยิ่งขึ้นมากเท่านั้น นี่เป็นการบริหารอารมณ์ที่ยั่งยืน
เป็นการพัฒนาอารมณ์แบบผ่าตัด ระดับเปลี่ยนแปลงโมเลกุลทางอารมณ์เลยทีเดียว
การสลายอารมณ์
หลังจากที่เป็นนักเฝ้าดูที่ดีแล้ว
รับรู้ เห็น และเข้าใจอารมณ์แล้ว ยังไม่หมดขั้นตอนเท่านั้น
จะต้องเข้าใจวิธีการสลายอารมณ์ด้วย อารมณ์นั้นเป็นกระบวนการทางจิตที่ลึกมาก
ถ้าหากไม่มีวิธีสลายก็อาจถูกอารมณ์หวนกลับมาเล่นงานอีกเช่นเคย ดูได้จากบางคนเป็นคนใจเย็น
เป็นคนรักษาอารมณ์ได้ดี ที่ทำได้เช่นนั้นก็เพราะไม่เคยได้รับการกระทบอารมณ์ที่รุนแรง
มักจะเข้าใจตนเองว่า ตนเองมีอารมณ์ไม่หวั่นไหว รู้ทันได้ แต่เมื่อใดถูกอารมณ์กระทบแรงๆ
จึงจะรู้ว่า สติที่มีอยู่นั้นไม่เจริญพอที่จะทันกับอารมณ์ที่เกิดและไม่สามารถสลายอารมณ์ให้กลายเป็นเพียงอาการไปได้
เพราะเมื่อใดยังไม่สลายอารมณ์ เคมีของอารมณ์ที่เป็นพลัง ๓ ประการ ได้แก่
พลังความอยากได้ พลังความอยากมี พลังความอยากเป็น และพลังความไม่อยากได้ ไม่อยากมี
ไม่อยากเป็น
(กามตัณหาภวตัณหาและวิภวตัณหา) ก็ยังคงครุกรุ่นอยู่ภายใน
เป็นเหมือนภูเขาไฟที่เย็นแล้ว แต่ไม่ได้หมายถึงจะไม่ประทุอีก
เมื่อตรวจสอบดูระดับของอารมณ์ตามมิติทั้ง
๔ แล้ว อารมณ์อยู่ในลำดับที่ ๓ ได้แก่
๑.
ระดับกายภาพ (Body)
๒.
ระดับจิตภาพ (Mind)
๓.
ระดับอารมณ์ (Heart)
๔.
ระดับสภาวธรรม (Soul)
เนื่องจากอารมณ์เป็นระดับที่อยู่ใกล้กับฐานสุดท้ายของสภาวธรรม
การเลื่อนระดับไปถึงระดับที่ ๔ จึงเข้าถึงระดับสลายอารมณ์ให้เป็นเพียงสภาวธรรม
บริหารอย่างไรจึงชื่อว่าบริหารหรือฝึกอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง วิธีการก็คือ
เข้าไปเฝ้าดู เห็นอารมณ์โดยความเป็นกิริยาอาการเท่านั้นไม่ต้องตัดสิน
ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว มองอย่างเดียว ไม่อะไรในความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่มีสี
สัณฐาน ขนาด และรส การเห็นโดยความเป็นเพียงกิริยาเมื่อเห็นโดยความเป็นกิริยา สภาวะแห่งความเป็นกิริยาไม่สามารถนำมาขยายผลได้
ในที่สุดก็สลายไป กลายเป็นความว่างไปในที่สุด การเห็นอารมณ์โดยความเป็นสภาวะอย่างนี้เองเป็นการผ่าตัดอารมณ์ในระดับปรับเปลี่ยน
DNA ทำให้ผู้เฝ้าดูไม่หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในกิริยาอาการ
เพราะมันเพียงสภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเท่านั้น
ผลแห่งกิริยาเป็นเพียงปฏิกิริยา
ไม่ทำให้จิตนำไปสร้างเชื้อเก็บไว้ในภวังคจิตได้อีกต่อไป
สรุป
อารมณ์เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากสำหรับคนทุกคน
โดยเฉพาะผู้ที่ทำงาน
การทำงานถ้าหากไม่รู้จักบริหารอารมณ์จะทำให้ชีวิตนี้เกิดปัญหาขึ้นได้ แน่นอนแม้ว่าจะไม่สามารถสลายอารมณ์ในระดับปรับเปลี่ยน
DNA
เพียงแค่พัฒนาจิตเข้าถึงระดับที่ ๕ ก็นับว่ามาได้ไกลแล้ว
แต่ถ้าผู้ใดรู้จักบริหารอารมณ์ที่ถูกต้องได้อีกก็เชื่อได้ว่า ไม่เพียงแต่ทำงานได้อย่างมีความสุขเท่านั้น
ชีวิตนี้เข้าถึงเป้าหมายที่สูงสุดแล้วเป็นความสุขสูงสุดในชีวิตที่ไม่กลับกลายมาเป็นความทุกข์อีกด้วย