“Anti Virus for Thai Society”
สังคมไทยนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมองผ่านสายตาของนักปรัชญาหลังนวยุคแล้ว ก็แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่
๑. ประเภทยึดโชคลาง
๒. ประเภทยึดเทพไท้เทวา สวรรค์ นิพพาน
๓. ประเภทยึดคัมภีร์ ตำรา แหล่งการศึกษา ครูอาจารย์
๔. ประเภทยึดเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
๕. ประเภทยึดอุดมคติปัจเจกสุดขั้วและพวกประนีประนอม
แต่ละประเภทนั้นมีสัดส่วนไม่เท่ากัน และในคนๆ เดียวอาจมีหลายประเภทด้วยกัน เพียงแต่ประเภทไหนจะสะท้อนออกมามากน้อยเท่านั้น เมื่อมองผ่านสายตานี้ก็พบว่า บัดนี้คนในสังคมไทยนั้นกำลังเปลี่ยนถ่ายความคิดที่ได้รับจากแหล่งวัฒนธรรมอื่น มันคือระลอกของการเปลี่ยนถ่ายวัฒนธรรม ในช่วงนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มีหลักในการปรับเปลี่ยนก็ทำให้วัฒนธรรมไทยเสียศูนย์ไปได้
ศูนย์ที่เสียไปของสังคมไทย
การเสียศูนย์ก็คือ การขาดความสมดุล ทำให้แนวทางในการดำเนินชีวิต การพัฒนาประเทศ และการกระทำทุกอย่างผิดพลาดไปจากเป้าหมายที่พึงเป็น เมื่อตรวจสอบสังคมไทยก็พบว่า มีการเสียศูนย์หลายประการ โดยจะแสดงไว้ตามประเด็น ดังนี้
๒. การเสียศูนย์ด้านความคิดวิเคราะห์
Anti Virus for Thai Society
ในการปราบไวรัสที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย จนทำให้สังคมไทยอ่อนเปลี้ย เสียศูนย์ทั้ง ๓ ด้าน ดังที่กล่าวไว้แล้ว ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจความเป็นตนเองให้ชัดเจนก่อน อย่าได้จับตามกระแสของไวรัสที่แทรกแซง ป่วนเข้ามาจากแหล่งต่างๆ จึงขอเสนอเป็นขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ ๑
กลับมาสู่เกมของตนเองให้ได้ หมายความว่า ต้องเข้าใจตนเอง เกมของตนเองให้ชัด ต้องกลับมาสู่เกมของตนให้ได้ก่อน เกมของสังคมไทย ก็คือ เกมแห่งการเล่นตามฐานพระพุทธศาสนา เมื่อรู้จักตัวตนที่แท้ของคนไทยและสังคมไทยแล้วค่อยดำเนินการขั้นต่อไป
ขั้นตอนที่ ๒
ใช้หลักที่โดดเด่นของตนออกมา หมายความว่า หลักที่โดดเด่นของคนไทย บรรพชนไทยที่รักษาไว้โดยตลอด ก็คือ “ศรัทธาและปัญญา” หลักทั้งสองประการนี้เองที่สามารถสร้างสรรค์เกมให้กับสังคมไทยนับแต่อดีตจนถึงเกือบปัจจุบัน ที่ใช้คำว่า เกือบปัจจุบันก็เพราะในปัจจุบัน หลักทั้ง ๒ นี้ได้ถูกบั่นทอนทำลายไป ให้หนักไปข้างใดข้างหนึ่งจนทำให้เสียศูนย์ดังกล่าว
ขั้นตอนที่ ๓
เสริมตัวปรับสมดุลที่เรียกว่า ตัว Anti-Virus ในที่นี้ขอเสนอแนวทางแห่ง “ทฤษฎีโพธิสัตวจรรยามรรค” ทฤษฎีนี้เกิดจากการเข้าถึงพลังสร้างสรรค์อันเกิดจากปณิธานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของแนวทางการนำไปสู่การเป็นผู้รู้แจ้งมาปรับสมดุลวัฒนธรรมไทย
๑. มหากรุณาโพธิสัตวจรรยามรรค มองเห็นสรรพสัตว์เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องช่วยเหลือกันและกัน
๒. สัจธรรมโพธิสัตวจรรยามรรค เป็นพหูสูต ศึกษาข้อมูลและสัจธรรมทั้งหลายให้แจ่มแจ้ง เข้าใจ
๓. กิเลสโพธิสัตวจรรยามรรค รู้จักข่ม ระงับ กำจัด สลายกิเลสหรืออารมณ์ด้านลบให้หยุดลงหรือหมดไป
๔. พุทธภูมิโพธิสัตวจรรยามรรค ตั้งเป้าให้เป็นระดับจนถึงเป้าหมายสูงสุดไว้
ขั้นตอนที่ ๔ วิธีการใช้ Anti-Virus
Anti-Virus ตัวที่ ๑ เมื่อฉีดหรือใส่โปรแกรมเข้าไปแล้วจะทำให้เกิดความสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียในด้านกระบวนทัศน์ การปรับกระบวนทัศน์ อย่างน้อยให้ปรับมาสู่ขั้นที่ ๕ ก่อนที่เรียกว่า กระบวนทัศน์หลังนวยุค เฉพาะกระบวนทัศน์นี้จะเป็นเครื่องมือในการอยู่ในสังคมร่วมกันและกันได้ อันเนื่องมาจากความเข้าใจฐานกระบวนทัศน์อื่นๆ ได้อย่างถูกต้อง ไม่ตกไปยึดในฐานทั้ง ๔ ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ยึดมั่น ถือมั่น ขัดแย้ง อันตราย เพราะเมื่อเข้าใจว่า สรรพสัตว์นั้นร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ใส่ป้ายเข้าไปว่า เป็นศาสนานั้น ศาสนานี้ เป็นเผ่านั้น เผ่านี้ เป็นพวกนั้น พวกนี้ เพียงแต่เห็นเป็นคนด้วยกัน
Anti-Virus ตัวที่ ๒ เมื่อฉีดเข้าไป หรือใส่โปรแกรมเข้าไป จะทำให้เกิดสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียในด้านความด้อยทางข้อมูล เพราะจะทำให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ เข้าใจหลักที่เรียกว่า หลักวิชา และหลักความจริง หลักวิชานั้นสามารถเลี้ยงชีพได้ แต่หลักความจริงนั้นทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างเป็นสุข สัจธรรมเป็นสิ่งที่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นของชาติ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ศาสนา สถาบันทางความรู้ใด เมื่อถึงเวลาแก้ไขปัญหาก็มองออกว่า ผู้ใดใช้ความรู้หรือผู้ใดใช้ความรู้สึก ก็จะได้ตั้งหลักไว้ที่ ๒ หลักนั้น คือ บางปัญหาใช้หลักวิชา บางปัญหาใช้หลักสัจธรรม
Anti-Virus ตัวที่ ๓ เมื่อฉีดเข้าไป หรือใส่โปรแกรมเข้าไปจะทำให้เกิดความสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียทางด้านอคติ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอันเกิดจากความพอใจ ไม่พอใจ ความกลัวและไม่รู้ เพราะจะทำให้เข้าใจว่า การที่ตนเองยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และยึดคนอื่นเป็นศูนย์กลาง เมื่อยึดตนและผู้อื่นก็เกิดอารมณ์ที่เรียกว่า อคติทันที อันเนื่องจากการปรุงแต่งของจิตที่มีความไม่เข้าใจเป็นพื้นฐาน Anti-Virus ตัวนี้จะเข้าไปสลายการยึดมั่นศูนย์กลางทั้งตนและผู้อื่น เมื่อไม่มีใคร อารมณ์และกิเลสก็ได้ประสิทธิผลทันที
Anti-Virus ตัวที่ ๔ เมื่อฉีดเข้าไป หรือใส่โปรแกรมเข้าไปจะทำให้เกิดความสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียทางด้านการมองรอบด้าน เป้าหมายในแต่ละระดับอย่าพึงละเลย การมองรอบด้านใน ๔ มิติ ๓ ระดับ ๓ ระยะ นั้นจะต้องมีในใจเสมอ ๔ มิติ คือ มืด สว่าง หัวค่ำ และหัวรุ่ง ๓ ระดับ คือระดับตน ระดับผู้อื่น และระดับทั้งตนและผู้อื่น ๓ ระยะ คือ ปัจจุบัน อนาคต และหลุดพ้นจากกาลทั้ง ๒
ขอขยายประเด็นนี้ให้เห็นชัดอีกนิด การมองรอบด้าน ๔ มิติ คือ สิ่งบางสิ่ง คนบางคน เรื่องบางเรื่องนั้นมีทั้ง ดี ไม่ดี เกือบเสีย และเกือบดี เราต้องทราบมิฉะนั้นเราจะเหมาเข่งตลอด เพราะบางคนไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ใช่คนชั่ว เมื่อดูพฤติกรรมแล้วค่อนข้างเกือบดี ก็แปลว่า ต้องช่วยส่งเสริม หรือมีพฤติกรรมค่อนข้างเกือบชั่ว ก็ช่วยพยุง
มอง ๓ ระดับ ก็คือ สิ่งบางสิ่ง คนบางคน เรื่องบางเรื่องนั้นมีประโยชน์สำหรับตน แต่ไม่มีสำหรับผู้อื่น หรือมีเฉพาะผู้อื่น หรือมีทั้ง ๒ ก็ต้องรับรู้ เข้าใจ ยอมรับ
มอง ๓ ระยะ ก็คือ สิ่งบางสิ่ง คนบางคน เรื่องบางเรื่องนั้นมีประโยชน์เฉพาะปัจจุบัน ไม่มีในอนาคต หรือมีเฉพาะในอนาคตแต่ไม่มีในปัจจุบัน หรือว่า มีทั้ง ๒ ระยะ และมีเป้าหมายไปถึงขั้นสูงสุด คือการหลุดพ้นที่ยั่งยืน ก็ต้องรู้ เข้าใจ และยอมรับ
สรุป
Anti-Virus นี้จะทำให้สังคมไทย วัฒนธรรมไทยมีความเข้มเข็ง อยู่ในท่ามกลาง Virus ทั้งหลายได้ ถ้ามันแรง ก็พอกระทบบ้าง แต่ก็ไม่เสียศูนย์ แต่ถ้าเป็นตัวธรรมดา ก็ไม่มีผลใดๆ ขอให้ทุกคนกรุณา Download Anti-Virus “โพธิสัตวจรรยามรรค”กันทุกคน จะได้อยู่รอดปลอดภัยจากไวรัสร้ายทั้งหลายในสังคม
ความเบื้องต้น
สังคมไทยนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมองผ่านสายตาของนักปรัชญาหลังนวยุคแล้ว ก็แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่
๑. ประเภทยึดโชคลาง
๒. ประเภทยึดเทพไท้เทวา สวรรค์ นิพพาน
๓. ประเภทยึดคัมภีร์ ตำรา แหล่งการศึกษา ครูอาจารย์
๔. ประเภทยึดเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
๕. ประเภทยึดอุดมคติปัจเจกสุดขั้วและพวกประนีประนอม
แต่ละประเภทนั้นมีสัดส่วนไม่เท่ากัน และในคนๆ เดียวอาจมีหลายประเภทด้วยกัน เพียงแต่ประเภทไหนจะสะท้อนออกมามากน้อยเท่านั้น เมื่อมองผ่านสายตานี้ก็พบว่า บัดนี้คนในสังคมไทยนั้นกำลังเปลี่ยนถ่ายความคิดที่ได้รับจากแหล่งวัฒนธรรมอื่น มันคือระลอกของการเปลี่ยนถ่ายวัฒนธรรม ในช่วงนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มีหลักในการปรับเปลี่ยนก็ทำให้วัฒนธรรมไทยเสียศูนย์ไปได้
ศูนย์ที่เสียไปของสังคมไทย
การเสียศูนย์ก็คือ การขาดความสมดุล ทำให้แนวทางในการดำเนินชีวิต การพัฒนาประเทศ และการกระทำทุกอย่างผิดพลาดไปจากเป้าหมายที่พึงเป็น เมื่อตรวจสอบสังคมไทยก็พบว่า มีการเสียศูนย์หลายประการ โดยจะแสดงไว้ตามประเด็น ดังนี้
๑. การเสียศูนย์ด้านข้อมูล
ศูนย์ที่เสียไปทางด้านนี้นั้นก็คือ คนไทยขาดการแสวงหาข้อมูลที่ถูกต้อง โดยมากใช้ฐานความรู้จากความคิดของคนเป็นหลัก ซึ่งยังไม่เพียงพอ เพราะความคิดของบุคคลที่แสดงออกมานั้นโดยมากแสดงออกจากความรู้สึกนึกคิดของตน ความคิดนี้เป็นลักษณะปัจเจกมีความโน้มเองไปตามอคติสูง ตนเองคิดและเชื่ออย่างไรก็จะให้ข้อมูลตามนั้น ถูกผิดไม่ทราบ ผู้ที่รับความคิดนี้ไปจะต้องกลั่นกรองก่อน เพราะบางอย่างผิดจากความจริงมาก ยิ่งมาจากครูอาจารย์ ผู้เคารพนับถือ และผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย คนไทยนั้นไม่สงสัยเลยในวาจา ถ้อยคำ ข้อมูลที่ออกจากบุคคลเหล่านี้ ทำให้เสียศูนย์กันอย่างมาก
๒. การเสียศูนย์ด้านความคิดวิเคราะห์
ศูนย์ที่เสียไปด้านนี้ก็คือ คนไทยขาดการคิดแยกแยะ ซึ่งก็ต่อเนื่องจากศูนย์ที่เสียไปข้อที่ ๑ นั่นเอง เพราะไม่มีข้อมูลให้คิดเปรียบเทียบ วิเคราะห์ แยกแยะ ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นฐานในการวิเคราะห์ การจะวิเคราะห์อะไรได้จะต้องมีฐานข้อมูลพอสมควร จากนั้นก็ฝึกตั้งคำถามกับข้อมูลเหล่านั้น
๓. การเสียศูนย์ด้านมองให้รอบด้าน
ศูนย์ที่เสียไปในด้านนี้ก็คือ คนไทยมักมองเห็นประเด็นเดียว ด้านเดียว แล้วยึดแต่เพียงด้านนั้น ย้ำเฉพาะประเด็นนั้นเพื่อให้ด้านนั้นมีความชอบธรรมสมเหตุสมผลในความคิดของตน หาเหตุผลมาสนับสนุนด้านเดียวของตน เพื่อให้สังคมยอมรับ
จากศูนย์ที่เสียไปทั้ง ๓ ด้านนี้ก็เพียงพอที่จะทำลายระบบความคิดของคนไทย สังคมไทยไปอย่างสบาย การสูญเสียระบบความคิดก็เท่ากับเสียศูนย์ทั้งหมด เพราะจะไม่สามารถก่อสร้างสังคมให้เข้มแข็งได้ จะถูกไวรัสเหล่านี้บั่นทอนความคิดความอ่านให้กลายเป็นเพียงขยะทางความคิดเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดี
Anti Virus for Thai Society
ในการปราบไวรัสที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย จนทำให้สังคมไทยอ่อนเปลี้ย เสียศูนย์ทั้ง ๓ ด้าน ดังที่กล่าวไว้แล้ว ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจความเป็นตนเองให้ชัดเจนก่อน อย่าได้จับตามกระแสของไวรัสที่แทรกแซง ป่วนเข้ามาจากแหล่งต่างๆ จึงขอเสนอเป็นขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ ๑
กลับมาสู่เกมของตนเองให้ได้ หมายความว่า ต้องเข้าใจตนเอง เกมของตนเองให้ชัด ต้องกลับมาสู่เกมของตนให้ได้ก่อน เกมของสังคมไทย ก็คือ เกมแห่งการเล่นตามฐานพระพุทธศาสนา เมื่อรู้จักตัวตนที่แท้ของคนไทยและสังคมไทยแล้วค่อยดำเนินการขั้นต่อไป
ขั้นตอนที่ ๒
ใช้หลักที่โดดเด่นของตนออกมา หมายความว่า หลักที่โดดเด่นของคนไทย บรรพชนไทยที่รักษาไว้โดยตลอด ก็คือ “ศรัทธาและปัญญา” หลักทั้งสองประการนี้เองที่สามารถสร้างสรรค์เกมให้กับสังคมไทยนับแต่อดีตจนถึงเกือบปัจจุบัน ที่ใช้คำว่า เกือบปัจจุบันก็เพราะในปัจจุบัน หลักทั้ง ๒ นี้ได้ถูกบั่นทอนทำลายไป ให้หนักไปข้างใดข้างหนึ่งจนทำให้เสียศูนย์ดังกล่าว
ขั้นตอนที่ ๓
เสริมตัวปรับสมดุลที่เรียกว่า ตัว Anti-Virus ในที่นี้ขอเสนอแนวทางแห่ง “ทฤษฎีโพธิสัตวจรรยามรรค” ทฤษฎีนี้เกิดจากการเข้าถึงพลังสร้างสรรค์อันเกิดจากปณิธานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของแนวทางการนำไปสู่การเป็นผู้รู้แจ้งมาปรับสมดุลวัฒนธรรมไทย
๑. มหากรุณาโพธิสัตวจรรยามรรค มองเห็นสรรพสัตว์เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องช่วยเหลือกันและกัน
๒. สัจธรรมโพธิสัตวจรรยามรรค เป็นพหูสูต ศึกษาข้อมูลและสัจธรรมทั้งหลายให้แจ่มแจ้ง เข้าใจ
๓. กิเลสโพธิสัตวจรรยามรรค รู้จักข่ม ระงับ กำจัด สลายกิเลสหรืออารมณ์ด้านลบให้หยุดลงหรือหมดไป
๔. พุทธภูมิโพธิสัตวจรรยามรรค ตั้งเป้าให้เป็นระดับจนถึงเป้าหมายสูงสุดไว้
ขั้นตอนที่ ๔ วิธีการใช้ Anti-Virus
Anti-Virus ตัวที่ ๑ เมื่อฉีดหรือใส่โปรแกรมเข้าไปแล้วจะทำให้เกิดความสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียในด้านกระบวนทัศน์ การปรับกระบวนทัศน์ อย่างน้อยให้ปรับมาสู่ขั้นที่ ๕ ก่อนที่เรียกว่า กระบวนทัศน์หลังนวยุค เฉพาะกระบวนทัศน์นี้จะเป็นเครื่องมือในการอยู่ในสังคมร่วมกันและกันได้ อันเนื่องมาจากความเข้าใจฐานกระบวนทัศน์อื่นๆ ได้อย่างถูกต้อง ไม่ตกไปยึดในฐานทั้ง ๔ ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ยึดมั่น ถือมั่น ขัดแย้ง อันตราย เพราะเมื่อเข้าใจว่า สรรพสัตว์นั้นร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ใส่ป้ายเข้าไปว่า เป็นศาสนานั้น ศาสนานี้ เป็นเผ่านั้น เผ่านี้ เป็นพวกนั้น พวกนี้ เพียงแต่เห็นเป็นคนด้วยกัน
Anti-Virus ตัวที่ ๒ เมื่อฉีดเข้าไป หรือใส่โปรแกรมเข้าไป จะทำให้เกิดสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียในด้านความด้อยทางข้อมูล เพราะจะทำให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ เข้าใจหลักที่เรียกว่า หลักวิชา และหลักความจริง หลักวิชานั้นสามารถเลี้ยงชีพได้ แต่หลักความจริงนั้นทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างเป็นสุข สัจธรรมเป็นสิ่งที่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นของชาติ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ศาสนา สถาบันทางความรู้ใด เมื่อถึงเวลาแก้ไขปัญหาก็มองออกว่า ผู้ใดใช้ความรู้หรือผู้ใดใช้ความรู้สึก ก็จะได้ตั้งหลักไว้ที่ ๒ หลักนั้น คือ บางปัญหาใช้หลักวิชา บางปัญหาใช้หลักสัจธรรม
Anti-Virus ตัวที่ ๓ เมื่อฉีดเข้าไป หรือใส่โปรแกรมเข้าไปจะทำให้เกิดความสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียทางด้านอคติ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอันเกิดจากความพอใจ ไม่พอใจ ความกลัวและไม่รู้ เพราะจะทำให้เข้าใจว่า การที่ตนเองยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และยึดคนอื่นเป็นศูนย์กลาง เมื่อยึดตนและผู้อื่นก็เกิดอารมณ์ที่เรียกว่า อคติทันที อันเนื่องจากการปรุงแต่งของจิตที่มีความไม่เข้าใจเป็นพื้นฐาน Anti-Virus ตัวนี้จะเข้าไปสลายการยึดมั่นศูนย์กลางทั้งตนและผู้อื่น เมื่อไม่มีใคร อารมณ์และกิเลสก็ได้ประสิทธิผลทันที
Anti-Virus ตัวที่ ๔ เมื่อฉีดเข้าไป หรือใส่โปรแกรมเข้าไปจะทำให้เกิดความสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียทางด้านการมองรอบด้าน เป้าหมายในแต่ละระดับอย่าพึงละเลย การมองรอบด้านใน ๔ มิติ ๓ ระดับ ๓ ระยะ นั้นจะต้องมีในใจเสมอ ๔ มิติ คือ มืด สว่าง หัวค่ำ และหัวรุ่ง ๓ ระดับ คือระดับตน ระดับผู้อื่น และระดับทั้งตนและผู้อื่น ๓ ระยะ คือ ปัจจุบัน อนาคต และหลุดพ้นจากกาลทั้ง ๒
ขอขยายประเด็นนี้ให้เห็นชัดอีกนิด การมองรอบด้าน ๔ มิติ คือ สิ่งบางสิ่ง คนบางคน เรื่องบางเรื่องนั้นมีทั้ง ดี ไม่ดี เกือบเสีย และเกือบดี เราต้องทราบมิฉะนั้นเราจะเหมาเข่งตลอด เพราะบางคนไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ใช่คนชั่ว เมื่อดูพฤติกรรมแล้วค่อนข้างเกือบดี ก็แปลว่า ต้องช่วยส่งเสริม หรือมีพฤติกรรมค่อนข้างเกือบชั่ว ก็ช่วยพยุง
มอง ๓ ระดับ ก็คือ สิ่งบางสิ่ง คนบางคน เรื่องบางเรื่องนั้นมีประโยชน์สำหรับตน แต่ไม่มีสำหรับผู้อื่น หรือมีเฉพาะผู้อื่น หรือมีทั้ง ๒ ก็ต้องรับรู้ เข้าใจ ยอมรับ
มอง ๓ ระยะ ก็คือ สิ่งบางสิ่ง คนบางคน เรื่องบางเรื่องนั้นมีประโยชน์เฉพาะปัจจุบัน ไม่มีในอนาคต หรือมีเฉพาะในอนาคตแต่ไม่มีในปัจจุบัน หรือว่า มีทั้ง ๒ ระยะ และมีเป้าหมายไปถึงขั้นสูงสุด คือการหลุดพ้นที่ยั่งยืน ก็ต้องรู้ เข้าใจ และยอมรับ
สรุป
Anti-Virus นี้จะทำให้สังคมไทย วัฒนธรรมไทยมีความเข้มเข็ง อยู่ในท่ามกลาง Virus ทั้งหลายได้ ถ้ามันแรง ก็พอกระทบบ้าง แต่ก็ไม่เสียศูนย์ แต่ถ้าเป็นตัวธรรมดา ก็ไม่มีผลใดๆ ขอให้ทุกคนกรุณา Download Anti-Virus “โพธิสัตวจรรยามรรค”กันทุกคน จะได้อยู่รอดปลอดภัยจากไวรัสร้ายทั้งหลายในสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น