วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฝึกอารมณ์





โศลกที่เจ็ด ฝึกอารมณ์
คำว่า “ฝึกอารมณ์” เป็นคำที่ต้องตระหนัก
เพราะหมายถึงทุกย่างก้าวต้องเป็นการฝึก
มีแต่ผู้ฝึกเท่านั้น
จึงจะเหมาะสมกับการลงสนามต่อสู้
ผู้ไม่ฝึกไหนเลยจะมีพลัง
ฝ่าฟันแรงปะทะได้
ผลของการฝึกอย่างต่อเนื่อง
จะแสดงพฤติออกมาได้เองในยามปกติ



อารมณ์เป็นอาการที่ประกอบกับจิต เป็นสภาวะที่ชักนำจิตให้เกิดสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งนอกเหนือจากที่จิตทำงานของมันเอง ยิ่งถ้าใช้คำว่า “มีอารมณ์” ความหมายก็จะยิ่งเฉพาะเข้าไปอีก โดยเฉพาะความหมายตามภาษาไทย คำว่ามีอารมณ์คำเดียวนี้สื่อให้เห็นถึงความกระเพื่อมของจิตที่แสดงท่าทีออกมา พอฟังคำนี้ก็จะนึกไปถึงการได้เห็นภาพโป๊ ภาพเย้ายวนของเพศตรงกันข้ามแล้วมีอาการทางเพศขึ้นมา หรือแม้แต่มีใครมายั่วโมโห ก็จะมีอารมณ์ขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้อารมณ์จึงเป็นเจตสิกที่ปรุงแต่งจิตให้เคลื่อนไหวรุนแรงยิ่งกว่าปกติ



อารมณ์จึงเป็นสภาวะที่ลึกลงไปอีกหนึ่งระดับ ถัดจากความคิดที่ปกติก็มีอยู่แล้ว ความคิดเป็นทางเดินให้อารมณ์ประกอบได้จะเห็นได้จากกระบวนการทางปฏิจสมุปบาท อารมณ์จะอยู่ถัดจากการรับรู้ทางอายตนะและผัสสะ การรับรู้ทางอายตนะและผัสสะนั้นเป็นกระบวนการทางจิต แต่เมื่อจิตได้รับรู้จากอายตนะภายในและอายตนะภายนอก อันที่จริงอายตนะภายนอกในที่นี้ถ้าหากเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ อารมณ์ภายนอก ที่จะทำให้เกิดการกระทบนั่นเอง ถ้าหากอารมณ์ภายนอกนี้ประกอบไปด้วยอิฏฐารมณ์ คือน่าพอใจ ก็จะทำให้อารมณ์แสดงผลออกมาเป็นอารมณ์น่าพอใจ แต่ถ้าอารมณ์นั้นเป็นอนิฏฐารมณ์ คือสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์อันไม่น่าพอใจ ก็จะทำให้อารมณ์นั้นไม่น่าพอใจตามไปด้วย เพราะในส่วนของอารมณ์จริงๆ แล้วจะอยู่ที่ระดับเวทนา คือความรู้สึกนี่เอง อารมณ์ในที่นี้จึงลึกลงภายในอีกระดับหนึ่งถัดความระดับความคิด



ปัจจุบันจึงมีการจัดระดับของการพัฒนาบุคคลไว้ โดยจัดระดับการพัฒนาอารมณ์ไว้ลำดับที่สองเช่นกัน ได้แก่

การพัฒนาจิต (Mental Development)
พัฒนาอารมณ์ (Emotional Development)
พัฒนาสังคม (Social Development)
และพัฒนาปัญญา (Intellectual Development)
เมื่อดูตามลักษณะของระดับการพัฒนาจึงเห็นว่า อารมณ์อยู่ระดับที่ ๒ ถัดจากจิต ความหมายของการพัฒนาจิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการพัฒนาจิตที่เป็น Consciousness แต่เป็นจิตที่เป็น Thoughtfulness ด้วยเหตุนี้การพัฒนาจิตก็คือการพัฒนาความคิดให้เป็นสัมมาทิฏฐิ หรือพัฒนาจิตให้มีความคิดที่ดี คิดในเชิงบวก (Positive Thinking) เท่านั้น



โศลกว่า “ฝึกอารมณ์” การฝึกอารมณ์หรือการพัฒนาอารมณ์ตามความหมายที่ใช้กันในทางโลกนั้นมีความหมายว่า การฝึกข่มอารมณ์ การควบคุมอารมณ์ การระงับอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์โลภและใคร่ อารมณ์โกรธ และอารมณ์หลง สมมติมีการนำเสนอภาพโป๊ ภาพร่วมเพศเย้ายวนให้เห็น ต้องฝึกข่มอารมณ์นั้นไม่ให้แสดงออกมา เมื่อฝึกบ่อยๆ ก็จะเกิดความชำนาญในการระงับความต้องการได้ แต่ไม่มีใครทราบว่า การข่มเช่นนี้มีผลข้างเคียงได้ เพราะจะทำให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไหลไปสู่ช่องทางอื่นให้อารมณ์ได้ปลดปล่อย จะเห็นว่า คนที่เก็บกดทางเพศจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวแทน หรือไม่ก็เงียบขรึมแทน


การฝึกอารมณ์ หรือการนำอารมณ์เข้ามาภาวนา ในความหมายทางธรรม ก็คือ การฝึกรู้เท่าทันอารมณ์ การฝึกเฝ้าดูอารมณ์ การฝึกสังเกตอารมณ์ การฝึกเรียนรู้อารมณ์ ยิ่งอารมณ์ใดกล้าแข็ง ก็จะยิ่งชัดเจนในการฝึก เมื่อฝึกได้ก็จะยิ่งพัฒนายิ่งขึ้น เพราะการรู้เท่าทันอารมณ์ที่กล้าจะทำให้สตินั้นกล้าตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้บางคนไม่เคยได้รับการกระทบที่รุนแรงเลยก็เข้าใจตนเองว่า ตนมีอารมณ์ไม่หวั่นไหว รู้ทันได้ แต่เมื่อใดถูกกระทบแรงๆ จึงจะรู้ว่า สติที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอที่จะทันและสลายอารมณ์ให้กลายเป็นเพียงอาการของอารมณ์ ไม่มีตัวอารมณ์ เพราะเมื่อใดไม่มีตัวอารมณ์ ผลทางเคมีของอารมณ์ก็ไม่สามารถผ่านจุดนี้ไปได้ กามตัณหา ภวตัณหาและวิภวตัณหา ก็ไม่มีเชื้อให้ได้ทำงานต่อไป

การฝึกอารมณ์ไม่ใช่ฝึกเฉพาะตอนที่นั่งสมาธิเท่านั้น ทุกย่างก้าวก็ต้องฝึก การฝึกทุกจังหวะที่ดำเนินชีวิตจะทำให้สติได้ทำงานอย่างสม่ำเสมอ สติจะพัฒนากล้าแข็งขึ้น สติที่พัฒนากล้าแข็งย่อมทำให้การฝึกอารมณ์เจริญก้าวหน้า พัฒนาได้โดยไว การที่อยู่ในช่วงของการฝึกก็ต้องฝึกตลอด ขึ้นชื่อว่า การฝึกแสดงให้เห็นว่า ทุกขณะของการเคลื่อนไหวนั้นเป็นการฝึก ผู้ฝึกฝนอารมณ์ตนในทุกขณะที่เข้าสู่กระบวนการฝึกเฝ้าดูอย่างไม่กระพริบตาในทุกข้อต่อของระบบอิทัปปัจจยตา ไม่ว่า อะไรที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ก็เห็น ก็รู้ ก็เข้าใจ เนื่องจากระดับอารมณ์เป็นระดับที่อยู่ใกล้กับจุดสุดท้ายของสภาวธรรมทั้งมวล

ถ้าหากได้ฝึกอย่างถูกต้องก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการเข้าถึงธรรม เมื่อพิจารณาอารมณ์ในระบบอานาปานสติ ระดับของอารมณ์อยู่ระดับที่สาม แต่ตัวของอารมณ์อยู่ในขั้นที่สอง ระดับที่สามของอารมณ์ก็คือ การกำหนดเห็นอาการของอารมณ์ที่ไม่มีความเป็นนาม แต่เห็นโดยความเป็นกิริยา การเห็นอารมณ์โดยความเป็นนาม ก็คือการเห็นสี ขนาด สัณฐาน รส แต่ถ้าเป็นการเห็นโดยความเป็นกิริยา ก็คือการเห็นเพียงอาการที่เป็นอารมณ์เท่านั้น การเห็นโดยความเป็นเพียงกิริยานี้ใกล้ต่อความว่าง เพราะลึกลงไปอีกระดับหนึ่งก็จะกลายเป็นเพียงความว่าง

โศลกว่า “ผู้ไม่ฝึกไหนเลยจะมีพลัง ฝ่าฟันแรงปะทะได้” เมื่อใดก็ตามใช้สติกำหนดเห็นอารมณ์นั้นเป็นเพียงกิริยา ระดับของอารมณ์คือระดับที่ปรุงแต่งจิต เมื่อเห็นการสิ่งที่ปรุงแต่งจิตเป็นเพียงกิริยาอาการเท่านั้น ไม่ได้เป็นนาม คือ เป็นตัวของอารมณ์ สภาวะแห่งความเป็นกิริยาไม่สามารถนำมาขยายผลได้ ในที่สุดก็สลายไป กลายเป็นความว่างไปในที่สุด รักษาสภาวะแห่งความว่างนั้นไว้เพื่อนำไปพิจารณาอีกขั้นตอนหนึ่ง ก็จะเข้าใจสภาวะที่ปรากฏทั้งหมดด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นจากนี้

ผู้ที่ฝึกเช่นนี้สติจะมีพลัง ทำให้กระบวนการแห่งอินทรีย์แปลผลเป็นพลังขึ้นมาทันที เมื่ออินทรีย์เปลี่ยนเป็นพลังก็สามารถเข้าสู่ทุกสนามรบจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นสนามไหนๆ ไม่ว่า จะเป็นสนามที่เต็มไปด้วยกองกำลังโลภะ กองกำลังราคะ กองกำลังโทสะ หรือกองกำลังโมหะ ล้วนแล้วแต่ไม่อาจผ่านด่านแห่งการย่อยสลายให้กลายเป็นเพียงกิริยาได้ เพราะผู้ที่ฝึกขุนพลทั้ง ๔ ได้แก่ ความเชื่อมั่น (สัทธา) ความต่อเนื่อง (วิริยะ) ความแน่วแน่ (สมาธิ) และความรอบรู้ (ปัญญา) โดยมี สติ คือ ความตื่นตัว ความเป็นแม่ทัพ ย่อมสามารถสลายกองกำลังเหล่านั้นให้เหลือแต่เพียงกิริยา ไม่มีเชื้อที่จะกลายเป็นตัวขึ้นมาได้ ผู้ที่มีกำลังทั้ง ๕ นี้ย่อมสามารถต้านและทนต่อแรงปะทะได้ทุกทิศทาง ทุกสนามรบ เคลื่อนไปข้างหน้าได้ ไม่ท้อถอย

โศลกว่า “ผลของการฝึกอย่างต่อเนื่อง จะแสดงพฤติออกมาได้เองในยามปกติ” การกระทำใดก็ตามหากกระทำได้ดุจเดียวกับที่ฝึกฝนในสนามฝึก จนกลายเป็นความชำนาญ ช่ำชอง เชี่ยวชาญ ระหว่างการฝึกเป็นอย่างไร นอกสนามฝึกก็เป็นเช่นนั้น เมื่อถึงบัดนี้ผลของการปฏิบัติสื่อออกมาเอง จนบุคคลนั้นแทบไม่เชื่อว่า ผลของการฝึกฝนนั้นช่างน่าอัศจรรย์แท้

ตัวอย่างของเรื่องนี้มีอยู่ว่า เด็กชายผู้อ่อนแอคนหนึ่ง เขาตกเป็นที่ระบายของหัวหน้าแก๊งเด็กในหมู่บ้าน ไม่ว่าเขาจะทำอะไร หรือไม่ทำอะไร ก็ล้วนแต่ถูกเด็กหัวโจกคนนั้นรังแกอยู่เสมอ อยู่มาวันหนึ่งเด็กชายผู้อ่อนแอคนนี้คิดได้ว่า ขืนอยู่ต่อไปอย่างนี้ก็มีแต่ถูกรังแกอยู่ร่ำไป จึงได้แอบหนีไปฝึกฝีมืออยู่ที่สำนักแห่งหนึ่งในหมู่บ้านอื่น สิ่งที่เป็นหน้าที่ของการฝึกของเด็กชายผู้นี้ทุกวันก็คือ การกระชากโซ่เส้นหนึ่ง ในวันแรกๆ เขานึกว่าเป็นท่าเบื้องต้นในการฝึกฝน วันเวลาผ่านไปนานนับปี อาจารย์ก็ยังคงให้เขาทำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้เปลี่ยนท่าทาง หรือให้แม่ไม้ลายมือท่าอื่นใดอีกเลย เด็กคนนี้คิดว่า สงสัยไม่ได้เรื่องเสียแล้วในการฝึกของตนที่นี่ก็เลยลาอาจารย์กลับหมู่บ้านของตน


ทันทีที่เด็กชายผู้อ่อนแอคนนี้เดินเข้าไปสู่หมู่บ้านเดิมของตน พวกเด็กๆ ที่เคยรังแกเขา พอเห็นเขาเดินมาเช่นนั้นก็ปรี่เข้ามาเพื่อที่จะรังแก เขกกระบาลเขาเหมือนเช่นเคย ด้วยอารามเคยชินกับการกระชากโซ่นานนับปี เด็กชายผู้อ่อนแอคนนี้ก็เลยจับแขนหัวหน้าแก้งเด็กเกเรที่ยื่นมือมาหมายเขกกระบาลเขาแล้วกระชากอย่างแรง ผลแห่งการกระทำเช่นนั้น แขนของเด็กคนนั้นก็หลุดจากไหล่ทันที พวกเด็กคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นต่างผวาแตกตื่นวิ่งหนีกันอลม่าน เด็กชายผู้อ่อนแอคนนั้นเห็นผลประจักษ์สายตาตนเองทันทีว่า การฝึกฝนกระชากโซ่ของตนนั้นไม่ได้เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ หรือไม่มีค่าต่อการฝึกฝนอย่างใด แต่กลับมีผลอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เพียงแค่กระชากทีเดียว ไม่ได้ออกแรงมากนักด้วยซ้ำยังทำให้แขนของคนที่จะทำร้ายเขาหลุดได้เช่นนี้ นึกแล้วก็รู้สึกซึ้งน้ำใจต่ออาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาที่ง่ายๆ แต่มีพลังมากมาย

การฝึกที่สม่ำเสมอ ฝึกทุกย่างก้าว ไม่ปล่อยวางละทิ้งให้สิ้นเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แม้ในยามฝึกฝนอาจรู้สึกอึดอัดขัดข้อง ไม่เห็นประโยชน์ในการฝึก แต่ก็ยินยอมฝึกไปอย่างไม่ลดละ ฝึกไปอย่างต่อเนื่อง ฝึกอารมณ์ที่เป็นตัวอารมณ์ให้เหลือเพียงอาการของอารมณ์เท่านั้น ผลหลังจากการฝึกฝนย่อมอัศจรรย์จนแทบไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นกระทบระดับไหน ก็สามารถสงบระงับได้ เพราะสิ่งที่กระทบไม่ได้มีตัวอารมณ์เข้ามาสู่ความรู้สึก แต่เป็นเพียงกิริยาที่ถูกพลังแห่งอินทรีย์ทั้ง ๕ ย่อยสลายไปให้เหลือเพียงอาการ ผลแห่งอาการไม่สามารถเข้าไปสู่ความรู้สึกที่เรียกว่า เวทนา จนกลายเป็นตัณหา และยึดมั่นถือมั่นได้ ทุกอย่างมีแต่อาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเท่านั้น


นี่คือ โศลกที่เจ็ดแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อุปสรรคแห่งความดี




โศลกที่หก "อุปสรรคแห่งความดี"
กำหนดจิตนอนค่อนยามหนึ่ง
นาฬิกาภายในกายยังไม่นิ่ง
บอกเวลายังไม่ตรง
ตื่นก่อนกำหนดสองรอบ
กำหนดจิตนอนต่ออีก
ช่วงแห่งการทดสอบความตั้งใจมาถึง
มีสิ่งกดทับ ขยับไม่ได้ หายใจไม่ออก
พระรัตนตรัยคือที่พึ่งที่ดีที่สุด
แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป


จิตได้ทำหน้าที่ของตนในการควบคุมทุกอย่างที่เป็นคนๆ หนึ่งอย่างเบ็ดเสร็จ จนกลายเป็นว่า คนๆ นั้นไม่สามารถทราบได้ว่า แท้จริงการกระทำของตนนั้นเป็นตนต้องการกระทำจริงๆ หรือ? บางครั้งอาจมีความรู้สึกว่า ตนไม่ได้อยากกระทำเช่นนั้นเลย แต่ทำไมจึงทำลงไปได้ นั่นก็เพราะอำนาจของจิตที่มีอำนาจเหนือการควบคุมของตนเอง ไม่อาจต้านทานอำนาจสั่งการของจิตได้ สำหรับกับบางคนไม่มีแม้กระทั่งความรู้สึกเช่นนี้ในการสำนึกถูกผิด ก็เพราะเขาเข้าใจว่า ทุกอย่างนั้นเป็นตัวเขาเองทั้งหมดที่ทำ ทุกเรื่องทุกอย่างที่ทำไปจะถูกลบล้างไปด้วยเหตุผลอันสมควรกระทำทั้งสิ้น การกระทำที่นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงหลับไปอีกครั้ง การกระทำที่เริ่มตั้งแต่มีชีวิตจนจบชีวิต


จะมีใครบ้างเข้าใจการทำงานของจิตที่มีพลังควบคุมให้ร่างกายได้กระทำทุกเรื่องราวลงไป เนื่องจากทุกกระกระทำล้วนกลายเป็นผลงาน กลายเป็นหน้าที่ กลายเป็นกิจกรรมของชีวิต กลายเป็นผลิตผลเกิดขึ้นในโลก ไม่แปลกเลยที่นักคิดพากันเข้าใจสรุปลงในที่สุดว่า ทุกอย่างเกิดจากจิต ทุกอย่างสะท้อนออกมาจากจิตนี่เอง (Mind Only) การที่ยินยอมรับสภาพเช่นนี้ก็เท่ากับยินยอมผูกมัดตนเองให้อยู่ในสังสารวัฏนี้อย่างไม่มีการขัดขืน


ในยามใดก็ตามที่กายไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของจิต จิตจะมีปฏิกิริยาต่อกายทันที โดยการสร้างชุดเหตุผลเข้าไปกล่อมเกลาตนว่า การกระทำนั้นไม่ถูกต้อง เป็นความเถื่อนดิบ ไม่มีอารยธรรม ไม่เป็นไปตามคำสอนที่เคยบันทึกเอาไว้ แล้วในที่สุดก็ประณามการกระทำของกายที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องทางเพศ เพราะในขณะที่ความต้องการทางกายรุกเร้าเต็มที่ จิตไม่สามารถควบคุมได้ จนกระทั่งกามกิจจบลง นั่นจะถึงเวลาสำนึกอีกครั้ง จิตเข้ามาทำหน้าที่ ไม่น้อยที่นึกเสียใจต่อการกระทำอันเนื่องมาจากไม่อาจขัดขืนพลังกาย

หากใครก็ตามเข้าใจการทำงานของจิตได้ถูกต้อง แท้จริง ก็จะไม่แปลกใจและสงสัยการทำงานของจิต อีกทั้งยังสามารถหาประโยชน์จากระบบการทำงานของจิตได้อีก การทำงานของจิตมีความเที่ยงตรง เป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน มีเส้นทาง มีวิถีของจิตเองทั้งหมดขั้นตอนนี้มี ๑๗ ขณะ เริ่มจากการทำงานของภวังคจิต ๓ ขณะ มโนทวาร ๑ ขณะ ปัญจทวารช่องใดช่องหนึ่ง ๑ ขณะ การรับรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รวมเป็น ๓ ขณะ การเข้าไปปรุงแต่งเสพเสวยอารมณ์นั้นๆ ๗ ขณะ การจัดส่งไปสู่ภวังคจิตอีก ๒ ขณะ นี่คือกฎของจิตเรียกจิตนิยาม หากสามารถเข้าใจการทำงานของจิตเช่นนี้ก็สามารถเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเรากับจิตหาใช่สิ่งเดียวกันไม่ และเราก็หาได้มีไม่ มีแต่การแสดงออกมาจากขันธ์ ๕ นี้เท่านั้น เมื่อเข้าใจเช่นนี้ก็สามารถแยกแยะการทำงานของจิต ดูการทำงานของจิตไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของจิตได้อีก

โศลกที่ว่า “กำหนดจิตนอน” ผู้ที่เข้าใจการทำงานของกายและจิตสามารถกำหนดจิตนอนและก็สามารถกำหนดจิตตื่นได้ เป็นการบอกต่อตนเองว่าต้องการตื่นนอน ต้องการหลับในเวลาที่กำหนดไว้ ผู้ปฏิบัติทั้งหลายมักใช้นาฬิการ่างกายในการทำหน้าที่ จิตจะสั่งการให้ตื่นภายในเวลาที่กำหนดไว้ จิตที่มีกำลังจะมีอำนาจสั่งการได้ ดูจากการสั่งการของผู้มีอำนาจทั้งหลายสามารถสั่งผู้อื่นให้กระทำได้ด้วยวาจา ด้วยน้ำเสียง ด้วยท่าทาง อย่าว่าแต่จิตนี้สั่งการแม้กระทั่งร่างกายของตนภายในได้ด้วย เมื่อจิตสั่งการ นาฬิการ่างกาย (Body Clock) ก็เริ่มทำงานกำหนดเวลาไว้


ตามหลักสรีรศาสตร์ ร่างกายนี้มีต่อมต่างๆ ในการควบคุมร่างกายเป็นจำนวนมาก ต่อมเหล่านี้ทำงานทั้งที่เป็นแบบปกติและแบบผิดปกติ แบบปกติก็คือต่อมย่อยอาหาร หรือต่อมป้องกันเชื้อโรค แต่ที่ทำงานในขณะที่ผิดปกติ เช่น ในขณะตกใจสุดขีด กลัวสุดขีด สุขสุดขีด ปีติสุดขีด ต่อไร้ท่อจะทำงานในการหลั่งสารออกมา ต่อมเหล่านี้มีทั้งเป็นคุณและเป็นโทษต่อร่างกาย มีทั้งควบคุมจังหวะคอยสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะต่างๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน อีกทั้งต่อมเหล่านี้จะทำงานตามเวลาของตนอีกด้วย ถ้าใครเข้าใจช่วงจังหวะการทำงานของต่อมเหล่านี้ ก็ย่อมรู้จักระมัดระวังชีวิต ระวังสุขภาพ สามารถควบคุมการทำงานของกายได้ สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากร่างกายได้

โศลกว่า “มีสิ่งทดสอบความตั้งใจ กดทับขยับไม่ได้หายใจไม่ออก” การกังวลมากเกินไป ความตั้งใจมากเกินไป ความเมื่อยล้าเกินไป ความเครียดเกินไป การสั่งกายให้ทำงานหลายจังหวะ การนอนผิดเวลาและการตื่นผิดเวลา ปัจจัยเหล่าสิ่งนี้ประจวบเหมาะกันเข้าจึงเกิดอาการที่เรียกกันที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ถูกผีอำ” การสั่งจิตให้ทำงานบ่อยครั้ง จิตได้ควบคุมกาย แต่ไม่สามารถควบคุมการทำงานได้ครบทุกส่วน ควบคุมได้แต่ความรู้สึก แต่ไม่สามารถเข้าไปครองประสาทกายทั้งหมดได้ การประสานกันของสภาพชีวเคมีของร่างกายกับเจตภูติในกายไม่สมดุลกันอันเกิดมาจากจิตควบคุมเกินไป ด้วยเหตุนี้ทำให้กายส่วนหนึ่งไม่พร้อมที่จะทำงานจึงเกิดอาการดิ้นไม่ได้ หายใจไม่สะดวก พูดไม่ได้ แต่กลับมีความรู้สึกตัวอยู่ ในยามนี้เป็นลักษณะของการขาดห้วงแห่งรูปและนาม การขาดนี้ถ้าเป็นถาวรก็คือ การสิ้นชีวิต เมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นคนส่วนมากล้วนตกใจเพราะเกรงว่าตนจะได้รับอันตราย หรือต้องสิ้นชีวิตไป เพราะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ทั้งนั้น ดุจดังการถูกกดไว้ใต้น้ำ พยายามดิ้นแต่ไม่สามารถดิ้นได้ ไม่นานรูปและนามก็อาจจะขาดจากกัน


ในขณะที่เกิดปรากฏการณ์นี้ สติเป็นอาวุธสำคัญที่สุด ต้องตั้งสติ ค่อยๆ ไล่เลียงดูจิตให้ทำงานไปทุกส่วนอย่างช้าๆ ใช้สติเข้าไปกำหนดจิตให้เข้าไปทำงานควบคุมกาย ในขณะที่มีความรู้สึกนี้ คนจำนวนมากมักนึกถึงสิ่งที่เคารพนับถือบูชา สวดมนต์ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ช่วยเหลือให้อาการนี้หายไป เมื่อตกใจตื่นขึ้นในอีกไม่กี่นาทีต่อมาเกิดอาการเหนื่อยหอบ ร้องไห้ หอบเหนื่อย หน้าซีด ตัวสั่น หรือแสดงอาการตกใจกลัวอื่นๆ นอกจากนั้นในขณะที่เกิดอาการเช่นนี้ จิตยังได้สร้างมโนภาพอันน่ากลัวขึ้นมาอีกในช่วงนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นยมทูต ภูตผีปีศาจ เปรตอสุรกายทั้งหลายเข้ามากดทับจะทำร้าย เพราะเป็นความเคยชินของมนุษย์ที่ถูกประสบการณ์ของการถูกรัดไม่อาจดิ้นได้ ช่วยตนเองไม่ได้ก็ย่อมเข้าใจว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาทำให้เป็น อาจถึงความตายได้จึงต้องไขว่คว้าถึงสิ่งยึดเหนี่ยว


อย่างไรก็ตาม ยังมีธรรมชาติอีกมากที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ทฤษฎีที่อธิบายในแง่ของวิทยาศาสตร์ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของเรื่อง สิ่งที่เป็นนอกเหนือจากการอธิบายด้วยเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์นั้นมีอยู่ อย่าได้ปฏิเสธอย่างสุดโต่งไปเสียส่วนเดียว พึงพิจารณาให้ดีว่า การทำความดีนั้นไม่ว่าจะมากจะน้อยเพียงใด ก็จะเริ่มมีอุปสรรคขัดขวางเพื่อให้คนไม่บรรลุถึงความดีนั้นได้ง่าย สังเกตจากการฝึกนั่งสมาธิ เพียงแค่จะเริ่มทำก็จะเริ่มหาวทันที ทั้งที่อยู่เป็นวันก็ไม่หาว ไม่ง่วง ไม่กระสับกระส่าย ไม่อึดอัด นั่นก็เพราะมีสิ่งที่เข้ามาขัดขวางการทำความดีที่เรียกว่า นิวรณ์ หรือแม้แต่บางคนจะไปทำบุญ ก็หาเวลาว่างไม่ได้สักทีผ่านวันเวลาไปนานนับเดือนก็หาโอกาสไม่ได้ นั่นก็เพราะการทำความดีนั้นต้องผ่านการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ การเข้าปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ไหนเลยจะไม่มีสิ่งใดทดสอบความตั้งใจที่แท้ ยิ่งบุคคลใดที่มีเริ่มตั้งใจบำเพ็ญบุญญาบารมี ก็จะต้องผ่านอุปสรรคหลากหลายรูปแบบ อุปสรรคหนึ่งก็คือ เทวปุตตมาร เป็นเทพผู้มาทดสอบความตั้งใจ ทดสอบบารมี ทดสอบความสามารถผ่านด่านขัดขวางเบื้องต้นอย่างนี้ได้หรือไม่


โศลกที่ว่า “พระรัตนตรัยคือที่พึ่งที่ดีที่สุด แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป” บุคคลใดก็ตามเมื่อตั้งตนไว้ชอบ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุด ไม่มีที่พึ่งใดอื่นยิ่งกว่าแล้ว ไม่ว่า อุปสรรคน้อยใหญ่ใดๆ ก็ไม่อาจทำลายเกราะแก้วกำแพงแห่งพระไตรรัตน์นี้ได้ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นครูแห่งเทวดา มาร พรหม ทั้งหลาย พระธรรมเป็นสัจธรรมคำสอนของพระองค์ พระสงฆ์ คือ พระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น การระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยอยู่สม่ำเสมอก็จะพ้นจากมารภัยทั้งหลายในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดได้ อย่างได้พรั่นพรึงต่อกิเลส มาร ภัยเหล่านั้น

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลาย ก็คือ การมีเมตตาวุธ กรุณาวุธ และปัญญาวุธ อาวุธเหล่านี้ไม่ได้ใช้ประหัตประหาร แต่ใช้สำหรับแผ่ไปถ้วนหน้า ให้สรรพสัตว์ได้รับผลแห่งบุญที่ปฏิบัตินั้น อย่าได้ท้อถอยละทิ้ง กระทำเบาในบุญบารมี อุปสรรคแห่งความดีเป็นมาตรวัดในสิ่งที่กำลังดำเนินปฏิบัติไป

นี่คือ โศลกที่หกแห่งคัมภีร์สุวิญญมาลา

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หนึ่งบัลลังก์


จะมากจะน้อยก็ต้องเร่งบำเพ็ญเพียร
ศึกษาแผนที่และวิธีการที่สั่งสมตลอดมา
รู้หลักควรทำอย่างไร จังหวะไหน
ทั้งต่อกลุ่มและต่อตนเอง
เวลาช่วงรุ่งเช้าพลังชีวิตกำลังก่อตัว
เหมาะสมกับช่วงเวลาบำเพ็ญ
ทั้งหมดหนึ่งบัลลังก์


การศึกษาข้อมูลเป็นเรื่องจำเป็นต่อการทำทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากข้อมูลมีพร้อมก็ทำให้เข้าใจแง่มุมของเรื่องที่ทำอย่างมีทิศทาง มีเป้าหมาย มีหลักวิชา มีความถูกต้อง ข้อมูลที่เรียกว่า Information เป็นฐานทำให้ตัดสินใจกระทำได้อย่างมั่นใจ ข้อมูลนี้เทียบเท่าได้กับหลักปริยัติ ได้แก่การศึกษาเล่าเรียน ข้อมูลเหล่านี้ไม่มีอะไรมากไปกว่า ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ความรู้เช่นนี้ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ เป็นการเติมเรื่องราวเข้าไปสู่หน่วยความจำอีกหนึ่งชุดเท่านั้น ใครที่มีความจำเกี่ยวกับข้อมูลนี้มากเท่าใด ก็เรียกผู้นั้นว่า ผู้มีความรู้ (Knowledge) มากเท่านั้น

กระบวนการเสริมความรู้ตรงนี้ สัญญาทำงานขึ้นตรงต่อวิญญาณ คือการรับรู้ ความรู้ตรงนี้อยู่ในระดับสุตตมยปัญญา เป็นความรู้ที่อยู่ในระดับผิวเผินมาก เป็นระดับรวบรวมข้อมูลเท่านั้นเอง (Data Collection) ความรู้ชั้นนี้ก่อให้เกิดความเชื่อมากมาย เมื่อเขามีข้อมูลต่อสิ่งใดมากก็เชื่อต่อสิ่งนั้นมาก ดุจดังใครที่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มาก ก็เชื่อต่อคอมพิวเตอร์มาก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ ในที่สุดก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของคอมพิวเตอร์ ตกอยู่ภายใต้อำนาจของความรู้ที่ตั้งอยู่บนข้อมูลทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้มีความเชื่อเช่นนี้เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ถมทับความหนาของอวิชชาเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ในทางโลกมองดูว่าเขาเป็นผู้มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ แต่ในทางธรรม ถือว่าเขาถูกข้อมูลที่มีในสัญญาแฝงเข้ามาผูกมัดเขาเข้าให้แล้ว ความรู้ในชั้นนี้เปรียบได้กับคนทำเมนูอาหารเท่านั้นเอง


ลึกเข้าไปอีกระดับหนึ่ง การได้ข้อมูลมาแล้วนำมาพิจารณา ใคร่ครวญ การพิจารณาใคร่ครวญนี้เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่จำเป็นต้องทำ ข้อมูลที่ไม่ได้พิจารณาแยกแยะ วิเคราะห์ ก็ยังคงเป็นข้อมูลดิบยังไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้มาก ได้แต่รวบรวมข้อมูลได้มากหรือน้อยเท่านั้นเอง ดังนั้นจำเป็นต้องนำข้อมูลเข้าไปสู่กระบวนการวิเคราะห์แยกแยะ การวิเคราะห์แยกแยะทำให้เห็นองค์ประกอบของข้อมูลนั้นอย่างแจ่มชัด เข้าใจได้ว่าข้อมูลไหนจำเป็นและไม่จำเป็น ใช้ได้เหมาะกับงาน หรือไม่เหมาะกับงาน ความรู้ชั้นนี้ลึกลงอีกหนึ่งระดับอยู่ในขั้นจินตามยปัญญา

ความรู้ในระดับนี้อยู่ภายใต้การทำงานของความคิด (Thinking) ความรู้ที่ได้จากการทำงานขึ้นตอนนี้เรียกว่า ทฤษฎี (Theory) เป็นชุดความรู้ที่ได้มาจากการวิเคราะห์ แยกแยะ แจกแจงให้เห็นองค์ประกอบภายใน ขั้นตอนของหลักการและวิธีการ และสังเคราะห์ให้เป็นชุดความรู้ ความรู้ในขั้นนี้ทำให้คนนั้นกลายเป็นนักปรัชญาขึ้นมาได้ แต่ก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของจิตที่ทำหน้าที่ไปตามฐานกิเลสตัวหลักคือ อวิชชา ตัณหา และอุปาทานที่นอนเนื่องอยู่ภายใน ความรู้ระดับนี้เปรียบได้กับคนทำเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือทำอาหารและส่วนผสมของอาหารเท่านั้น แต่ก็ยังอยู่ในขั้นของปริยัติ

ลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เป็นขั้นของการปฏิบัติที่เรียกว่า ประสบการณ์ ประสบการณ์ในที่นี้คือ สมาธิ (Meditation) ความรู้ระดับนี้เป็นความรู้ในระดับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ (Transformation) สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในแต่ละด้านจนสามารถปรากฏขึ้นมาได้ย่อมเกิดมาจากความรู้ระดับประสบการณ์นี้ทั้งนั้น เปรียบได้กับคนที่ปรุงอาหารตั้งแต่ต้นจนสำเร็จเป็นอาหารจานหนึ่งขึ้นมา โดยอาหารนั้นมีรสกลมกล่อม อร่อย หรือเปรียบได้กับการช่างทำบ้าน ที่มีแปลน มีอุปกรณ์การสร้างบ้าน และก็สร้างบ้านจนสำเร็จขึ้นมาสวยงามตามพิมพ์เขียวนั้น เป็นความเปลี่ยนแปลงจากพิมพ์เขียว กระดาษแผ่นหนึ่ง จากอิฐ หิน ปูน ทราย กระเบื้อง เป็นต้น กลายมาเป็นบ้าน เป็นการ Transform สิ่งหนึ่งมาเป็นอีกสิ่งหนึ่งได้ นี่เป็นขั้นของการปฏิบัติ

ในขณะที่การกระทำเรื่องนั้นสิ้นสุดลง สำเร็จลง ถึงเป้าหมาย ปรากฏความเปลี่ยนแปลงขึ้นจากปริยัติและปฏิบัตินั้น เรียกว่า ปฏิเวธ ก็คือ การลุถึงความสำเร็จ เช่น การสร้างบ้าน ทุกขั้นตอนของการสร้างสำเร็จลงแล้วเมื่อใด เมื่อนั้นจึงเรียกว่า บ้าน ชื่อว่า ปฏิเวธแล้ว ส่วนตัวบ้านและการได้อยู่สุขสบายภายในบ้านนั้นจึงเป็นผลของการกระทำบ้านนั้น

โศลกว่า ศึกษาแผนที่และวิธีการที่สั่งสมตลอดมา
รู้หลักควรทำอย่างไร จังหวะไหน จึงเป็นข้อมูลและการเตรียมอุปกรณ์ในการปฏิบัติเท่านั้น ส่วนการปฏิบัติที่เป็นประสบการณ์นั้นเป็นเรื่องต่อจากนี้ ต้องใช้เวลา ต้องใช้กำลังทั้ง ๕ ส่วนตลอดการบำเพ็ญ ได้แก่ การมั่นใจในการปฏิบัติ การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง การกำหนดหมายในการปฏิบัติ การปฏิบัติอย่างสมดุล การพิจารณาสภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ในกระบวนการปฏิบัติทั้ง ๕ องค์ประกอบนี้ใช้ฐานปรากฏการณ์ ความรู้สึก อาการเคลื่อนไหวของจิต และการพิจารณาธรรมเป็นอุปกรณ์ ความเป็นผู้ฉลาดในการปฏิบัติจำเป็นต้องมี คือเป็นคนสังเกตทุกขณะเพื่อให้ทราบถึงพลังทั้ง ๕ ประการนั้นมีความสมดุล เหมาะสม ไม่มาก ไม่น้อย ตัวกำกับทุกขณะปฏิบัตินี้ก็คือการกำหนดหมายทุกสภาวะที่เคลื่อนไหวในขณะปฏิบัตินี้

โศลกว่า “เวลาช่วงรุ่งเช้าพลังชีวิตกำลังก่อตัว” หมายความว่า ร่างกายกับจักรวาลเป็นสิ่งที่ประสานสัมพันธ์กัน สรรพสิ่งสัมพันธ์กับจักรวาล การเริ่มต้นแห่งวันเป็นจังหวะที่เหมาะแก่การเริ่มการงาน ดอกไม้ผลิบานในยามที่เช้า สรรพสัตว์ตื่นตัวและตื่นนอนในตอนเช้า ดังนั้น ช่วงเช้าประมาณตี ๔ เป็นช่วงเวลาที่นาฬิกาในร่างกายกำลังประสานกับนาฬิกาจักรวาล ความตื่นตัวจะเกิดขึ้นในช่วงเช้าเช่นนี้ ความสดชื่น การหลั่งสารรับแสงของร่างกาย การเตรียมพร้อมจะเบิกบานของยีนส์ในอณูต่างๆ ภายในร่างกายจะพร้อมกันในช่วงเช้า ด้วยเหตุนี้เวลาเช้าตรู่เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างยิ่ง

คำว่า ทั้งหมดหนึ่งบัลลังก์ คำนี้มีความหมายสำหรับการปฏิบัติ หนึ่งบัลลังก์ เป็นการปฏิบัติที่ครบหนึ่งรอบของการปฏิบัติ หนึ่งรอบในการปฏิบัติมีอะไรบ้าง

๑. รอบแห่งกระบวนการหายใจทั้ง ๔ ขั้น (กาย)
๒. รอบแห่งกระบวนการรู้สึกทั้ง ๔ ขั้น (เวทนา)
๓. รอบแห่งกระบวนการทางสภาวะจิตทั้ง ๔ ขั้น (จิต)
๔. รอบแห่งกระบวนการปัญญาพิจารณาธรรมทั้ง ๔ ขั้น (ธรรม)

แต่ละกระบวนการของแต่ละขั้นต้องประกอบไปด้วยหน้าที่ทั้ง ๕ ได้แก่ ความมุ่งมั่น พยายาม รู้ตัว กำหนด รู้แจ้ง กระทำหน้าที่สำคัญเหล่านี้ (อินทรีย์) ให้มากจนเปลี่ยนจากหน้าที่เป็นกำลัง (พละ) โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ ดังนี้
๑. รอบกระบวนการหายใจทั้ง ๔ ขั้นใช้เวลา ๔๕ นาที
๒. รอบกระบวนการรู้สึก ๔ ขั้นใช้เวลา ๓๐ นาที
๓. รอบกระบวนการทางจิตทั้ง ๔ ขั้นใช้เวลา ๓๐ นาที
๔. รอบกระบวนการพิจารณาธรรมทั้ง ๔ ขั้นใช้เวลา ๒๐ นาที

ส่วนเวลาที่เหลือให้เป็นการใช้ไปเพื่อการอยู่ในสุขวิหารธรรมอีกประมาณ ๔๐ นาที รวมแล้ว ในการปฏิบัติทั้งหมด ๑ บัลลังก์ ควรใช้ประมาณ ๓ ชั่วโมง หากใช้เวลาช่วงเช้าจากเวลาตี ๔ ถึงเวลา ๗ นาฬิกา จะได้หนึ่งบัลลังก์ อย่างไรก็ตามประมาณเวลาตลอดหนึ่งบัลลังก์นี้จะไว จะช้าก็ขึ้นอยู่กับวสี คือ ความเชี่ยวชาญของผู้ปฏิบัติไปตามลำดับ
นี่คือ โศลกที่ห้าของคัมภีร์สุวิญญมาลา

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ให้ละทิ้งอารมณ์เดิม


อย่าได้นำจิตไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์เดิม
เพราะจะทำให้จิตยึดเอาอารมณ์เดิมมาพัวพัน
ทำให้ใจไม่ก้าวหน้าในการภาวนา
ยิ่งละทิ้ง ยิ่งปล่อยวาง

ยิ่งว่าง กลับยิ่งเจริญมาก
พึงระมัดระวังอย่าหลงติดกับ
กับดักอันแยบยลนี้
มันคือเล่ห์เหลี่ยมของจิต




คำว่า อารมณ์ ในทางปฏิบัติมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง และมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ในการปฏิบัติจึงใช้คำว่า อารมณ์กัมมัฏฐาน เพราะอารมณ์ตัวนี้เองที่จะเป็นอุปกรณ์โน้มนำจิตให้เชื่อง มีพลัง และเป็นจิตที่เหมาะแก่การงาน การงานในที่นี้ก็คือ เหมาะแก่การนำไปพิจารณาธรรมเพื่อให้เห็นแจ้งในขันธ์ตามความเป็นจริง

พึงทราบประการแรกก่อนว่า อารมณ์เป็นสิ่งที่จิตนำเข้ามาประกอบกับจิตให้จิตได้ยึดถือเอาเป็นเครื่องดำรงอยู่ของจิต เมื่อจิตได้อารมณ์จะทำให้จิตเคล้าคลึงกับอารมณ์นั้นอยู่ได้ ไม่ไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดอีก จิตจึงอยู่ปราศจากอารมณ์ไม่ได้ในแง่นี้ เป็นเหมือนกับเด็กที่เมื่ออยู่กับของเล่นแล้วก็ไม่งอแง จับสิ่งนั้นคลึงไปมา พึงพอใจกับสิ่งนั้น อยู่ตรงนั้นได้นานๆ ไม่ร้องไห้ ไม่วุ่นวาย เพราะถ้าหากจิตไม่อยู่กับอารมณ์แล้วละก็ จิตจะทำให้หน้าที่ของมันเองทันที ได้แก่การคิด จิตที่คิดเป็นจิตที่ทำงานหนักมาก ไม่ได้พักผ่อน ในขณะที่จิตคิด จิตได้เติมพลังเข้าไปสู่อัตตา ปรุงแต่งอัตตาด้วยอาหารนานาชนิด ไม่รู้จักจบสิ้น



ดังที่มีเรื่องเล่าในพระพุทธศาสนาว่า พระสังฆรักขิตะผู้เป็นหลานของพระเถระรูปหนึ่งยืนพัดพระเถระอยู่ข้างหลัง ในขณะที่พัดหลวงลุงตนเองอยู่นั้น ก็ปล่อยจิตล่องลอยไปตามครรลองของจิตที่ทำหน้าที่คิด จากเรื่องนั้นสู่เรื่องนี้ จากเรื่องนี้สู่เรื่องโน้น จนกระทั่งมาสู่เรื่องที่ว่า ถ้าเราลาสิกขาออกไป ทำงานขายผ้าแล้วได้เงินมาเอาไปซื้อแม่แพะสักตัว พอแม่แพะได้ลูกมาก็จะขายลูกแพะนั้นเพื่อเป็นต้นทุนต่อไป จากนั้นก็หาสาวสวยสักคนแต่งงานเป็นภรรยา ไม่นานเราทั้งสองก็คงมีลูกด้วยกัน เราจะได้พาเธอพร้อมกับลูกมากราบหลวงลุงที่วัด ในขณะที่จะไปหาหลวงลุง เราจะอุ้มลูกไปหาท่าน แต่เธอแย้งว่าเธอจะเป็นคนอุ้มเอง เราทั้งสองโต้เถียงกันเรื่องลูก จนแล้วจนรอดก็เธอโกรธที่ไม่ได้อุ้มลูกเอง จึงปล่อยลูกไว้ที่ทางเดิน เราโกรธจัดเพราะเธอปล่อยลูกไว้ทางเดิน รถจะมาชนลูกได้ จึงใช้ไม้ตีเธอเข้าให้เพราะไม่พอใจที่เธอทำเช่นนั้น แต่ผู้ที่พระภิกษุรูปนี้ตีก็คือ หัวพระเถระผู้เป็นลุงที่ตนยืนพัดอยู่นั่นเอง

นี่คือตัว อย่างของการปล่อยจิตให้คิด เมื่อปล่อยจิตคิดไป จิตจะปรุงแต่งให้เป็นเรื่องราว สืบสาวไปจากไม่มีอะไร ให้มีอะไรขึ้น ในขณะที่ปรุงไป อารมณ์ก็สั่นไหวไปตามสิ่งที่ปรุงนั้น ถ้าดีก็พอใจ ถ้าไม่ดีก็ไม่พอใจ เป็นอย่างนี้ตลอด ดังนั้นจึงสมควรขยับจิตให้พ้นระดับความคิด เข้าไปสู่ระดับแห่งอารมณ์ เพราะระดับอารมณ์จะลึกเข้าไปอีกระดับหนึ่ง

ก่อนอื่นให้ทราบระดับของจิตไว้ก่อนก็ดี ระดับของจิตนั้นมีความลึกลงเป็นลำดับดังนี้
๑. ระดับรับรู้ เป็นปรากฏการณ์
๒. ระดับปรุงแต่ง เป็นความคิด
๓. ระดับรู้สึก เป็นอารมณ์
๔. ระดับปล่อยวาง เป็นความว่าง

ผู้คนทั้งหลายในโลก โดยมากดำรงตนอยู่ในระดับความคิดนี้เท่านั้น โดยเฉพาะนักปรัชญาทั้งหลาย หรือที่เรียกว่า นักคิดทั้งหลายนั่นเอง ความคิดเหล่านี้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตให้ดำเนินไปได้ โดยมากแล้วเป็นบุรุษภาวะ นักคิดโดยมากเป็นผู้ชาย ในขณะเดียวกันก็มีคนที่ดำรงอยู่อาศัยความรู้สึก หรืออารมณ์เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอัตตาให้เจริญงอกงาม ผู้ที่ใช้อารมณ์ทั้งหลายโดยมากเป็นอิตถีภาวะ หรือเป็นผู้หญิงเสียส่วนมาก

อาวุธของความคิด ก็คือเหตุผล ผู้ชายมักใช้เหตุผลเพื่อให้ผู้หญิงยินยอม
อาวุธของอารมณ์ ก็คือน้ำตา ผู้หญิงทั้งหลายมักใช้น้ำตาเพื่อให้ผู้ชายยินยอม




โศลกที่หนึ่งจึงแสดงไว้ว่า ในการปฏิบัติอย่าได้นำจิตไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์เดิม ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องความคิด ซึ่งผ่านพ้นมาระดับหนึ่ง นักปฏิบัติพึงระวังความคิด และระวังจิตที่ไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์เดิม อารมณ์เดิมของการปฏิบัติได้แก่อารมณ์สุข อารมณ์พึงพอใจที่เคยมีมาก่อน ที่เคยปฏิบัติมาก่อน อารมณ์นี้จะทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า เนื่องจากจิตจะผูกติดกับอารมณ์นั้นซึ่งเป็นอดีต อตีตารมณ์เป็นอาหารของอัตตาเช่นกัน กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นอนาคตารมณ์ หรืออตีตารมณ์ก็ล้วนแล้วแต่ขัดขวางความเจริญก้าวหน้าการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น

นักปฏิบัติธรรม พระโยคาวจรทั้งหลายจะต้องล่วงพ้นความคิดซึ่งเป็นอนาคตารมณ์ และล่วงพ้นอารมณ์ ซึ่งเป็นอตีตารมณ์ทั้งสองส่วน แต่พึงมีสติปฏิบัติอยู่ในขณะปัจจุบัน ให้พิจารณาอาการที่ดำรงอยู่ รู้ตัวอยู่กับลมหายใจ อยู่กับอาการเคลื่อนไหวทั้งมวล การดำรงอยู่ในอาการที่เป็นปัจจุบันทำให้จิตก้าวล่วงเข้าถึงระดับความว่าง เพราะในขณะที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน อัตตาจะหายไป ไม่เหลืออดีต ไม่เหลืออนาคต มีแต่ปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันนี้เองที่ไม่เหลืออะไรให้ได้เกาะเกี่ยว เพราะทุกขณะเป็นเพียงอาการปัจจุบันที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่หลงเหลืออัตตาดำรงอยู่ได้

ผู้ปฏิบัติที่เข้าถึงสภาวะแห่งความว่างนี้ พึงรักษาความว่างนี้ไว้ให้ยาวนาน การภาวนาย่อมเจริญขึ้นมาก ภาวนาคือการอบรมปัจจุบันขณะให้ยาวนาน หรือกระทำให้มากนี่เอง การทำให้ปัจจุบันขณะให้ดำเนินไป สติก็เจริญตาม เครื่องมือของการภาวนาก็คืออารมณ์ สิ่งที่ใช้เครื่องมือนั้นก็คือ สติ ที่สำคัญอย่าได้ถูกจิตวางกับดักล่อไว้ เพราะในขณะที่จิตอยู่ในความว่างนี้ แม้เพียงเล็กน้อยจิตจะสร้างมโนภาพให้เข้าไปยึดและให้เข้าไปหลงใหล เช่น ความสงบสุข ปีติ ปราโมช สัมผัสพิเศษต่างๆ นี่คือ เล่ห์เหลี่ยมของจิตที่ทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในภาวนาที่แท้ และไม่ให้เข้าถึงจุดหมายที่แท้ของการภาวนา คือ จิตที่ควรแก่การงาน

นี่คือ โศลกที่สี่ของคัมภีร์สุวิญญมาลา