ห้วงแห่งความรู้สึกลางเลือน ท้องฟ้าหมุนคว้าง
ทุกสิ่งคล้ายว่างเปล่า ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเสียใจ ก่อนที่มันจะหมดความรู้สึกลง
ภาพแห่งสตรีนางนั้นที่กำลังถูกข่มเหง นางต่อสู้ขัดขืน
ภาพแห่งสตรีนางนั้นที่กำลังถูกข่มเหง นางต่อสู้ขัดขืน
เป็นมันที่เข้าไปขอร้องทหารทุรชนผู้หนึ่ง “ปล่อยสตรีนางนี้ไปเถอะ นายท่าน”
“ใครให้เจ้าเข้ามาในนี้” มันหันมาที่ทินเล่ด้วยสายตาไม่พอใจอย่างยิ่ง “เจ้าคงไม่อยากมีชีวิตเป็นแน่”
ผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด?
ทินเล่ ลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น บุคคลแรกที่มันเห็นคงยังเป็นนางผู้นั้น
ผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด?
ทินเล่ ลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น บุคคลแรกที่มันเห็นคงยังเป็นนางผู้นั้น
นางยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดบาดแผลและใบหน้าของมันอย่างค่อยๆ
ที่นางเช็ดบางทีก็คือ น้ำตาของนางนั่นเองที่หยดลงบนใบหน้าของมัน
“แม่นางปลอดภัยใช่ไหม?”
ยังคงเป็นความห่วงใยผู้อื่นที่มันเอ่ยปากถาม
“เป็นเพราะข้าไม่ดีเองที่ทำให้ท่านต้องได้รับบาดเจ็บ” นางยังกล่าวประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แม่นางใยต้องตำหนิตนเอง” มันปลอบให้นางสบายใจขึ้น “ที่ต้องตำหนิก็คือชะตาเราเองที่ต้องยังเกิดมาอีก หมู่บ้านซ่างซัวและผู้คนจึงต้องภัยพิบัติครั้งนี้ ข้าเองทั้งที่มีผู้เตือนแต่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
“เป็นผู้ใดเตือนท่าน”
“เป็นชายที่ไม่ได้สวมเสื้อคนหนึ่ง”
“มันรอดปลอดภัยจริง ๆ เท่านี้ข้าก็ดีใจแล้ว
ชะตาของข้ายังไม่เลวร้ายนัก อย่างน้อยผู้ที่ข้าฝากชีวิตไว้ยังอยู่”
ดูนางมีความหวัง เป็นความหวังที่ลางเลือนยิ่งนัก แต่กระนั้น ความหวังก็คือความหวัง
ความหวังเป็นดั่งประกายไฟดวงเล็ก ๆ
ที่ทำให้คนมีชีวิตอยู่เพื่อความหวังนั้น
ความหลังอันงดงามนั้น
ช่างผ่านไปรวดเร็ว
ดังนั้น ชายชราจึงผ่านเวลาอันเงียบเหงา
ที่ยาวนานผ่านไป
ด้วยการหวนคะนึงถึงความหลังนั่นเอง
****
ความหลังอันงดงามนั้น
ช่างผ่านไปรวดเร็ว
ดังนั้น ชายชราจึงผ่านเวลาอันเงียบเหงา
ที่ยาวนานผ่านไป
ด้วยการหวนคะนึงถึงความหลังนั่นเอง
****
แรมเจ็ดค่ำ เดือนหก
ใกล้ถึงชิวเทียน (ฤดูใบไม้ผลิ) อีกครั้ง
บนพื้นเริ่มเห็นติณชาติงอกงาม ผลิหน่อแตกกิ่งใบ แต่มันเป็นชีวิตที่ผลิออกบนแผ่นดินที่เป็นกรวดหินและศิลา ทำให้ติณชาติเหล่านี้ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหยั่งรากของตนลงสู่พื้นอันแข็งกระด้าง
ถึงกระนั้นพวกมันก็พึงพอใจที่จะได้มีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป
กระโจมทุกหลังถูกเทียมด้วยม้าพร้อมทุกคัน
กระโจมเคลื่อนไปทิศตะวันตกเฉียงเหลือ มองดูกระโจมที่เคลื่อนไปดุจดังสัตว์เลื้อยคลานตัวมหึมาตัวหนึ่ง
กองทหารคุ้มกันคุมขบวนกระโจมแบ่งเป็นกองหน้า กองกลาง และกองหลัง
จุดมุ่งหมายคือ บุกแคว้นกัศมีระ
*****
หน้าผาสูงชัน…
หนทางเลียบหน้าผา กระโจมไม่อาจเรียงเป็นหน้ากระดานได้
นี่ถ้าหากถูกโจมตีย่อมเป็นที่อันเหมาะสมยิ่ง แต่จะภาวนาให้ผู้ใดล่วงรู้และมาโจมตีพวกมันได้
กระโจมใหญ่ของแม่ทัพเตมูจายิน ผ่านช่องแคบผ่านไปเบื้องหน้า
กระโจมทุกหลังถูกเทียมด้วยม้าพร้อมทุกคัน
กระโจมเคลื่อนไปทิศตะวันตกเฉียงเหลือ มองดูกระโจมที่เคลื่อนไปดุจดังสัตว์เลื้อยคลานตัวมหึมาตัวหนึ่ง
กองทหารคุ้มกันคุมขบวนกระโจมแบ่งเป็นกองหน้า กองกลาง และกองหลัง
จุดมุ่งหมายคือ บุกแคว้นกัศมีระ
*****
หน้าผาสูงชัน…
หนทางเลียบหน้าผา กระโจมไม่อาจเรียงเป็นหน้ากระดานได้
นี่ถ้าหากถูกโจมตีย่อมเป็นที่อันเหมาะสมยิ่ง แต่จะภาวนาให้ผู้ใดล่วงรู้และมาโจมตีพวกมันได้
กระโจมใหญ่ของแม่ทัพเตมูจายิน ผ่านช่องแคบผ่านไปเบื้องหน้า
แม้จะมีการระมัดระวังเพียงใดพวกมันอย่างน้อยก็มั่นใจว่า ไม่มีผู้ใดจะยกมาซุ่มกำลังไว้ ณ กลางภูเขาเช่นนี้ เพราะที่นี่ห่างจากเมืองกัศมีระมากนัก
ถ้าจะมีก็แต่เมืองอุทกขัณฑะเท่านั้นที่จะนำทหารมาทัน
แต่อุทกขัณฑะก็ไม่ได้ติดต่อกับกัศมีระไหนเลยจะนำทหารมาซุ่มได้
เมื่อฟ้าจะนำโศกนาฏกรรมมาให้แก่ผู้ใด
ฟ้าจะประทานความเงียบสงบ
ความเบิกบานบันเทิงให้แก่ผู้นั้นก่อน
ชีวิตก่อนประสบเคราะห์กรรมก็มักเป็นเช่นนี้
มักมีความรุ่งโรจน์โชติช่วงเป็นพิเศษ
นักรบผู้กล้าจากเมืองปุรุสปุระและอุทกขัณฑะ ทราบความเคลื่อนไหวของพวกมันก่อนแล้ว
เสียงตีม้าล่อดังกระหึ่มเป็นสัญญาณ เสียงกลองรบดังปานฟ้าถล่ม เสียงธนูแหวกอากาศ ความโกลาหลเกิดขึ้นเนื่องเพราะพวกมันประเมินผู้อื่นต่ำไป
เสียงตีม้าล่อดังกระหึ่มเป็นสัญญาณ เสียงกลองรบดังปานฟ้าถล่ม เสียงธนูแหวกอากาศ ความโกลาหลเกิดขึ้นเนื่องเพราะพวกมันประเมินผู้อื่นต่ำไป
ผู้ประเมินผู้อื่นต่ำไปสมควรตายทั้งสิ้น
กองหน้าและกองหลังไม่อาจคุมกันติด
และแล้วหายนะครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นเป็นพ่ายแพ้ของทหารมงโกลที่รุกรานแดนไกลของพวกมัน
ทินเล่อยากจะตั้งคำถามใครสักคนว่า ทำไมต้องรบและฆ่าฟันทำร้ายกันด้วย
แต่มันก็สรุปว่า คำตอบที่สมบูรณ์ในเรื่องนี้คงไม่มี เนื่องจากมันคือสงคราม
ทินเล่อยากจะตั้งคำถามใครสักคนว่า ทำไมต้องรบและฆ่าฟันทำร้ายกันด้วย
แต่มันก็สรุปว่า คำตอบที่สมบูรณ์ในเรื่องนี้คงไม่มี เนื่องจากมันคือสงคราม
สงครามไม่ใช่สิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่น่าปรารถนา
แต่ดูเหมือนว่า สงครามก็เกิดได้ทุกที่
และมีมาควบคู่กับมนุษยชาติแต่ปางบรรพ์
ในขณะที่มันยืนมองเหตุการณ์ที่มนุษย์ที่ชื่อว่า ผู้มีความคิด มีเหตุผลทำขึ้นอยู่นั้น
พลันชายผู้หนึ่งก็เข้ามาหามัน มือหนึ่งถือกระบี่ยาวสามเชี้ยะครึ่ง สวมเกราะหวายยืนมองด้วยท่าทางเศร้าเสียใจไม่แพ้กัน พลางเอ่ยขึ้น
“ดูเหมือนเราเคยพบกันแล้วใช่ไหม ?”
ทินเล่ มองดูชายผู้นั้นเพื่อทบทวนความจำว่า มันเคยพบกับชายผู้นี้หรือไม่ และมันก็จำได้
“ใช่….ท่านคือ….”
“ถูกต้อง เรามาเพื่อปลดปล่อยคนซ่างซัวให้ได้รับอิสระ”
“ที่แท้ท่านไปแจ้งข่าวการมาของพวกมองโกลให้เมืองทั้งสองทราบ”
“เพื่อความอยู่รอดของเมืองทั้งสองเอง พวกเขาหาใช่ทำเพื่อเราไม่”
“ก็นับว่า ช่างซัวและแม่นางราณิทิกามีวาสนาแล้วที่มีคนเช่นท่าน” ทินเล่ไม่ต้องการให้ชายผู้นั้นรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีต เนื่องจากสายตาของเขามีคำถามมากมาย มันจึงกล่าว “แม่นางของท่านคงรอท่านแล้ว”
“หากมีวาสนาเราคงได้พบกันอีก”
“ใช่…หากมีวาสนาคงได้พบกัน”
“ดูเหมือนเราเคยพบกันแล้วใช่ไหม ?”
ทินเล่ มองดูชายผู้นั้นเพื่อทบทวนความจำว่า มันเคยพบกับชายผู้นี้หรือไม่ และมันก็จำได้
“ใช่….ท่านคือ….”
“ถูกต้อง เรามาเพื่อปลดปล่อยคนซ่างซัวให้ได้รับอิสระ”
“ที่แท้ท่านไปแจ้งข่าวการมาของพวกมองโกลให้เมืองทั้งสองทราบ”
“เพื่อความอยู่รอดของเมืองทั้งสองเอง พวกเขาหาใช่ทำเพื่อเราไม่”
“ก็นับว่า ช่างซัวและแม่นางราณิทิกามีวาสนาแล้วที่มีคนเช่นท่าน” ทินเล่ไม่ต้องการให้ชายผู้นั้นรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีต เนื่องจากสายตาของเขามีคำถามมากมาย มันจึงกล่าว “แม่นางของท่านคงรอท่านแล้ว”
“หากมีวาสนาเราคงได้พบกันอีก”
“ใช่…หากมีวาสนาคงได้พบกัน”
มนุษย์มีเรื่องราวให้ต้องกระทำอีกมากมาย
มีผู้คนมากเหลือเกินที่จะเอาชีวิตไปฝากไว้กับอดีต
มีไม่น้อยเช่นกันที่เอาชีวิตผูกกับอนาคต
แต่ที่มุ่งกระทำในสิ่งที่พึงกระทำในขณะที่มันดำรงอยู่
กลับมีน้อยอย่างยิ่ง
มีผู้คนมากเหลือเกินที่จะเอาชีวิตไปฝากไว้กับอดีต
มีไม่น้อยเช่นกันที่เอาชีวิตผูกกับอนาคต
แต่ที่มุ่งกระทำในสิ่งที่พึงกระทำในขณะที่มันดำรงอยู่
กลับมีน้อยอย่างยิ่ง