วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปลุกโลกให้ตื่น



คำที่ว่า “นกไม่รู้จักฟ้า ปลาไม่รู้จักน้ำ คนไม่รู้จักโลก” เป็นคำพูดที่แสดงออกทางปรัชญาที่น่าอัศจรรย์มาก บ่งบอกให้เห็นว่า การที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะรอบตัวนั้นกลายเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับตัวเขาไปอย่างแยกไม่ออก โลกที่บีบคั้นคน คนที่ตกอยู่ภายใต้กระแสวังวนแห่งโลก ยากยิ่งที่จะรับรู้ได้ว่า โลกนี้เป็นอะไร ตนจะทำอย่างไร

เปรียบอีกทางหนึ่ง มนุษย์ในโลกนี้กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน การหลับของมนุษย์นั้น เป็นภาวะที่แฝงอยู่ในความไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร ที่เรียกว่าตื่นรู้ มิใช่เรียนรู้ เรียนรู้เป็นการฝันให้เข้าใจสังคม ดำเนินชีวิต ทำงานได้ แต่จะไม่ตื่นรู้ว่า แท้จริงตนเองเป็นใครที่แท้ มิใช่เป็นใครในความหมายว่า เป็นลูกเต้าเหล่ากอใด แต่เป็นจิตที่สำนึกตน มีไม่กี่ครั้งที่มนุษย์ใกล้จะตื่น หนึ่งคือการกระเทือนต่อความรู้สึกอย่างยิ่งจะตื่น การอยู่ในสมาธิคือสภาวะใกล้จะตื่น การตกใจอย่างแรงก็ใกล้จะตื่น แต่พอออกจากสมาธิ หายตกใจทุกคนก็กลับไปสู่ความหลับอีกเช่นเคย และหลับสนิทด้วย หากใครมาปลุกมายุ่งมาเกี่ยวจะรู้สึกรำคาญทันที สังเกตคนที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความหลับใหล เขาจะโกรธ รำคาญ และไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งถ้าหากมีใครสักคนมาทำให้เขาตื่นขึ้น

การหลับมี ๒ ประเภท
๑)การหลับที่เป็นการพักผ่อนของกาย
๒)การหลับที่เป็นการไม่ตื่นของจิต

โปรดจงรู้ว่า มนุษย์นั้นก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายนั้นไม่เคยตื่นจากความหลับ เพราะสัตว์ไม่เคยรู้ว่าตัวมันเป็นอะไร นี่คือความหมายของคำว่า หลับ คนไม่เคยเข้าไปรู้เลยว่า ตนเป็นใคร ถามว่า ท่านเป็นใคร มนุษย์จะตอบได้แต่ว่า เป็นลูกคนนั้น เป็นหลานคนนี้ ตระกูลชื่อนั้น มนุษย์บอกได้เพียงนี้ ก็เท่ากับสัตว์ที่มันทราบแต่เพียงว่า มันเป็นสิงห์ ม้า ลา ช้าง แบบสัญชาตญาณของสัตว์เท่านั้น มนุษย์ไม่ได้ตื่นจากความเป็นสัตว์ของตนได้

ในโลกนี้มีคนที่ตื่นแล้วไม่มาก ท่านเหล่านั้นได้พยายามปลุกคนอื่นๆ ทั่วทั้งโลกให้ตื่นเช่นเดียวกับตน แต่เป็นงานที่ยากลำบากมาก จำนวนคนที่หลับกับผู้ที่ตื่นนับเป็นเปอร์เซ็นต์แทบไม่ได้ ท่านเหล่านั้นต้องใช้พลังมากที่จะปลุกคนทั้งโลกให้ตื่น เพราะในความหลับนั้นสามารถสร้างผลกำไรได้มาก เหมือนกับคนๆ หนึ่งที่ฝันว่าตนอยู่บนปราสาทราชวัง มีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่คุณกำลังปลุกเขาให้ตื่นว่าเขาเป็นเพียงคนขอทานข้างถนนเท่านั้น มีแต่ขอทานที่ฝันเป็นจักรพรรดิ จักรพรรดิไม่เคยฝันเป็นจักรพรรดิ นี่เป็นตรรกะง่ายๆ ขอทานนั้นกำลังลงทุนในความฝันของตน เขาจะปกป้องฝันของเขาไม่ให้สลายไป จะไม่ยอมตื่นเด็ดขาด เขาจะรำคาญไม่พอใจ จะต่อต้านคุณว่า คุณมายุ่งกับชีวิตฉันทำไม คุณสามารถยอมปลุกคนที่กำลังฝันหวานได้หรือ


แม้ว่าคุณปลุกเขาได้ครั้งหนึ่งเขาก็จะกลับไปหลับเหมือนเดิม เพราะเมื่อเขาตื่นขึ้นเขาเป็นเพียงขอทานเท่านั้น ในความฝันเขาเป็นถึงจักรพรรดิ การเข้าไปลงทุนในความฝันเป็นจิตวิทยาเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้คนที่ทำงานนี้มาก่อนไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิธรรม เหลาจื้อ โสเครตีส เฮราคลิตัส ต่างไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ทำอย่างเต็มที่ ท่านเหล่านั้นเขย่าคนที่หลับอยู่ แต่แล้วคนก็ยังคงหลับใหล เมื่อเขาถูกปลุกให้ตื่น สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองปลุกเขาให้ตื่น แต่ไม่ พวกเขาไม่ตื่น สงครามโลกครั้งที่สามจะป้องกันได้ก็ต่อเมื่อมีคนตื่นมากเพียงพอเท่านั้น คนต้องกำลังติดเชื้อปลุกคนต่อๆ ไปเท่านั้น ทำเป็นลูกโซ่ และก็ต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะเวลามีไม่มากพอ มิฉะนั้นคนที่หลับใหลพวกนี้กำลังจะทำลายโลกนี้ให้สิ้นไป



นักการเมืองเป็นคนหลับใหล เพราะไม่มีคนที่ตื่นคนใดเป็นนักการเมืองได้ เพราะอะไร ก็เพราะพวกเขาไม่อาจโกหก หรือไม่อาจให้สัญญาในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ได้ ไม่มีคนที่ตื่นแล้วคนใดเป็นการเมืองได้ เพราะเขาไม่มีความอยากให้อัตตาของเขาเต็มอีก เพราะท่านไม่มีอัตตาเหลืออีก อัตตาอยู่ได้ในตัวตนที่ปลอมในความหลับเท่านั้น พอตื่นขึ้น อัตตาก็ทำงานไม่ได้ ไม่มีคุณประโยชน์ใด ก็เมื่อคุณอยู่ตรงนั้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป คนที่รู้ตนเองจึงเป็นที่ไม่มีปมด้อยอีกต่อไป แม้ว่าคุณกำลังเป็นทุกข์อยู่กับปมด้อยนั้น คุณก็ไม่ต้องการภาวะผู้นำใดๆ ไม่ว่าจะเป็นสังคม ศาสนาและนักการเมือง คุณไม่มีฐานนั้น เพราะปมด้อยนำไปสู่การมุ่งหวังแรงบันดาลใจ เพราะเขาไม่ต้องการเป็นใครๆ อีกในโลกนี้ ในสายตาของเขาเอง เขาล้มเหลว แต่เขาต้องการพิสูจน์ตนเองว่า เราอยู่ที่นี่ พวกเราเคยอยู่ที่นี่ เขาต้องการจารึกชื่อเขาไว้ในประวัติศาสตร์ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าคนที่จารึกชื่อในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้นหายไปทีละคนสองคน กลายเป็นอ้างอิง แล้วก็เลื่อนไปอยู่ภาคผนวก แล้วก็ออกไปจากประตู


ตามธรรมดา มีใครบ้างที่ต้องการจารึกชื่อเขาไว้แล้วนำไปได้บ้าง แต่เขาก็ต้องการจารึกชื่อไว้ นี่ก็เป็นบทพิสูจน์ความเป็นสัตว์เท่านั้น เพราะสัตว์ทุกตัวมีสัญชาตญาณอยู่ นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า สัญชาตญาณหวงดินแดน สุนัขชอบเยี่ยวรดต้นไม้ เหมือนกับว่ามันกำลังทำการเซ็นชื่อมันไว้ มันมุ่งหมายว่า ต้นไม้นี้เป็นของกูแล้ว มันไม่ให้หมาตัวใดเข้าใกล้ หมาตัวอื่นเข้ามาได้กลิ่นเยี่ยวมันเข้า ก็รู้ว่าต้นไม้นี้มีเจ้าของ สัตว์ทั้งหลายทำเหมือนเดียวกัน ไม่ว่าสิงโต เที่ยวฉี่ราดรดไปทั่วบริเวณกว้างเพื่อให้สัตว์ตัวอื่นๆ รู้ว่ามันเป็นเจ้าของ

คนก็ทำเช่นเดียวกัน ประเทศที่เห็นอยู่นี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นการเยี่ยวรดไปตามเขตแดนต่างๆ ของคนเท่านั้น ทำเป็นเขตแดน นี่คืออเมริกา อินเดีย ไทย เขมร อังกฤษ จีน รัสเซีย เราได้กลิ่นว่านี่มันเป็นประเทศของใคร จะเข้าไปโดยไม่มีวีซ่า ไม่มีพาสปอร์ตไม่ได้ พวกเขาจะหวงและจะทำร้ายผู้ที่บุกรุกทันที แต่ถ้ามนุษย์ที่ตื่นแล้ว มีหรือที่จะทำอย่างนี้ ไม่เห็นจำเป็นต้อง ทุกคนอยู่ร่วมกันในโลกใบนี้ มีอิสระที่จะเดินทาง มีอิสระที่จะดำรงชีวิต มีอิสระที่จะรักกันและกัน แต่ความคิดเช่นนี้มีไม่ได้ในกลุ่มคนที่หลับอยู่

เพราะในความหลับของเขานั้น อัตตาของเขาเจริญเติบโต อ้วนพลี ได้รับการสูบฉีดสารอาหารอย่างสบาย ผ่านอะไร ผ่านการทำร้ายกัน ผ่านการเอาเปรียบกัน ผ่านการแย่งชิงผลประโยชน์กัน ผ่านการกักตุนสินค้าและครอบครองดินแดน ฯลฯ เมื่อใดก็ตามที่เขาตื่นขึ้น อัตตาของเขาจะสิ้นไป เป็นไปได้ยากที่อัตตานี้จะยินยอมง่ายๆ มีแต่ต้องปลุกแรงๆ กระตุ้นแรงๆ กระเทือนแรงๆ และเข้าใจก่อนว่าตนเองกำลังหลับใหลอยู่ พร้อมที่จะตื่นขึ้น หาวิธีตื่นขึ้น ร่วมมือกับผู้ที่ตื่นแล้วนั่นแหละจึงจะเป็นหนทางรอดพ้นจากอัตตา

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ระบบความเชื่อคือศัตรูตัวฉกาจ



การสร้างระบบความเชื่อทำให้คุณมีความมั่นใจที่จะสู้กับโลกนี้ได้ มันทำให้มนุษย์ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะระบบความเชื่อนี้เป็นบล็อกให้คุณเดินไปด้วยกัน คุณมีพวก คุณมีคนร่วมอุดมการณ์ คุณมีคนคอยปลอบประโลม เหมือนดังกับคำปลอบประโลมให้คุณเดินไปสู่สถานที่ฆ่าตัวตายด้วยคำกล่าวที่ว่า คุณกำลังจะพบกับพระเจ้า คุณกำลังเข้าใกล้พระเจ้า พระเจ้ากำลังรอรับคุณอยู่ที่นั่น คุณจึงมีกำลังใจที่จะเดินต่อไป เดินไปให้ไว เพราะคุณมีความหวังอยู่ที่นั่น โปรดจงรับรู้ไว้ว่า นั่นคือ ฝิ่นที่ทำให้คุณไม่รู้สึกตัว คุณไม่ทราบว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ และที่คุณมั่นใจว่า คุณทำถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อคุณเหลียวมองใครๆ เขาก็เดินไปกับคุณ

สมมติว่า มีใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า การที่ทุกคนเดินไปทางนั้นไม่ใช่ทางเดินที่ถูก ลองนึกดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนจะประณามคุณ จะกล่าวหาและรุมทำร้ายคุณ เพียงเพราะสาเหตุเดียวก็คือ คุณกำลังจะทำลายระบบความเชื่อที่มีคนสร้างไว้ เมื่อนั้นก็จะไม่มีใครเดินตามนั้น สังคมกลัวความยุ่งเหยิง สังคมไม่ชอบคนคิดแปลกแยก สังคมต้องการระบบ คิดดูก็ได้ว่า สังคมกลัวอย่างไร หากคนที่อยู่ในสถานดูแลคนบ้า กลายเป็นคนดี ไม่ยอมเชื่อฟังคนคุมอีก เขาจะทำอะไรได้ เขาไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์เป็นจริงแน่นอน เมื่อคนดีคนหนึ่งเดินเข้าไปสู่สถานที่อยู่ของคนที่ถูกมอมเมาให้บ้า แล้วบอกว่า พวกท่านกำลังถูกมอมเมาด้วยระบบความเชื่อ คนบ้าเหล่านั้นจะพากันชี้มือมาที่คุณแล้วกล่าวว่า เจ้าเองต่างหากที่บ้าไม่เป็นเหมือนพวกฉันอยู่คนเดียว


ทำอย่างไรจึงจะทำให้มนุษย์ค้นพบความจริง ไม่ใช่สิ่งที่ปลอบประโลมให้มีชีวิตอยู่ไปเป็นวันๆ นั่นก็คือ มนุษย์ต้องมองมาที่ตน มองเข้าไปข้างในตน มองให้เห็นความเคลื่อนไหวภายในใจตน เมื่อนั้นกำแพงเหล่านั้นกำลังถูกพังลงเป็นแถบๆ เมื่อมันถูกพังเป็นแถบๆ ความจริงจะเริ่มปรากฏทีละเล็กทีละน้อย และมันก็จะกว้างขึ้นๆ ความจริงมันเพียงอยู่หลังกำแพงนั้น กำแพงแห่งระบบความเชื่อนั้น เพียงแต่ทำลายกำแพงนั้นลง ความจริงก็จะปรากฏ โลกแห่งชีวิตที่แท้ก็จะปรากฏ ไม่ใช่โลกที่ต้องการการปลอบประโลม แต่เป็นโลกที่มีแต่ความจริงที่เป็นไปอย่างนั้น งดงาม น่าดู


ระบบความเชื่อเหล่านั้นมันคือ สิ่งประดิษฐ์ขึ้น มันถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่การค้นพบ ความแตกต่างระหว่างสร้างขึ้นกับการค้นพบอยู่ที่ สิ่งประดิษฐ์เป็นเรื่องที่คุณสร้างขึ้นมา มันคือผลผลิตจากมนุษย์ แน่นอนมันทำให้เกิดความอบอุ่นใจ แต่การปลอบโยนไม่ใช่ความจริง การปลอบประโลมใจมันคือ ฝิ่น คือยาเสพติด มันฉาบทาไม่ให้คุณตระหนักถึงความจริง มันทำให้ชีวิตของคุณผ่านไปโดยไว ๗๐ ปีนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่การค้นพบเป็นสัจธรรม ไม่ว่าใครจะคิด จะชอบใจ ไม่ชอบใจ จะวิจารณ์ จะหนี สนใจ ไม่สนใจ สัจธรรมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามนั้น สัจธรรมจะดำรงอยู่ ดำรงอยู่เพื่อให้ผู้มีปัญญาได้ค้นพบ และอยู่กับสัจธรรมนั้นให้ได้ ผู้อยู่กับสัจธรรมได้ก็กลายเป็นสัจธรรมเช่นกัน พิจารณาให้เห็นปรากฏการณ์ที่ปรากฏ ความคิดหลังปรากฏการณ์นั้น การดำรงอยู่ของปรากฏการณ์นั้น และความว่างของปรากฏการณ์นั้น นี่เป็นสัจธรรม ตัวท่านเองก็เป็นสัจธรรม แต่ท่านไม่เห็นมันเพราะท่านกำลังถูกระบบครอบงำอยู่ ท่านไม่ได้พิจารณาเห็น แต่ท่านกำลังถูกหลอกให้สวมหน้ากากเหมือนๆ กัน


ใครก็ตามที่สอนให้ระบบความรู้แก่ท่าน นั่นแหละคือศัตรูตัวฉกาจ โปรดจำไว้ เพราะว่า ระบบความเชื่อนั้นเป็นกำแพงที่ปิดตาของท่าน ไม่ให้เห็นความจริง ไม่มีความมุ่งหมายที่อยากจะแสวงหาความจริง ระบบความเชื่อเหล่านี้จะพามันให้หนีห่างไปจากใจของคุณตั้งแต่เริ่มต้น นี่แหละคือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ นี่แหละโศกนาฏกรรมของโลกมนุษย์

เราไม่ได้หมายความว่า ระบบความรู้ไม่มีประโยชน์ มีประโยชน์อย่างยิ่งในการประโลมให้คุณลืมชีวิตและสัจธรรมไง ท่านอาจรู้ตัวก็ต่อเมื่อเกือบสิ้นชีวิต หรือบางคนแม้กระทั่งสิ้นชีวิตไปก็ยังไม่ทราบว่า ระบบความรู้นั่นเป็นเป็นเพียงเครื่องประโลมใจให้คุณอยู่ในโลกได้อย่างราบรื่นเท่านั้น เพราะจะไม่มีใครมารบกวนท่าน เนื่องจากท่านกับทุกคนอยู่ในระบบความรู้เหมือนกัน สัจธรรมไม่ได้หนีหายไปไหน มันซ่อนอยู่เบื้องหลังระบบความรู้นั่นเอง มีแต่ประสบการณ์แห่งความจริงเท่านั้นที่กำจัดมันลงได้ ไม่ใช่ความเชื่อ


ความเชื่อที่เป็นอันตรายคือ belief ไม่ใช่ความเชื่อแบบ Trust ความเชื่อแบบbelief เป็นเพียงระบบความรู้ที่มนุษย์ร่วมกันสร้างขึ้นมา เช่นความเชื่อในวิทยาศาสตร์ ความเชื่อในทฤษฎีต่างๆ ความเชื่อในก้อนหิน ต้นไม้ ใบหญ้า ในศาสนา ในวัฒนธรรม ส่วนความเชื่อที่เป็น Trust นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แต่เป็นความเชื่อในความจริง จริงๆ ความเชื่อในทุกข์ ความเชื่อในสมุทัย ความเชื่อในนิโรธ และความเชื่อในมรรค เป็น Trust ที่คุณไม่ต้องสร้าง เพราะมันดำรงอยู่จริงอย่างนั้น

พึงระมัดระวัง ระบบความเชื่อในความรู้ทั้งหลาย นั่นเป็นกับดักที่อันตรายสำหรับมนุษยชาติ มันจะผูกมัดให้ท่านจมลง หลงใหล สร้างเป็นกฎ ล้อมคอกให้มนุษย์ตกอยู่ภายในระบบความเชื่อนี้ ระวังและระวัง พิจารณาและไตร่ตรอง

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตตามทฤษฎีเทพ

ชีวิตแบบเทพ (ทฤษฎีเทพ)




อยากจะแสดงให้รับทราบว่า มนุษย์สามารถเอาอย่างและดำรงชีวิตแบบเทพได้ ไม่ควรลดตัวลงแค่เป็นคน คือ ชอบของเหม็น

การดำรงอยู่แบบเทพ ก็เพียงแค่ มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปทั้งมวลเพียงเท่านี้ก็เริ่มขยับฐานะแห่งมาตรฐานชีวิตจากคนขึ้นสู่มนุษย์และจากมนุษย์ขึ้นสู่ขั้นเทพได้ทันที

ไม่เพียงแต่การเอาอย่างเทพในเรื่องคุณธรรมเท่านั้น แม้กระทั่งการมีคู่ชีวิตก็ควรยึดแนวตามทางแห่งเทพได้

ก่อนอื่นให้เข้าใจก่อนว่า ปัจจุบันนี้ สังคมได้ถูกทำให้บิดเบี้ยวไปตามความเข้าใจของกรอบศาสนาบางศาสนาเท่านั้น แล้วยัดเยียดแนวคิดของศาสนาที่ไม่ได้เข้าใจชีวิตมนุษย์ที่ปราศจากตัวตน (Ego) เป็นความคิดของคนที่เต็มไปด้วยการยึดมั่นถือมั่นแบบสุดโต่งเลยทีเดียว โดยระบุไว้ว่า ชีวิตของชายหรือหญิงต้องมีคนรักเพียงเท่านั้นคน เท่านี้คนจึงจะเป็นคนดีตามกรอบศาสนา ถ้าไม่เป็นดังนั้นก็จะถูกประณามทันที เหมือนดังการระบุว่า ทุกคนต้องทานขนมปังแทนข้าวจึงจะดี ถ้าไม่งั้นก็ใช้ไม่ได้ในสายตาของศาสนานั้น

ที่ยิ่งหนักไปกว่านั้น สังคมได้นำชีวิตความรักไปผูกไว้กับกระดาษใบหนึ่งเรียกว่า ใบทะเบียนสมรส ใบที่กฎหมายรับรอง เสรีภาพในชีวิต ความรัก ความไว้วางใจกลับถูกกำหนดด้วยกระดาษแผ่นนี้ นี่เป็นชีวิตมนุษย์ประเภทไหนกัน บางครั้งไม่ได้รักกันเลยแต่เป็นเพราะกระดาษแผ่นนี้ การประกาศตนต่อสังคมที่เรียกว่า แต่งงาน ทุกอย่างได้จบลงตรงนั้น ชีวิตหยุดเจริญเติบโตนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

สังคมได้ระบุไว้ว่า ความรักมีได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นี่เป็นความรักของสัตว์ประเภทไหน มีมากกว่านี้จะถูกสังคมและความรู้สึกของคนๆ นั้นที่ถูกสังคมสั่งสอนมาให้รับรู้เช่นนั้นประณามทันทีว่าเป็นคนไม่ดี สุดท้ายชีวิตความรักของคนในสังคมนี้ก็ถูกดองไว้ ทำให้เป็นพลาสติกไว้ ไม่อาจงอกงามได้ ใครที่ทำตนเคลือบไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สวมหน้ากากได้อย่างเนียน แสดงบทบาทคุณหญิงได้เนียน จะได้รับการยกย่องจากสังคม นี่เป็นการ Starve ชีวิตไว้อย่างน่าสลดหดหู่ที่สุด ชีวิตและความรักของคนได้นำขึ้นทะเบียนให้เป็นไปตามความคิดของสังคมกำหนด โดยเฉพาะสังคมที่เรียกว่า สังคมถูกเด็ดปีกตั้งแต่เกิดหรือสังคมหมาหางด้วนตั้งแต่เกิด พวกเขาจะสรรเสริญผู้ที่เชื่อฟัง แต่จะประณามผู้ที่ขัดขืน


มาดูสังคมของเทพ เทพนั้นเป็นสังคมที่ได้อะไรมาก็ได้ด้วยบุญ (การกระทำของตน) ไม่ได้รอให้ใครมาบอกหรือมาแบ่งให้ ไม่ว่าจะเกิด ดำรงอยู่ และสิ้นอายุไขไป ก็เป็นไปตามบุญของตน เป็นไปตามการกระทำของตน มีอิสระที่จะตัดสินใจ เทพบุตรตนหนึ่งจะมีความรักถ้วนหน้า ไม่รักเฉพาะเทพธิดาคนเดียว เทพธิดาก็ไม่ได้เกิดความคิดแม้สักนิด ถ้าหากจะมีเทพธิดาอื่นมารักเทพบุตรตนนั้น แต่กลับยินดีกับเทพธิดาตนนั้นที่มีโอกาสได้มาอยู่กับเทพบุตรที่มีบุญมาก บ่งบอกถึงบุญญาบารมีของเทพบุตรตนนั้น ความรักจึงเบ่งบาน ทุกคนเบ่งบาน สังคมเบ่งบาน ไม่ต้องนำไปผูกไว้กับความคิดของใคร ศาสนาของใคร

ในทางกลับกัน ถ้าหากเทพธิดาตนไหนต้องจากไป กลับเสียใจที่เธอหมดบุญเสียแล้ว ก็ยังแนะนำอีกด้วยว่า ถ้าเป็นไปได้ขอให้ทำบุญเพื่อที่จะได้มาอยู่ด้วยกันอีก นี่คือสังคมของเทพ เป็นสังคมอิสระตามกรรม ตามความคิดของตน ไม่ต้องนำไปผูกไว้กับกระดาษ หรือกับกระแสสังคมที่ต้องการและไม่ต้องการให้สิ่งใดเจริญงอกงามตามที่อัตตากำหนด


ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว การหย่าร้าง การยิงรันฟันแทง การหึงหวง การตบตี การแย่งชิงรักหักสวาทก็ไม่เกิด ปัญหาทุกอย่างจะจบลงทันที นี่ไม่ใช่เป็นการพูดเพราะเห็นแก่ได้ของพวกผู้ชาย เพราะนั่นเป็นอิสระของทุกคน เมื่อไม่มีบุญต่อกัน ก็ไม่ต้องบังคับให้เสียเวลา จะมาหรือจะไปทำตามอิสระ ตามบุญของตนได้เลย ต่างฝ่ายต่างเข้าใจในบุญกุศลของกันและกันอย่างนี้ทุกอย่างก็จบ นี่เป็นสังคมของเทพ ทุกคนพบกัน รักกันและกัน ตามเวลาและโอกาสที่มาถึง

มันช่างเป็นสิ่งที่น่าเกลียดและสลดหดหู่ ถ้าผู้ชายและผู้หญิงร่วมรักกับคนที่ตนเองไม่ได้รัก เพียงแต่สามีและภรรยาได้ทำหน้าที่ต่อกันและกันให้สำเร็จเท่านั้น ทำไมเขาร่วมรักกับภรรยาของตนแต่ใจกลับคิดถึงคนอื่น ผู้หญิงก็เช่นเดียวกัน นี่มันเป็นสังคมคนบ้าที่สร้างกันขึ้นมา ถ้าไม่รักกัน อย่างน้อยก็ในฐานะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน บอกตรงๆ มันง่ายและก็สวยงาม แต่ปัจจุบันนี้มันจบลงแล้ว

ถ้าหากใช้ระบบสังคมเทพ ก็จะไร้ปัญหาอื่นๆ ที่จะเกิดตามมาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโสเภณี ความเครียด โรคจิต นอกจากนั้น ลูกๆ ที่เกิดถือว่าเป็นความรับผิดชอบของสังคม ไม่ใช่ความรับผิดชอบของครอบครัว สังคมเทพจะดูแลกันและกันในที แต่จะไม่ก้าวก่ายกัน จะบอกเหตุให้ทุกคนทำ ถ้าเหตุดี ผลก็จะดี ถ้าเหตุไม่ดี ผลก็จะไม่ดี ก็เท่านี้ ถ้าเขาทำไม่ดี ก็ต้องตกไปสู่ระดับอื่น ไม่สามารถอยู่ตรงนั้นได้ก็เท่านั้น

ดูอย่างที่นางสุชาดา ภรรยามฆมานพตอนเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งพระอินทร์บนสวรรค์ ตอนที่เขาทำเหตุคือ สร้างถนนหนทางร่วมกันในตอนเป็นมนุษย์ แต่ตนเองไม่ทำ มัวแต่แต่งหน้าทาเล็บ พอสิ้นชีวิต ภรรยาคนอื่นๆ ก็ได้ไปเกิดร่วมกันบนชั้นดาวดึงส์ ขาดแต่นางสุชาดาเท่านั้นที่ไปเกิดเป็นนกกระยาง ท้าวสักกะต้องไปบอกเหตุคือ ให้รักษาศีลในวันอุโบสถ งดกินปลาเป็น พอทำได้ก็ไปเกิดแดนสวรรค์ได้

ควรมาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ หันมาสร้างสังคมเทพกันเถอะ เพราะความไม่ไว้วางใจกัน เพราะความไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ เพราะมีการเพาะบ่มในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข พ่อแม่ต้องใช้เวลาสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้กับสังคม ไม่ใช่ใช้เวลาทั้งหมดของชีวิตเพื่อสร้างอนาคตให้ลูก แต่ว่า ความเข้าใจผิดของผู้นำที่สอนไม่ถูกต้อง กลัวเด็กจะก้าวไกล กลัวสังคมจะเจริญมากไป จึงต้องสอนให้เด็กสูญเสียความเข้าใจถูกตั้งแต่เริ่มต้นจากครอบครัว นี่คือความน่าเสียดายของมนุษยชาติ


ลองนึกภาพสิว่า ถ้าหากเด็กเหล่านั้นเป็นความรับผิดชอบจากสังคม เด็กๆ จะต้องทุ่มเทตนเองให้กับสังคม เพราะเขาได้รับความรักจากสังคม ได้รับความอบอุ่นจากสังคม ทุกคนหันหน้าไปทางไหนก็พบแต่ญาติของตน อย่างนี้จะทำให้สังคมของมนุษย์เจริญก้าวไกลไปแค่ไหน ทุกคนรับผิดชอบในสังคมแบบช่วยกันทำเหตุ ไม่ยึดเทพธิดาใดเป็นสมบัติของตน ทุกคนเป็นสมบัติของกันและกัน มีอิสระต่อกันและกัน

สิ่งที่บดบังความคิดนี้ก็คือ ความหวาดระแวงกันและกันที่ถูกเพาะเชื้อไว้ในใจที่เกิดจากการสอนที่ผิดๆ คนจึงรับไว้ คำสอนเหล่านี้ส่งเสริมให้อัตตาเจริญงอกงาม เป็นไปไม่ได้ที่อัตตาจะยินยอมให้ใครต่อใครสูญเสียอัตตาไป มันต้องสร้างเสริมอัตตาให้มากจึงเป็นงานที่ตรงกันข้ามกัน


นี่คือ ชีวิตตามแนวทางแห่งเทพ พระพุทธศาสนาเมื่อกล่าวถึงชีวิตคู่แล้วจึงไม่ได้กำหนดว่าทุกคนต้องมีคู่ครองเท่านั้นคน เท่านี้คน หรือต้องให้ยึดถือไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เพียงแต่ให้แนวทางไว้ว่า จะต้องไม่แย่งชิงมาจากบุคคลอื่นที่เขารักที่เขาดูแล ที่เขาไม่ยินยอมพร้อมใจ และที่มีอยู่แล้ว ก็ยินดีในสามีภรรยาของตน (สทารสันโดษ) ถ้าหากเขาหมดบุญจากเราก็ไป ถ้าใครมีบุญกับเราก็มา ทุกอย่างเป็นไปด้วยบุญ และด้วยอิสระทางความคิดของตน ทุกวันนี้ในความคิดของชายหรือหญิงที่เป็นสามีภรรยากันและกัน ถือเป็นสมบัติที่เป็นวัตถุอย่างหนึ่ง ใครมายุ่งมีอันต้องข้ามศพไปก่อน หรือไปยุ่งกับใครก็ต้องข้ามศพไปก่อนเช่นกัน นี่เป็นความอัปลักษณ์ของชีวิตมนุษย์โดยแท้

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Vesak Day 54

บรรยากาศการสัมมนา
วันวิสาขบูชา มจร 2554




กราบนมัสการท่านซินติ้ง โฝวกวงซาน

















วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กระบวนทัศน์มัชเฌนธรรม : วัฒนธรรมแห่งอริยธรรม




กระบวนทัศน์มัชเฌนธรรม : วัฒนธรรมแห่งอริยธรรม

สังคมยุคก่อนพุทธกาล นักปราชญ์ทั้งหลายในยุคนั้นพยายามแสวงหาทางออกให้กับมนุษย์ที่ตกอยู่ภายใต้วังวนของความคิด ตกอยู่ภายในคำอธิบายของนักวิชาการของสังคมในยุคนั้น ซึ่งก็คือพราหมณ์ทั้งหลาย สังคมมีความสับสน มีความขัดแย้ง มีการเอาเปรียบ มีการเข่นฆ่า มีการหลอกลวง มีการคอรัปชั่น สังคมมีทฤษฎีทางออกของชีวิตที่ดีให้สมาชิกได้ดำเนินตาม ดูแล้วก็ไม่ต่างไปจากสถานการณ์ของวัฒนธรรมทางเลือกในปัจจุบัน ที่สังคมกำลังโหยหาความสงบสุข โหยหาสันติภาพ โหยหาทางออกให้กับมนุษย์ เมื่อพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นด้วยผลจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์ได้ประกาศทางออกแห่งชีวิตให้แก่สังคม สร้างเสริมวัฒนธรรมมนุษย์ให้พ้นจากความป่าเถื่อน และยังสร้างวัฒนธรรมของมนุษย์ให้ถึงจุดสูงสุด นั่นคืออริยวัฒนธรรม ในเบื้องต้นพระพุทธศาสนาได้สร้างความกระจ่างชัดเป็นเรื่องๆ ให้แก่สังคม เป็นการสร้างวัฒนธรรมให้สังคมพ้นจากความเถื่อนของมนุษย์ออกไปก่อน

ปฏิวัติความคิดเรื่องระบบวรรณะ (Caste System) ให้พ้นจากการดูถูกเหยียดหยามกัน ไม่ให้มองคนที่เผ่าพันธุ์ ตระกูล ผิวพรรณ รูปร่างหน้าตา หรือพวกพ้อง แต่มองที่การกระทำ การเข้าใจผิดในเรื่องนี้ทำให้เกิดความทะนงตน แล้วสร้างมาตรฐานทางสังคมที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นวัฒนธรรมธรรมชาติ เช่น โสณทัณฑพราหมณ์ซึ่งเป็นพราหมณ์อาวุโสครองนครจัมปาได้รับการห้ามปรามจากเหล่าพรามหณ์ไม่ให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะคำนึงถึงความบริสุทธิ์แห่งเผ่าพันธุ์ของตน คำนึงถึงความเหนือกว่าในด้านวิชาการของตน ไปพบพระพุทธเจ้าจะทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศพราหมณ์ ต้องเปลี่ยนความคิดเช่นนี้ก่อน วางมาตรฐานทางสังคมให้เป็นไปตามธรรมชาติก่อน

อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่ อัคคิภารทวาชพราหมณ์ผู้ที่ตะโกนเรียกพระพุทธเจ้าด้วยถ้อยคำอันเหยียดหยามว่า “คนถ่อย” แต่ไม่รู้สึกในความหยาบของตน แต่กลับเข้าใจว่าตนเป็นผู้สูงกว่าเพราะวรรณะ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนลักษณะความเป็นคนถ่อย และธรรมที่ทำให้เป็นคนถ่อยให้ทราบ และทำให้เข้าใจเสียใหม่ว่า บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติแต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม บุตรของคนจัณฑาลยังเป็นกษัตริย์ เป็นที่เคารพของเหล่ากษัตริย์และพราหมณ์ได้และเข้าถึงพรหมโลกได้ก็มีมาแล้ว พราหมณ์ก็ถูกประณาม ตกนรก เข้าถึงอบายทุคติก็มีมาแล้ว

ยังมีวัฒนธรรมที่บิดเบี้ยวในสังคมอีกหลายประการที่พระพุทธเจ้าทรงปรับ เปลี่ยน และประยุกต์ บูรณาการ เช่น การซื้อขายทาส การบูชายัญ การเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต การเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง แม้กระทั่งเรื่องของกิริยามารยาทอันไม่เหมาะสมต่างๆ พระพุทธเจ้าก็ต้องปรับหมด ทำให้สังคมที่ไร้วัฒนธรรมเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมขึ้น จากสังคมที่มีวัฒนธรรม ก็ปรับฐานวัฒนธรรมด้วยกระบวนทัศน์มัชเฌนธรรม คือกระบวนทัศน์สายกลางทำให้เป็นสังคมแห่งอริยธรรมในที่สุด

เมื่อสังคมกลับมาสู่ฐานวัฒนธรรมที่ถูกต้อง เป็นธรรมชาติ ไม่บิดเบี้ยว เป็นสังคมฐานปัญญา (Wisdom Based Society) ปัญญาในที่นี้ต้องเป็นปัญญาแบบสัมมาทิฏฐิ มิใช่ปัญญาแบบศรีธนญชัย อาศัยปัญญานี้เองจึงจะเข้าใจกระบวนทัศน์มัชเฌนธรรม หรือวัฒนธรรมสมดุลได้


ในประเด็นการวัดคนด้วย GDP หรือ GNH ก็ล้วนแต่ตกไปสู่ส่วนสุดข้างใดข้างหนึ่ง เป็นการมองไปที่ผล ไม่ใช่ที่เหตุ ใช้ GDP เป็นตัววัดความเจริญ ก็จะเกิด GDT ใช้ GNH วัดความเจริญ ก็จะทำให้เกิด GNL (Gross National Lazy) อีกประการหนึ่ง ความสุขเป็นนามธรรมที่จะต้องมีสิ่งหล่อเลี้ยงด้วยปัจจัยอันหลากหลาย การที่คนๆ หนึ่งเจ็บป่วยอยู่ แต่จะให้คนเจ็บป่วยอย่างมีความสุขนั้นเป็นไปได้ยาก เพียงเฉพาะค่าพยาบาลรักษาก็จำเป็นต้องใช้จ่าย ก็เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดความเครียดได้แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงภาวะแห่งจิตใจที่ได้รับผลกระทบจากการเจ็บป่วย ยากที่จะทำใจให้มีความสุขในยามเจ็บป่วยได้

ประเทศไทยเปรียบเสมือนคนที่เจ็บป่วย จำเป็นต้องได้รับการเยียวยา ความสมดุลจำเป็นต้องมีทั้ง GDP and GNH เป็นความสมดุลที่มองทั้งส่วนที่เป็นวัตถุและจิตใจ ความมีอยู่มีกิน กินดีอยู่ดีมีค่าครองชีพอันเหมาะสม ก็คือการดูที่ GDP ความเป็นผู้มีจิตใจเพียงพอ เอื้ออาทร สละแบ่งปัน สุขใจ ก็ต้องคำนึงถึง GNH ดังนั้น ความสมดุลจึงอยู่ที่กายและใจการวัดความเจริญของคนในชาติก็ต้องมองไปทั้ง ๒ ด้าน ได้แก่ GDHP (Gross Domestic Happiness and Product)


ประเด็นสำคัญอยู่ที่ทำอย่างไรจึงจะสร้างทั้งสองส่วนนี้ไปด้วยกัน ไม่หนักไปทางใดทางหนึ่ง สมเด็จพระราชาธิบดีประเทศภูฏานใช้หลักอยู่ ๔ ประการ เพื่อสร้างความสมดุลให้แก่คนในชาติ ได้แก่

๑.ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม อย่างยั่งยืนและเท่าเทียม (Sustainable and Equitable Socioeconomic Development)
๒.การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ (Conservation of Environment)
๓.การส่งเสริมและสงวนรักษาวัฒนธรรมประเพณี (Preservation and Promotion of Culture)
๔. ส่งเสริมการพัฒนาธรรมาภิบาล (Good Governance)

หลักการทั้ง ๔ ประการนี้เพียงพอที่จะสร้างความสมดุลให้เกิดในชาติ ทำให้ชาติมีทั้งความสุขและมีทั้งเงินทองเลี้ยงชีพอย่างไม่ทุกข์ร้อน แต่ปัจจัยสำคัญมิใช่อยู่ที่หลักการดีเพียงอย่างเดียวจำเป็นจะต้องมีหลักปฏิบัติด้วย (สมดุล) ในพระพุทธศาสนา เมื่อจะพัฒนาบุคคล สังคมใดๆ จำเป็นต้องมีทั้ง หลักการและหลักปฏิบัติ ได้แก่ หลักมัชเฌนธรรม (หลักการ) และก็หลักมัชฌิมาปฏิปทา (หลักปฏิบัติ)