(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ทหารหลายสิบนาย ขี่ม้าตรวจตรานอกค่าย
ภายในค่ายก็มีการเดินยามอย่างเข้มแข็ง
กระโจมหลากหลายสีจัดตั้งอยู่อย่างถูกต้องตามตำราพิชัยสงคราม
กระโจมแทบทุกหลังตั้งอยู่บนล้อ มีแอกเทียมม้าสี่ตัวบ้าง หกตัวบ้าง
เหล่าเชลยทำงานกันอย่างน่าสงสาร
บ้างทำกระโจมเพิ่มเติม บ้างหุงหาอาหาร บ้างหาน้ำไปให้กระโจมต่าง ๆ เรียงราย
สตรีที่งามสะคราญทุกคน ไม่ว่านางจะมีสามีหรือไม่
ก็ถูกบังคับให้ปรนนิบัติพวกหัวหน้าทหารตามกระโจม
เสียงร้องไห้ เสียงก่นด่าดังมาพร้อมกับเสียงทุบตี
มีบ้างที่ถูกหามออกมาจากกระโจมด้วยร่างกายพร้อมด้วยเลือดอาบกาย นางได้ยอมพลีชีวิตแล้ว
เมื่อฟ้าจะเล่นตลกกับคน
มันจะเล่นจนถึงที่สุด
มีแต่ต้องหัวเราะใส่ชะตาเท่านั้น
จึงจะคลายความคับแค้นได้บ้าง
ทินเล่ถูกให้ทำหน้าที่เติมน้ำให้แก่กระโจมต่างๆ พร้อมกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง
เพียงสามวันแรกมันก็ไม่อาจลุกขึ้นได้อีกเพราะพิษไข้
“ลากมันลุกขึ้นไปทำงาน” ทหารคนหนึ่งยังคงยืนถือแส้สั่งให้เชลยที่อยู่ตรงนั้นลากมันไปทำงาน
“ให้มันหายไข้ก่อนเถอะ” ชาวบ้านที่ร่วมทำงานร้องขอ
เสียงแส้ฟาดไปยังชายผู้นั้น “ลากมันไปตักน้ำ” เมื่อไม่มีผู้ใดขยับ มันจึงกล่าวขึ้น “เมื่อทำงานไม่ได้ก็อย่าอยู่เลย” พร้อมกับเงื้อดาบหมายจะฟันลง
“ก็ได้” ทินเล่กัดฟันพูด….”พวกท่านไปทำงานเถอะไม่ต้องห่วงเรา”
มันพยุงร่างเกาะตามฝาผนังยืนหยัดขึ้น
เมื่อฟ้าจะมอบความเป็นใหญ่ให้คน
มันจะเคี่ยวกรำร่างกายก่อน
ขอเพียงมีลมหายใจ
ก็ยังคงมีวันสมปณิธาน
มีรอยริ้วของแส้บนแผ่นหลังของมันปรากฏชัด
เลือดที่แห้งกรังเป็นสะเก็ดมองดูคล้ายเป็นศิลปกรรมหนึ่ง เป็นสิ่งที่มนุษย์ด้วยกันเองทำขึ้น
มันเริ่มแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม
มันยังคงยืนหยัดอยู่ได้ หนึ่งเดียวที่ทำให้มันต้องมีชีวิตตอยู่
ก็เพราะยังไม่ได้ทำตามปณิธาน
ตราบที่ปณิธานของมันยังไม่บรรลุ
มันก็จะต้องมีชีวิตต่อไป
สิ่งที่หล่อเลี้ยงมนุษย์ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ก็คือ ความหวัง
หากสูญสิ้นความหวังแล้ว แม้จะมีชีวิตก็เฉกเช่นไร้ความหมาย
ความหนักแน่นเยือกเย็นในเวลาประสบเคราะห์กรรม
เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ความหนักแน่นเยือกเย็น
ดูเหมือนไม่ยากเย็น
แต่ผู้ที่มีความเยือกเย็นเช่นนี้ได้
ต้องฝึกฝนมานานเท่าใด?!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น