วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

ปณามโศลก



ปณามโศลก



ภควา พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใด ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ให้รู้ตามเห็นตามและดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้ด้วย ข้าพระองค์ขออภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น


สัทธัมโม พระสัทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เหล่าใด เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม ได้แก่ อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา และ ศีล สมาธิ ปัญญา ควรน้อมเข้ามาปฏิบัติ ช่วยให้พ้นทุกข์ภัยทั้งสิ้นได้จริง ข้าพระองค์ขอนมัสการพระสัทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น


อริยสังโฆ พระอริยสงฆ์สาวกหมู่ใด ผู้ทำให้แจ้งในมรรค ผล นิพพานของตนได้แล้ว จาริกไปสั่งสอนสรรพสัตว์ให้ปฏิบัติตามด้วย เป็นผู้ควรแก่การกระทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ข้าพระองค์ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์สาวกหมู่นั้น


สัทธรรมโศลกแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลานี้ เป็นคัมภีร์ที่ได้กลั่นลิขิตมาจากประสบการณ์ปฏิบัติบำเพ็ญเพียรสมณธรรม ณ บรรจบคีรีธาร เมืองจันทบูร ช่วงต้นเมษมาส เป็นความพยายามอย่างยิ่งที่จะแสดงสภาวธรรมแห่งการปฏิบัติที่ไร้ศัทพ์สำเนียงออกมาเป็นถ้อยคำ มีแต่ผู้ประสบเอง ปฏิบัติตามเองจึงรู้ได้เฉพาะตนในสภาวธรรมเหล่านั้น


คัมภีร์สุวิญญมาลานี้ได้ถือคลองปฏิบัติตามอานาปานสติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นตรัสไว้ดีแล้ว กระทำให้มาก เจริญให้มากในกาย เวทนา จิต ธรรม โดยอาศัยอาตาปี สติมา และสัมปชาโน เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสทั้งหลาย ไม่ตัด ต่อ แต่ง เติมพระพุทธพจน์ที่ปรากฏในอานาปานสติสูตรแห่งพระสุตตันตปิฎกทั้งสิ้น คัมภีร์นี้เป็นเพียงเมนูอาหารทางจิตเท่านั้น ผู้อ่านเมนูอาหารฉบับนี้ไม่ทำให้อิ่มจริงได้ มีแต่ต้องปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น


ขอความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมจงบังเกิดมีแก่พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติตามแนวอานาปานสติทุกท่าน






ด้วยจิตบำเพ็ญ


วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

พัฒนาความสามารถแห่งปัจเจก “ต่อมทางจริยธรรม”

พัฒนาความสามารถแห่งปัจเจก “ต่อมทางจริยธรรม”





เกริ่นนำ


สังคมไทยกำลังตกอยู่ภายใต้บรรยากาศที่เรียกว่า “ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ” หากหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไม่ตั้งหลักให้ดีก็จะเลี้ยวไปผิดทิศผิดทางยากต่อการแก้ไข ยากต่อการนำพาประเทศให้เจริญไปอย่างมีทิศมีทาง ยิ่งถลำลึกเข้าไปมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เสียเวลากลับคืนมามากขึ้นเท่านั้น ปัจจุบันมีการแข่งขันกันระหว่างประเทศแถบอาเซียนอยู่ในที ถ้าหากประเทศไทยยังไม่สามารถตั้งหลักเดินได้อย่างมีความมั่นคงและมีทิศทางที่ชัดเจน ประเทศไทยก็จะเดินช้ากว่าประเทศอื่นๆ ใกล้เคียงไปเรื่อยๆ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจึงเป็นช่วงที่สำคัญที่จะเริ่มต้นให้ดี สังเกตได้จากช่วงที่ผ่านมานั้นมีปัญหาเกิดขึ้นกับประเทศไทยมากมาย ส่วนใหญ่เป็นปัญหาอันเกิดจากความขัดแย้งกันของระบบความคิด ปัญหานี้รุกรามไปทั่วประเทศจนแทบจะทำให้ประเทศพังอยู่แล้ว สุดท้ายก็ถือว่าโชคดีที่ทุกฝ่ายกลับมาสู่ฐานเดิม ก็คือ การเลือกตั้งบุคคลเข้ามาบริหารประเทศได้ แม้จะเสียสละชีวิตและทรัพย์สินของคนในชาติเป็นเครื่องสังเวยต่อความขัดแย้งนั้นก็ตาม


ปัญหาทางความคิดเป็นเรื่องที่ต้องนำขึ้นมาสู่การพิจารณากันให้ถ้วนถี่ ถ้าหากไม่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาวิเคราะห์ วิจารณ์ และสังเคราะห์ให้ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแท้จริงก็รังแต่จะทำให้เกิดวังวนเดิมอีกเช่นเคย ปัญหาที่จบลงมิใช่เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่เกิดจากความสงบลงแห่งเชื้อในเตาไฟเท่านั้น หากมีเชื้อใส่เข้าไปใหม่อีกเมื่อไร ไฟก็พร้อมที่จะประทุขึ้นทุกเมื่อเมื่อนั้น ทางที่ดีต้องรีบดับเชื้อในเตานั้นเสีย แต่จะดับกันอย่างไรที่ไม่ใช่นำเชื้อไปใส่ใหม่ เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและนำขึ้นมาพิจารณากันอย่างจริงจังเพื่อผลประโยชน์แห่งประเทศชาติ


ในสายตาของนักปรัชญาแล้ว ปัญหาของประเทศไทยในขณะนี้นั้นเป็นปัญหาทางปรัชญาแน่นอน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาทางความคิด ระบบคิด และร่องทางความคิด ปัญหาทางปรัชญาก็ต้องแก้ไขด้วยปรัชญาจึงจะสามารถแก้ไขได้ ไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีอื่น เพราะจะเป็นการแก้ไขไม่ถูกจุด แต่เนื่องจากประเทศไทยของเราไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องของการศึกษาปรัชญามานานพอสมควรจึงทำให้ไม่สามารถเข้าใจได้ถึงต้นสายปลายเหตุแห่งปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจน สายตานักแก้ปัญหาทั้งหลายมองไปเฉพาะจุด เฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาขัดแย้งเท่านั้น เช่น มองเป็นเรื่องการเมือง เรื่องความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เรื่องสองมาตรฐาน เรื่องทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น แก้เรื่องหนึ่งก็ยังอีกเรื่องหนึ่ง แก้เรื่องหนึ่งก็มีปัญหางอกขึ้นมาอีกหลายปัญหา ก็เพราะไม่ทราบถึงแนวปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาทางปรัชญา ต้องแก้กันที่ปรัชญาจึงจะเป็นการแก้ทั้งระบบได้


ปรัชญาที่ยังเป็นปัญหา


ปัจจุบันนี้ทราบไหมว่า โลกกำลังอยู่ในแนวปรัชญาอะไร ก่อนนั้นโลกแห่งปรัชญานั้นสนใจเรื่องของอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ปรัชญาประจักษ์นิยม (Empiricism) เหตุผลนิยม (Rationalism) เป็นต้น จนมาถึงปรัชญาประยุกต์ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาการศึกษา ปรัชญาการเมือง ปรัชญาศาสนา ปรัชญาสังคม จิตวิทยา เป็นต้น สำหรับประเทศไทยแล้วคำว่า ปรัชญาได้ถูกละเลยไปจนไม่เหลือรากฐานให้ต่อติด มีแต่ให้ความสำคัญเรื่องปากท้อง การค้า การขาย การลงทุน การแข่งขัน การปราบยาเสพติด การปราบคอรัปชั่น เป็นต้น เท่านั้น ความสูงส่งแห่งปรัชญาที่เป็นที่ตกลงกันในความคิดนั้นไม่อยู่ในฐานการศึกษาของประเทศไทยมานานนับทศวรรษแล้ว ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ การพูดถึงปรัชญาแทบจะเป็นเรื่องแปลกของนักศึกษา จึงไม่แปลกที่ไม่สามารถตอบได้ว่า ปัจจุบันโลกกำลังให้ความสนใจเกี่ยวกับปรัชญาอะไร


ปรัชญาที่โลกให้ความสนใจในปัจจุบันนี้ก็คือ ปรัชญาหลังนวยุค (Post Modernism) ปรัชญานี้มาพร้อมกับความซับซ้อนของสังคม โดยเฉพาะสังคมที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุและการบริโภคเป็นอย่างมาก ปรัชญานี้แทรกขึ้นมาเพื่อมองเข้าไปในความเจริญเหล่านี้ว่ามีปัญหาเชิงปรัชญาอะไรอยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีแหล่งที่มาจากอะไร และจะนำไปสู่จุดจบอย่างไร ในที่สุดก็พบว่า ปัญหาที่อยู่ในสังคมที่ซับซ้อนนั้นคือ ปัญหาความกระทบกันของวัฒนธรรม (Cultural Conflict) เพราะสังคมแห่งพหุวัฒนธรรมกำลังไหลเข้าหากัน ปัญหานี้นำไปสู่การกระทบกระทั่งกันทางความคิด และก็จะเกิดความขัดแย้งกันและเกิดการทำร้ายและทำลายกันในที่สุด นี่เป็นปัญหาที่นักปรัชญาสมัยนี้ให้ความสำคัญ


นอกจากปัญหาใหญ่ทางวัฒนธรรมนี้แล้ว ยังมีความซับซ้อนของวัฒนธรรมที่คนสมัยปัจจุบันกำลังอยู่ในกระแสวังวนอยู่ เป็นวัฒนธรรมการดำรงชีวิตในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่ทำให้วิถีชีวิตของคนนั้นปรับไปโดยไม่รู้ตัว กระแสที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้คือกระแสบริโภคสัญญะ สังคมไทยเข้ามาสู่สังคมที่เรียกว่า “สังคมบริโภคสัญญะ” กันมากขึ้นทุกวัน กล่าวให้เห็นภาพก็คือ สังคมที่เสพสโลแกนที่โดนใจเท่านั้น ไม่สนใจเรื่องของคุณค่าของสิ่งของ ขอเพียงยึดมั่นเชื่อถือในคำโดนๆ ในโฆษณาก็ใช้ได้ ก็สามารถเรียกกำลังซื้อของคนในสังคมได้แล้ว


ปัญหาเรื่องของสังคมเสมือนจริงและสังคมบริโภคสัญญะนี้เป็นปัญหาของสังคมโลกยุคใหม่นี้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากยุคโมเดิร์น (Modernism) ที่มุ่งเน้นให้คนในสังคมเสพในสิ่งที่เป็นวัตถุมากกว่าทางจิตใจ แม้กระทั่งการเสพทางจิตใจก็เป็นเพียงการเสพสัญญะ คือคำโฆษณาชวนเชื่อให้เกิดความมั่นใจในสิ่งของสิ่งนั้นเท่านั้น ฌอง โบดริยารด์ (Jean Baudrillard) นักปรัชญาหลังนวยุคคนหนึ่งกล่าวว่า วัฒนธรรมในนวยุค (Modernism) เป็น “วัฒนธรรมฉบับสำเนา” ในมุมมองของฌอง โบดริยารด์ มองว่า ปัจจุบันนี้โลกเข้าสู่โลกเสมือนจริง (Simulation) หรือเกินจริง (Hyper-Reality) สิ่งที่เสมือนจริงและเกินจริงได้รับความสนใจยิ่งกว่าสิ่งที่จริงๆ ปัญหาจึงเกิดขึ้นเมื่อคนให้ความสนใจสิ่งที่เกินจริงมากกว่าสิ่งที่เป็นจริง จึงมีการผลิตสิ่งที่เกินจริงออกมามากๆ เพื่อตอบสนองความต้องการ คนไม่สนใจสิ่งที่จริง เพราะสิ่งเสมือนจริงใช้ได้ดีกว่าอีก ไม่ต้องกลัวสิ้นเปลือง ไม่ต้องกลัวเสียหาย จ่ายได้หาได้ตลอด สังคมกำลังอยู่ภายใต้วัฒนธรรมอัดสำเนานี้


อ่านต่อบัณฑิตศาส์น มมร (ฉบับล่าสุด)
 
 

เรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน

เรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน

คัมภีร์สุวิญญมาลานั้น ได้นำเสนอผ่าน webblog มาถึง โศลกที่ ๓๖ แล้ว
แต่เนื่องจาก webblog มีปัญหา ไม่สามารถนำเสนอได้อย่างเดิม จึงขอเก็บส่วนที่เหลือไว้
จนกว่าจะแก้ไขให้ดีดุจเดิม
ผู้ที่สนใจคัมภีร์สุวิญญมาลา โปรดติดตามอ่านจากคัมภีร์ที่จะวางแผงในปลายปีนี้
เพื่อให้คัมภีร์นี้เป็นการเติมเต็มจิตวิญญาณ
หวังว่าผู้ติดตามทุกท่านจะได้ไว้ครอบครองนะครับ
หลังจากนี้ไปจะลงบทความอื่นๆ ตามโอกาสให้ได้ติดตามกัน
ด้วยจิตบำเพ็ญ
ผู้บำเพ็ญ

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชีวิตคือความฝัน

โศลกที่สามสิบหก "ชีวิตคือความฝัน"

 มีสติอยู่ในกระบวนการปฏิบัติ
 ปฏิเวธเข้าถึงจุดหมายแล้ว
ทั้งปฏิบัติและปฏิเวธ
 ล้วนเป็นประสบการณ์ทั้งสิ้น
 พ้นวิสัยคิดคาดคะเนเอาได้
 ประสบการณ์ไม่ใช่ความคิด
 ความคิดอาศัยอดีตและอนาคต
ไหนเลยเป็นประสบการณ์จริงได้
 ความคิดอยู่ไม่ได้ในปัจจุบัน
สติในการปฏิบัติเป็นปัจจุบัน
ปัจจุบันขณะไม่มีในกาลเวลา


 ในพระพุทธศาสนาแสดงหลักสัทธรรมเอาไว้ ๓ ประการ ได้แก่ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ หลัก ๓ ประการนี้เป็นแนวทางในการเจริญภาวนาบำเพ็ญเพียรสมณธรรม เป็นหลักในการฝึกฝนตนเองให้เข้าถึงความหลุดพ้นจากวัฏฏะ ปริยัติในที่นี้ก็คือ การเรียนรู้วิธีการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางแห่งอานาปานสติ แนวทางแห่งสติปัฏฐาน แนวทางแห่งตจปัญจกกัมมัฏฐาน

แต่เมื่อว่าโดยรวมแล้วไม่ว่าแนวไหนก็ตาม พอเข้าถึงขั้นตอนที่ ๒ แล้วก็เข้าสู่กระบวนการเดียวกันทั้งสิ้น นั่นคือ กระบวนการขั้นปฏิบัติ กระบวนการขั้นนี้เป็นกระบวนการที่ไม่เหลือพื้นที่ให้ความคิดได้ทำงานอีกต่อไป เพราะเป็นขั้นของการมีสติอยู่กับเครื่องมือที่ได้ศึกษามานั่นเอง การปฏิบัติเปรียบเหมือนการได้เคี้ยวอาหารอยู่ในปาก เคี้ยวให้ละเอียด รู้สึกถึงรสอาหารที่เคี้ยวอยู่ ไม่ว่าจิตจะปรุงแต่งไปอย่างไร แต่ความจริงก็คือ การเคี้ยวอาหารอยู่อย่างนั้น จิตที่ปรุงแต่งให้อาหารเลิศรสอย่างไรก็ไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น รังแต่จะทำให้การทานอาหารเป็นแต่เพียงทานในความฝัน เพราะการฝันก็เป็นกระบวนการคิดอย่างหนึ่งของจิตที่อยู่ภายใน

ดังนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรสมณธรรมทั้งหลายจึงพิจารณาคำข้าวที่เคี้ยวอยู่นั้น เพื่อให้เป็นการทานอาหารที่แท้จริง ไม่ใช่ทานแต่ในเพียงความฝัน ถึงแม้จะเป็นการทานจริงก็เถอะ แต่ถ้าไม่มีสติในการทานอาหาร การทานนั้นก็เป็นแต่เพียงการทานในความฝันเท่านั้น การเคี้ยวอาหาร การรับทราบรสอาหาร จนกระทั่งการกลืนลงคอไป อาหารได้รับการย่อยสลายกลายเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตกายนี้อย่างไร การปฏิบัติบำเพ็ญเพียรสมณธรรมเจริญภาวนาก็เป็นอย่างนั้น เป็นขั้นของประสบการณ์ เป็นขั้นของการรู้เคี้ยว รู้รส รู้กลืน ไม่หลงเหลือให้จิตได้คิดอะไรกับกระบวนการเหล่านี้เลย

หากว่า คิดในสิ่งที่เคี้ยวอยู่ในปากนั้น ก็เท่ากับว่า การทานอาหารนั้นเป็นการทานในความฝันเท่านั้น เนื่องจากผู้เคี้ยวไม่ได้ทราบว่าตนเองทำอะไรลงไป การเคี้ยวเป็นแต่การเคี้ยวในความฝัน ฝันว่าได้เคี้ยว ฝันว่าได้ทาน ฝันว่าอร่อย นั่นไม่ใช่การทานอาหารที่แท้จริง แม้แต่จะเป็นการทานอาหารจริงๆ ก็ตาม ก็ฝันที่มีอยู่นั้นก็เป็นจริง ก็เพราะเป็นฝันของผู้ฝันนั่นแหละ ใครจะปฏิเสธว่าฝันไม่มีอยู่จริง ก็จิตที่คิดไปก็เป็นความฝันแล้ว ด้วยเหตุนี้โลกนี้ทั้งโลกจึงมีแต่คนหลับฝันอยู่เท่านั้น จะมีสักกี่คนที่ตื่นจากฝันนั้นขึ้นมา ประสบการณ์เฉพาะตนที่เกิดจากการปฏิบัตินั้น การมีสติอยู่กับกระบวนการปฏิบัตินั้นเท่านั้นจึงเรียกว่า ประสบการณ์ จึงเรียกว่า “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ”

ผู้ปฏิบัติย่อมรู้แจ้งเห็นจริงได้เฉพาะตน ประสบการณ์ที่ใครต่อใครพูดกันว่า “มีประสบการณ์มากี่ปี มีประสบการณ์ชีวิต” นั่นล้วนแต่เป็นความฝันที่เคยฝันไปเท่านั้น ไหนเลยเรียกว่า “ประสบการณ์ได้” เพราะประสบการณ์นั้นไม่มีในความคิด ไม่ใช่สิ่งที่คาดคะเน ไม่ใช่สิ่งหลับฝันไปแล้วบอกว่า เป็นประสบการณ์ ประสบการณ์ในฝันไม่ใช่ประสบการณ์จริง แม้ว่าจะฝันจริงๆ แม้ว่า จะเคยทำสิ่งนั้นจริงๆ แม้ว่าจะมีอายุผ่านร้อนหนาว หลายกาลฝนมาแล้วนานนับหกสิบปี หรือจะมากกว่านั้นก็ตาม ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นผู้มีประสบการณ์อะไรเลย จะกล่าวได้แต่เพียงว่า “เป็นประสบการณ์ฝันมาแล้วหกสิบปี” ก็พอกล่าวได้

โศลกว่า “ทั้งปฏิบัติและปฏิเวธ ล้วนเป็นประสบการณ์ทั้งสิ้น”

ประสบการณ์เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติ มีแต่ผู้ตื่นแล้วเท่านั้นจึงจะเรียกว่า “มีประสบการณ์” คำๆ นี้ถูกนำมาใช้ในภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษว่า “Experience” ในความหมายว่า เคยเจออะไรมา เคยทำอะไรมา เคยมาแล้วนานเท่านั้นปี เท่านี้เดือน ก็เรียกผู้เคยผ่านสิ่งเหล่านั้นมาว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ ควรจะกล่าวว่า ฝันว่าเคยได้ทำในเรื่องนั้นๆ มานานเท่าใดมากกว่า ฝันเสียจนเข้าใจว่า สิ่งที่ตนเองฝันไปนั่นแหละเป็นจริง จากนั้นก็นำความฝันมาเล่าให้กันและกันฟังว่าเคยทำสิ่งนั้นสิ่งนี้มา แล้วก็นำความฝันมาเทียบกันว่า ฉันฝันนานกว่า เพราะมีประสบการณ์ฝันนับสิบปี ประสบการณ์เป็นขั้นของการปฏิบัติ การปฏิบัติเป็นเรื่องของผู้ตื่นอยู่เท่านั้น ผู้ตื่นอยู่คือ ผู้มีสติเท่านั้น

คำว่า “ผู้ตื่น” ไม่ได้หมายถึง ผู้ที่นอนตื่นตอนเช้า นอนหลับตอนค่ำ แต่หมายถึง ผู้ตื่นจากความฝันที่เป็นกันอยู่เท่านั้น ตื่นจากการถูกความคิดปรุงแต่ง ผู้ที่ตื่นอยู่คือผู้ที่อยู่ในระดับของการเข้าถึงความว่าง พ้นจากระดับกายภาพ พ้นจากระดับจิตภาพ พ้นจากระดับของอารมณ์ แต่เข้าถึงระดับของความเป็นจริงที่แท้เท่านั้นจึงจะชื่อว่า “ตื่นอยู่”

โศลกว่า “ความคิดอยู่ไม่ได้ในปัจจุบัน สติในการปฏิบัติเป็นปัจจุบัน”

พึงศึกษาพระพุทธศาสนาเสียใหม่ การศึกษาพระพุทธศาสนาที่เป็นมานานแล้วหยุดอยู่แค่การรู้ระดับได้ยิน ได้เห็น ได้ฟัง (สุตะ) เสียส่วนมาก นี่เป็นความรู้ในระดับกายภาพ เป็นเพียงข้อมูลในระดับปรากฏการณ์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้ยิน ได้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเอกสาร ตำรับ ตำรา เทศนา บรรยายธรรม ไม่ได้มีอะไรมากมาย เป็นแต่คนที่ฝันมาเล่าความฝันให้คนที่กำลังฝันได้ฟังเท่านั้น เป็นผู้เล่าความฝันได้อย่างน่าฟังเท่านั้น ผู้ฟังก็เคลิบเคลิ้ม ผู้เล่าก็ภูมิใจที่เล่าความฝันได้อย่างไม่ติดขัด ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ทำให้ตื่นขึ้น ยิ่งกล่อมทำให้ผู้ฟังหลับลึกลงไปมากยิ่งขึ้นเท่านั้น จะดีขึ้นบ้างก็ผู้รู้จักคิด ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง จนเกิดเป็นความรู้ขึ้นมาเพิ่มเติมจากข้อมูลที่ได้รับ (จินตะ)

พระพุทธศาสนาในระดับนี้เป็นระดับจินตภาพ ก็เป็นเพียงการจมอยู่กับความคิด เป็นความฝันที่ชัดเจนขึ้น เพราะฝันเป็นจริงเป็นจัง ฝันจนรู้วิธีการในฝันได้ นักปรัชญาเมธีทั้งหลาย นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็อาศัยความฝันระดับนี้สร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาให้โลกได้ชื่นชม บ่งบอกถึงความเป็นผู้ฉลาด สามารถ เป็นแต่ผู้ที่ใช้ความฝันให้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ฝันเท่านั้นเอง การศึกษาพระพุทธศาสนาระดับนี้ก็ไม่ใช่การศึกษาของพระพุทธศาสนา

 เพราะการศึกษาอย่างนี้เขาทำกันมานานแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการใช้จิตตาภินิหารแสดงให้ผู้คนทั้งหลายได้ชมเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงภายใน มีนวัตกรรมเกิดขึ้นประดับโลกเพิ่มเติม ยังเป็นเรื่องของผู้หลับอยู่นั่นเอง การศึกษาพระพุทธศาสนานั้นมีเพื่อให้สติดำรงอยู่ทุกขณะ อาการกิริยา มีเพื่อฝึกสติให้มากขึ้นที่เรียกว่า ระดับภาวนา ภาวนาแปลว่า เจริญ กระทำให้มาก กล่าวคือ การทำสติให้มาก หลักธรรมทั้งหลายที่มีอยู่นั้นสรุปลงที่สติเท่านั้น การมีสติคือจุดหมายปลายทางของการศึกษาในพระพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น เรื่องอื่น สิ่งอื่นนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ให้ปฏิบัติเพื่อให้มีสติเท่านั้น พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการปลุกให้ทุกคนตื่นจากการหลับใหล

ด้วยเหตุนี้ คำว่า “พุทธะ” คือ “ผู้ตื่น” พระอริยะทั้งหลายคือผู้ตื่นแล้ว พระอริยะทั้งหลายคือผู้มีสติ ผู้มีสติคือผู้อยู่ในปัจจุบัน ผู้อยู่ในปัจจุบันจะไม่มีอัตตาใดหลงเหลืออยู่ เพราะปัจจุบันขณะนั้นคือ ความว่าง ความว่างเป็นปัจจุบันขณะ ปัจจุบันนั้นไม่มีกาลเวลา ผู้อยู่ในปัจจุบันขณะ คือผู้มีสติอยู่ ผู้มีสติอยู่จะไม่มีอัตตาดำรงอยู่ ผู้ไม่มีอัตตาอยู่มัจจุราชจะเห็นได้อย่างไรเล่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน นิพเพธิกสูตร พระสูตรว่าด้วยเรื่องของการสลายกิเลสไว้ตอนหนึ่งว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม เหตุเกิดแห่งกรรม ความต่างแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม เราอาศัยอะไรกล่าว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็เหตุเกิดแห่งกรรมเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม ก็ความต่างแห่งกรรมเป็นไฉน คือ กรรมที่ให้วิบากในนรกก็มี ที่ให้วิบากในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มี ที่ให้วิบากในเปรตวิสัยก็มี ที่ให้วิบากในมนุษย์โลกก็มี ที่ให้วิบากในเทวโลกก็มี

ก็วิบากแห่งกรรมเป็นไฉน คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน กรรมที่ให้ผลในภพที่เกิด กรรมที่ให้ผลในภพต่อๆ ไป ความดับแห่งกรรมเป็นไฉน คือ ความดับแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใด อริยสาวกย่อมทราบชัดกรรม เหตุเกิดแห่งกรรม ความต่างแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรมอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งความชำแรกกิเลส เป็นที่ดับกรรมนี้”

จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนานั้นไม่ได้สอนสิ่งอื่นใดที่จะทำให้เข้าใจเรื่องข้อมูล ความคิด หรือความรู้สึกใดๆ แต่มุ่งเน้นให้ปฏิบัติในอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น ก็อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นความสมบูรณ์พร้อมแห่งทางปฏิบัติที่จะทำให้มีสติอยู่ เป็นการอยู่ในปัจจุบัน เป็นการพ้นจากกรรม คือ ความคิดได้ ขออย่าได้นำอริยมรรคมีองค์ ๘ ไปอธิบายหรือบรรยายให้อยู่ในระดับข้อมูลความรู้ หรือความคิดเด็ดขาด เพื่อเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่พ้นจากกรรม อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางปฏิบัติให้พ้นจากกรรม เมื่อพ้นจากกรรม คือ ความคิดได้ ก็ชื่อว่า “ตื่นแล้ว” ไม่ใช่ผู้หลับฝันอีกต่อไป

 นี่คือ โศลกที่สามสิบหกแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา