วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บุคลากรคุณภาพ คือหัวใจของความสำเร็จ

Man Power

ในการจะพัฒนา หรือบริหารองค์กรใดก็ตามปัจจัยที่สำคัญที่สุดในองค์กรนั้นคือ “คน” ในองค์กรพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน หากต้องการให้พระพุทธศาสนาเข้มแข็งบุคคลในองค์กรจะต้องมีความเข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพ กองทัพทุกกองทัพประการแรกสุดต้องฝึกฝนคนในกองทัพให้มีความพร้อมทุกๆ ด้าน ทุกๆ สถานการณ์เสียก่อน เมื่อฝึกฝนจนเข้มแข็งแล้วจึงสามารถปรับกระบวนทัพได้ดังที่มุ่งหมาย เผชิญกับการต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ แต่ถ้าทหารทั้งหลายขาดการฝึกฝน อย่าว่าแต่ปรับกระบวนทัพเลย เพียงแค่เดินไกลๆ ก็ล้มตายกันแล้ว


การพัฒนาคนให้มีคุณภาพนับเป็นเป้าหมายและกลยุทธ์หลักในการพัฒนาประเทศ สถาบันหรือองค์กรให้ก้าวไกล ประเทศไทยมีการวางเป้าหมายและกลยุทธ์ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาที่ยั่งยืนมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ และฉบับที่ ๙ โดยเน้นไปที่ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพสามารถรับความเปลี่ยนแปลงได้

องค์กรพุทธศาสนาก็ต้องมีแผนพัฒนาบุคลากรให้ได้รับการศึกษาที่สูงและมีความรู้ในด้านการบริหารจัดการอย่างถูกต้องรวมทั้งสร้างเสริมความพร้อมให้มีศักยภาพที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมยุคใหม่ ทันต่อกระแสโลกสากล และสามารถยกระดับขีดความสามารถในการดำรงอยู่ในโลกที่มีความเปลี่ยนแปลง และแข่งขันได้อย่างปลอดภัย หากต้องการเห็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า บุคลากรในสถาบันศาสนาต้องมีคุณภาพ ต้องประกอบด้วยความรู้ ความสามารถ ความเข้าใจศาสตร์ของมนุษย์ เข้าใจเชื่อมโยงระหว่างศาสตร์ของมนุษย์กับสังคมและสภาพแวดล้อม สามารถวิเคราะห์ประเมิน และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีระบบ มีความคิดสร้างสรรค์และมีวิสัยทัศน์ สามารถนำความรู้เชิงทฤษฎีไปประยุกต์สู่การปฏิบัติและการพัฒนางาน เพื่อเพิ่มศักยภาพของคนและขีดความสามารถในการพัฒนายั่งยืน


การจะทำการใดๆ ต้องดูที่คนก่อนเพราะถือว่าเป็นปัจจัยตัวแรกที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ปัจจัยองค์ประกอบอื่นๆ ดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะหากคนไม่มีคุณภาพ ต่อให้มีหลักการอย่างไรก็ไม่ได้ผล คนตามหลักองค์การจัดการต้องประกอบไปด้วย “4Hs +1B” ได้แก่

Head หมายถึง มีสติปัญญาดี มีความฉลาด มีไหวพริบ ช่างสังเกต
Heart หมายถึงมีกำลังใจดี มีความทุ่มเท รักการทำงาน มุ่งมั่น มีฉันทะในการทำงาน
Hand หมายถึงมีความเชี่ยวชาญ ชำนาญ มีทักษะ มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ
Health หมายถึง มีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์แข็งแรงร่างกายพร้อม ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน มีการดูแลรักษาสุขภาพเสมอ
Behavior หมายถึง ความพร้อมทางด้านพฤติกรรมที่ดี มีความกตัญญู อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ก้าวร้าว ไม่ประพฤตินอกกฎเกณฑ์


เมื่อได้บุคลากรลักษณะนี้แล้วจะต้องนำมาเข้า Course ฝึกอบรม เชิงปฏิบัติการให้พร้อมทุกๆ ด้านเพื่อจะได้ตัวแทนขององค์กรที่มีคุณภาพ เหมาะสำหรับการทำงาน เหมาะสำหรับการบริหารงาน เหมาะสำหรับการนำองค์ประกอบที่เหลือไปดำเนินการ เชื่อมั่นได้ว่า องค์กรนั้นๆ ย่อมต้องประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี
ในพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ฝึกฝนพระสงฆ์สาวกของพระองค์ให้ประกอบพร้อมด้วยคุณสมบัติเหล่านั้น เรียกหลักการจัดการนั้นสั้นๆ ว่า “วิชชา จรณสัมปันโน” คือถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ


จะเห็นได้ว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าจะส่งสาวกออกไปเผยแผ่นั้นจะต้องฝึกฝนให้สาวกเข้าถึงธรรมเสียก่อน เมื่อเผชิญกับปัญหาหนักหนาสาหัสเพียงใดก็อดทนต่อสู้ได้ ในส่วนของพระพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็จะส่องพระญาณในตอนเช้าว่าจะโปรดผู้ใดดี กล่าวคือ แสวงหาบุคคลที่มีสติปัญญาจะรับฟังฝึกฝนตามหลักธรรมได้ ดังนั้น พระเถระที่เป็นตัวแทนของพุทธศาสนานั้นจึงเป็นพระอริยสาวกเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นกองทัพธรรมที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยม จึงทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองภายในระยะเวลาอันสั้น และแผ่ขยายไปไกลในเวลาอันรวดเร็ว ก็ใช้หลักการเดียวกัน คือ คนต้องพร้อม

ถ้าหากใช้แนวที่พระพุทธเจ้ามาปรับในปัจจุบัน ก็ได้แก่การแสวงหาบุคคลที่จะมาเป็นชาวพุทธ การเข้าไปให้ทุนสร้างบุคคลที่มีสมองและสติปัญญาดีมาใช้งาน การดึงคนคุณภาพเข้ามาใช้งาน การเข้าไปมีส่วนร่วมกับองค์กรมาตรฐานที่เขามีอยู่แล้วให้เข้ามาเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การหาซื้อตัวนักฟุตบอลที่มีแววมาช่วยทีม เสริมทีม และทำทีม


ทำงานเป็นทีมขององค์กรพุทธ
การทำงานเป็นทีม (Team Work) มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการบริหารจัดการองค์กรยุคใหม่ ยุคที่มีองค์ประกอบทางสังคมซับซ้อน ดังนั้นจำเป็นต้องมีการประสานงาน สำหรับองค์กรพุทธก็เช่นเดียวกันจะต้องปรับการทำงานภายในองค์กรการทำงานที่เรียกว่า “One Man Show” นั้นไม่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้ ในยุคสมัยก่อนๆ อาจจะยังพอประคับประคองไปได้

ก่อนนั้นสำนักเรียนบาลี นักธรรม โรงเรียนปริยัติสามัญ หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์อาจแข่งขันกันและกันแต่ปัจจุบันควรมีการทำงานเป็นทีมจึงจะอยู่รอด องค์กรพุทธต้องแข่งขันต่อโลกที่กำลังไล่ล่าคณะสงฆ์ ทุกส่วนต้องหันมาทำงานเป็นทีมและสร้างทีมงานเสริมได้แก่การสร้างสมณะทายาทรุ่นต่อไป (Next Dharma Generation) ให้ทัน

การทำงานเป็นทีมต้องมีโรงเรียนฝึกฝน การทำงานเป็นทีมจะทำให้องค์กรนั้นดำรงอยู่ได้นาน และมีความเข้มแข็ง ไม่ใช่พอหมดผู้นำที่มีไฟ ก็เป็นต้องล้มลุกคลุกคลานหาทายาทกันใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ การจะสร้างคนมิใช่สร้างเสร็จภายในวันสองวัน ต้องสร้างกันยาวนาน ดังนั้น จำเป็นจะต้องสำรองหาทายาทที่มีไฟและอุดมการณ์เดียวกันไว้บริหารองค์กร สืบทอดเจตนารมณ์ ถ้าหากองค์กรเข้มแข็ง ทีมงานเข้มแข็งระบบจะผลักดันผู้ที่เข้ามาทำงานได้เอง เพราะถ้าบุคคลผู้เข้ามาทำงานไม่พร้อมก็จะอยู่ในระบบไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงกระทำเป็นตัวอย่างทำไว้แล้วในการตั้งเอตทัคคะของพระอสีติมหาเถระในการปฏิบัติงานตามความสามารถ การบริหารงานจึงดำเนินไปได้ แม้ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ก็ตาม แต่ระบบคือ พระธรรมวินัย เป็นระบบที่ดีให้คณะสงฆ์ต้องปฏิบัติตามนั้นเป็นไปเพื่ออุดมการณ์อันสูงสุด

ในการทำงานเป็นทีม ตัวอย่างในกระบวนการของ 6 Zigma จะใช้กลุ่มบุคคลที่ถือว่าเป็น Team Leaders ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบนี้ได้แก่


๑. Champion หมายถึง ผู้สนับสนุน ได้แก่ผู้จัดการอาวุโสที่มีส่วนในการสนับสนุน อนุมัติเงินมีส่วนรับผิดชอบร่วมกันต่อผลสำเร็จของการจัดการบุคคลในกลุ่มที่หนึ่งนี้ต้องได้รับการอบรม และผ่านการคัดเลือกมาแล้ว
๒. Master Black Belt หมายถึง ผู้มีความชำนาญเชิงสถิติ มีความเป็นผู้นำ มีหน้าที่ฝึกฝนบุคคลในบุคลากรให้อยู่ในระดับสายดำ
๓. Back Belt คือ ผู้บริหารที่เป็นTeam Work ที่ได้รับการฝึกฝนจากกลุ่มบุคคลระดับที่สอง
๔. Green Belt คือ สมาชิกของทีมที่ ๓ มีหน้าที่ทำงานตามตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย

จะเห็นได้ว่า บุคคลทั้ง ๔ กลุ่มนี้คือ ผู้ขับเคลื่อนงาน (Run) ให้มุ่งไปสู่ทิศทางที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพหากปรับระดับนี้มาสู่วิธีการทำงานขององค์กรพุทธก็นับว่า เป็นการทำงานที่มีชีวิต มีแรงกระตุ้นที่มหาศาล ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ ด้านปฏิสัมพันธ์ ด้านสถานที่ต่อพุทธศาสนิกชนจนเป็นที่นับถือศรัทธายิ่งขึ้น แน่นแฟ้นในหลักธรรม ไม่สั่นคลอนง่ายๆ เคลื่อนไหวในรูปของพลังมวลชนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด





















(อ่านในหนังสือสารัตถะวิชาการพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มมร)






Anti-Virus for Thai Society

“Anti Virus for Thai Society”
ความเบื้องต้น

สังคมไทยนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมองผ่านสายตาของนักปรัชญาหลังนวยุคแล้ว ก็แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่
๑. ประเภทยึดโชคลาง
๒. ประเภทยึดเทพไท้เทวา สวรรค์ นิพพาน
๓. ประเภทยึดคัมภีร์ ตำรา แหล่งการศึกษา ครูอาจารย์
๔. ประเภทยึดเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
๕. ประเภทยึดอุดมคติปัจเจกสุดขั้วและพวกประนีประนอม
แต่ละประเภทนั้นมีสัดส่วนไม่เท่ากัน และในคนๆ เดียวอาจมีหลายประเภทด้วยกัน เพียงแต่ประเภทไหนจะสะท้อนออกมามากน้อยเท่านั้น เมื่อมองผ่านสายตานี้ก็พบว่า บัดนี้คนในสังคมไทยนั้นกำลังเปลี่ยนถ่ายความคิดที่ได้รับจากแหล่งวัฒนธรรมอื่น มันคือระลอกของการเปลี่ยนถ่ายวัฒนธรรม ในช่วงนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มีหลักในการปรับเปลี่ยนก็ทำให้วัฒนธรรมไทยเสียศูนย์ไปได้



ศูนย์ที่เสียไปของสังคมไทย
การเสียศูนย์ก็คือ การขาดความสมดุล ทำให้แนวทางในการดำเนินชีวิต การพัฒนาประเทศ และการกระทำทุกอย่างผิดพลาดไปจากเป้าหมายที่พึงเป็น เมื่อตรวจสอบสังคมไทยก็พบว่า มีการเสียศูนย์หลายประการ โดยจะแสดงไว้ตามประเด็น ดังนี้


๑. การเสียศูนย์ด้านข้อมูล
ศูนย์ที่เสียไปทางด้านนี้นั้นก็คือ คนไทยขาดการแสวงหาข้อมูลที่ถูกต้อง โดยมากใช้ฐานความรู้จากความคิดของคนเป็นหลัก ซึ่งยังไม่เพียงพอ เพราะความคิดของบุคคลที่แสดงออกมานั้นโดยมากแสดงออกจากความรู้สึกนึกคิดของตน ความคิดนี้เป็นลักษณะปัจเจกมีความโน้มเองไปตามอคติสูง ตนเองคิดและเชื่ออย่างไรก็จะให้ข้อมูลตามนั้น ถูกผิดไม่ทราบ ผู้ที่รับความคิดนี้ไปจะต้องกลั่นกรองก่อน เพราะบางอย่างผิดจากความจริงมาก ยิ่งมาจากครูอาจารย์ ผู้เคารพนับถือ และผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย คนไทยนั้นไม่สงสัยเลยในวาจา ถ้อยคำ ข้อมูลที่ออกจากบุคคลเหล่านี้ ทำให้เสียศูนย์กันอย่างมาก

๒. การเสียศูนย์ด้านความคิดวิเคราะห์
ศูนย์ที่เสียไปด้านนี้ก็คือ คนไทยขาดการคิดแยกแยะ ซึ่งก็ต่อเนื่องจากศูนย์ที่เสียไปข้อที่ ๑ นั่นเอง เพราะไม่มีข้อมูลให้คิดเปรียบเทียบ วิเคราะห์ แยกแยะ ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นฐานในการวิเคราะห์ การจะวิเคราะห์อะไรได้จะต้องมีฐานข้อมูลพอสมควร จากนั้นก็ฝึกตั้งคำถามกับข้อมูลเหล่านั้น
๓. การเสียศูนย์ด้านมองให้รอบด้าน
ศูนย์ที่เสียไปในด้านนี้ก็คือ คนไทยมักมองเห็นประเด็นเดียว ด้านเดียว แล้วยึดแต่เพียงด้านนั้น ย้ำเฉพาะประเด็นนั้นเพื่อให้ด้านนั้นมีความชอบธรรมสมเหตุสมผลในความคิดของตน หาเหตุผลมาสนับสนุนด้านเดียวของตน เพื่อให้สังคมยอมรับ
จากศูนย์ที่เสียไปทั้ง ๓ ด้านนี้ก็เพียงพอที่จะทำลายระบบความคิดของคนไทย สังคมไทยไปอย่างสบาย การสูญเสียระบบความคิดก็เท่ากับเสียศูนย์ทั้งหมด เพราะจะไม่สามารถก่อสร้างสังคมให้เข้มแข็งได้ จะถูกไวรัสเหล่านี้บั่นทอนความคิดความอ่านให้กลายเป็นเพียงขยะทางความคิดเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดี


Anti Virus for Thai Society
ในการปราบไวรัสที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย จนทำให้สังคมไทยอ่อนเปลี้ย เสียศูนย์ทั้ง ๓ ด้าน ดังที่กล่าวไว้แล้ว ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจความเป็นตนเองให้ชัดเจนก่อน อย่าได้จับตามกระแสของไวรัสที่แทรกแซง ป่วนเข้ามาจากแหล่งต่างๆ จึงขอเสนอเป็นขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ ๑
กลับมาสู่เกมของตนเองให้ได้ หมายความว่า ต้องเข้าใจตนเอง เกมของตนเองให้ชัด ต้องกลับมาสู่เกมของตนให้ได้ก่อน เกมของสังคมไทย ก็คือ เกมแห่งการเล่นตามฐานพระพุทธศาสนา เมื่อรู้จักตัวตนที่แท้ของคนไทยและสังคมไทยแล้วค่อยดำเนินการขั้นต่อไป

ขั้นตอนที่ ๒

ใช้หลักที่โดดเด่นของตนออกมา หมายความว่า หลักที่โดดเด่นของคนไทย บรรพชนไทยที่รักษาไว้โดยตลอด ก็คือ “ศรัทธาและปัญญา” หลักทั้งสองประการนี้เองที่สามารถสร้างสรรค์เกมให้กับสังคมไทยนับแต่อดีตจนถึงเกือบปัจจุบัน ที่ใช้คำว่า เกือบปัจจุบันก็เพราะในปัจจุบัน หลักทั้ง ๒ นี้ได้ถูกบั่นทอนทำลายไป ให้หนักไปข้างใดข้างหนึ่งจนทำให้เสียศูนย์ดังกล่าว


ขั้นตอนที่ ๓
เสริมตัวปรับสมดุลที่เรียกว่า ตัว Anti-Virus ในที่นี้ขอเสนอแนวทางแห่ง “ทฤษฎีโพธิสัตวจรรยามรรค” ทฤษฎีนี้เกิดจากการเข้าถึงพลังสร้างสรรค์อันเกิดจากปณิธานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของแนวทางการนำไปสู่การเป็นผู้รู้แจ้งมาปรับสมดุลวัฒนธรรมไทย

๑. มหากรุณาโพธิสัตวจรรยามรรค มองเห็นสรรพสัตว์เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องช่วยเหลือกันและกัน
๒. สัจธรรมโพธิสัตวจรรยามรรค เป็นพหูสูต ศึกษาข้อมูลและสัจธรรมทั้งหลายให้แจ่มแจ้ง เข้าใจ
๓. กิเลสโพธิสัตวจรรยามรรค รู้จักข่ม ระงับ กำจัด สลายกิเลสหรืออารมณ์ด้านลบให้หยุดลงหรือหมดไป
๔. พุทธภูมิโพธิสัตวจรรยามรรค ตั้งเป้าให้เป็นระดับจนถึงเป้าหมายสูงสุดไว้

ขั้นตอนที่ ๔ วิธีการใช้ Anti-Virus
Anti-Virus ตัวที่ ๑ เมื่อฉีดหรือใส่โปรแกรมเข้าไปแล้วจะทำให้เกิดความสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียในด้านกระบวนทัศน์ การปรับกระบวนทัศน์ อย่างน้อยให้ปรับมาสู่ขั้นที่ ๕ ก่อนที่เรียกว่า กระบวนทัศน์หลังนวยุค เฉพาะกระบวนทัศน์นี้จะเป็นเครื่องมือในการอยู่ในสังคมร่วมกันและกันได้ อันเนื่องมาจากความเข้าใจฐานกระบวนทัศน์อื่นๆ ได้อย่างถูกต้อง ไม่ตกไปยึดในฐานทั้ง ๔ ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ยึดมั่น ถือมั่น ขัดแย้ง อันตราย เพราะเมื่อเข้าใจว่า สรรพสัตว์นั้นร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ใส่ป้ายเข้าไปว่า เป็นศาสนานั้น ศาสนานี้ เป็นเผ่านั้น เผ่านี้ เป็นพวกนั้น พวกนี้ เพียงแต่เห็นเป็นคนด้วยกัน

Anti-Virus ตัวที่ ๒ เมื่อฉีดเข้าไป หรือใส่โปรแกรมเข้าไป จะทำให้เกิดสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียในด้านความด้อยทางข้อมูล เพราะจะทำให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ เข้าใจหลักที่เรียกว่า หลักวิชา และหลักความจริง หลักวิชานั้นสามารถเลี้ยงชีพได้ แต่หลักความจริงนั้นทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างเป็นสุข สัจธรรมเป็นสิ่งที่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นของชาติ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ศาสนา สถาบันทางความรู้ใด เมื่อถึงเวลาแก้ไขปัญหาก็มองออกว่า ผู้ใดใช้ความรู้หรือผู้ใดใช้ความรู้สึก ก็จะได้ตั้งหลักไว้ที่ ๒ หลักนั้น คือ บางปัญหาใช้หลักวิชา บางปัญหาใช้หลักสัจธรรม

Anti-Virus ตัวที่ ๓ เมื่อฉีดเข้าไป หรือใส่โปรแกรมเข้าไปจะทำให้เกิดความสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียทางด้านอคติ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอันเกิดจากความพอใจ ไม่พอใจ ความกลัวและไม่รู้ เพราะจะทำให้เข้าใจว่า การที่ตนเองยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และยึดคนอื่นเป็นศูนย์กลาง เมื่อยึดตนและผู้อื่นก็เกิดอารมณ์ที่เรียกว่า อคติทันที อันเนื่องจากการปรุงแต่งของจิตที่มีความไม่เข้าใจเป็นพื้นฐาน Anti-Virus ตัวนี้จะเข้าไปสลายการยึดมั่นศูนย์กลางทั้งตนและผู้อื่น เมื่อไม่มีใคร อารมณ์และกิเลสก็ได้ประสิทธิผลทันที

Anti-Virus ตัวที่ ๔ เมื่อฉีดเข้าไป หรือใส่โปรแกรมเข้าไปจะทำให้เกิดความสมดุล ปรับศูนย์ที่เสียทางด้านการมองรอบด้าน เป้าหมายในแต่ละระดับอย่าพึงละเลย การมองรอบด้านใน ๔ มิติ ๓ ระดับ ๓ ระยะ นั้นจะต้องมีในใจเสมอ ๔ มิติ คือ มืด สว่าง หัวค่ำ และหัวรุ่ง ๓ ระดับ คือระดับตน ระดับผู้อื่น และระดับทั้งตนและผู้อื่น ๓ ระยะ คือ ปัจจุบัน อนาคต และหลุดพ้นจากกาลทั้ง ๒

ขอขยายประเด็นนี้ให้เห็นชัดอีกนิด การมองรอบด้าน ๔ มิติ คือ สิ่งบางสิ่ง คนบางคน เรื่องบางเรื่องนั้นมีทั้ง ดี ไม่ดี เกือบเสีย และเกือบดี เราต้องทราบมิฉะนั้นเราจะเหมาเข่งตลอด เพราะบางคนไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ใช่คนชั่ว เมื่อดูพฤติกรรมแล้วค่อนข้างเกือบดี ก็แปลว่า ต้องช่วยส่งเสริม หรือมีพฤติกรรมค่อนข้างเกือบชั่ว ก็ช่วยพยุง

มอง ๓ ระดับ ก็คือ สิ่งบางสิ่ง คนบางคน เรื่องบางเรื่องนั้นมีประโยชน์สำหรับตน แต่ไม่มีสำหรับผู้อื่น หรือมีเฉพาะผู้อื่น หรือมีทั้ง ๒ ก็ต้องรับรู้ เข้าใจ ยอมรับ

มอง ๓ ระยะ ก็คือ สิ่งบางสิ่ง คนบางคน เรื่องบางเรื่องนั้นมีประโยชน์เฉพาะปัจจุบัน ไม่มีในอนาคต หรือมีเฉพาะในอนาคตแต่ไม่มีในปัจจุบัน หรือว่า มีทั้ง ๒ ระยะ และมีเป้าหมายไปถึงขั้นสูงสุด คือการหลุดพ้นที่ยั่งยืน ก็ต้องรู้ เข้าใจ และยอมรับ


สรุป
Anti-Virus นี้จะทำให้สังคมไทย วัฒนธรรมไทยมีความเข้มเข็ง อยู่ในท่ามกลาง Virus ทั้งหลายได้ ถ้ามันแรง ก็พอกระทบบ้าง แต่ก็ไม่เสียศูนย์ แต่ถ้าเป็นตัวธรรมดา ก็ไม่มีผลใดๆ ขอให้ทุกคนกรุณา Download Anti-Virus “โพธิสัตวจรรยามรรค”กันทุกคน จะได้อยู่รอดปลอดภัยจากไวรัสร้ายทั้งหลายในสังคม