วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

คิดนอกกรอบกับประวัติพระพุทธศาสนา




คิดนอกกรอบกับประวัติพระพุทธศาสนา
โดย ยศพล สัจจะธีระกุล


การศึกษาประวัติพระพุทธศาสนาอาจเป็นยาขมและเรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนรุ่น
ใหม่เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องของเหตุการณ์ในอดีตไกลตัวนับพันๆปีแล้ว เรื่องราวที่ได้ร้อยเรียงเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระอัครสาวกองค์สำคัญๆยังสอดแทรกปรากฏการณ์ที่มนุษย์โลกยุคใหม่เข้าถึงผ่านจินตนาการของตนได้ยากหรืออาจถึงขั้นมองว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้(อธิบายด้วยหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้) ทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยที่เกิดขึ้นนั้นมีผลต่อทัศนคติและความเชื่อที่นำไปสู่การไม่ยอมรับในความอยู่จริงของพระพุทธเจ้าหรือมองไม่เห็นประโยชน์จากประวัติศาสตร์นั้นไม่มากก็น้อย ในทางตรงกันข้ามหากประวัติพระพุทธศาสนาสามารถสื่อสารให้ผู้ศึกษาคล้อยตามได้อย่างสนิทใจและเกิดทัศนคติที่ดีก็ย่อมถือว่าเหตุการณ์ในอดีตนั้นเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานเพื่อขยายผลต่อยอดต่อๆไป

การเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนานี้ผู้เขียนมีความเห็นว่าเป็นเรื่อง
ละเอียดอ่อนที่ผู้เรียบเรียงประวัติจะต้องนำเสนอเหตุการณ์สำคัญๆตามความเป็นจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาที่ไม่ขัดแย้งกันเอง หรืออ้างอิงจากศิลาจารึกรวมถึงโบราณสถานต่างๆที่ได้ขุดค้นพบและผ่านกระบวนการศึกษาวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่อาจไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาเป็นการส่วนตัว แต่สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการเรียบเรียงเนื้อหาที่จะนำเสนอจะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในแง่มุมขององค์ความรู้ของโลกปัจจุบันหรือผู้สนใจใฝ่รู้ทั่วไป(Outside - in)

อย่างไรก็ดี ประวัติเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาตามทัศนะของผู้เขียนนี้ควรผ่านการ
ตรวจรับรองจากองค์กร สถาบันหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการโดยตรงมากกว่าจะเปิดกว้างแก่ผู้คนทั่วไปซึ่งสนใจจะนำเสนอด้วยวัตถุประสงค์ต่างกันไปทั้งที่เปิดเผยและแฝงเร้นอยู่เบื้องหลัง นอกจากนั้นยังจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าประวัติพระพุทธศาสนานั้นจะต้องสามารถเสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่อพระศาสดาและพุทธศาสนาได้มากขึ้นโดยยึดกลุ่มผู้ศึกษาเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นผู้เขียนจึงมีความคิดเห็น(นอกกรอบ)ว่าสารัตถะเกี่ยวกับประวัติ

พระพุทธศาสนานั้นควรจัดทำหลาย version ให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ศึกษาเรียนรู้(อายุ เพศ อาชีพ คติความเชื่อทางศาสนาเดิม)แล้วควรมีการจัดจำแนกให้เป็นแนวทางคล้ายกับพระไตรปิฎกกล่าวคือ ควรจำแนกเนื้อหาสาระออกเป็น 3 ส่วนที่มีความเชื่อมโยงกัน ได้แก่

1.ส่วนแรกเป็นการมุ่งสร้างศรัทธาในพระบรมศาสดาจึงควรเป็นสารัตถะทางโลกหรือสมมติสัจจะที่สามารถสื่อสารให้เข้าถึงผู้ศึกษาเพื่อป้องกันข้อสงสัยตามองค์ความรู้และสอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกปัจจุบัน เช่น ประวัติพระบรมศาสดาตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงปัจฉิมวัยแบ่งเป็น 3 ภาคคือ
ภาคมนุษย์(เจ้าชายสิทธัตถะ) ภาคอนาคาริกหรือพระโพธิสัตว์ และ ภาคพระพุทธเจ้า
โดยเฉพาะควรเน้นการนำเสนอให้เห็นถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้แต่ละภาคนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคพุทธกาลทั้งที่ประสบผลสำเร็จ
และไม่ประสบความสำเร็จอันเป็นที่มาของพระสูตรต่างๆที่เกี่ยวข้อง(ความจริงที่ต้องยอมรับตามกฎธรรมชาติแต่ต้องมีสาเหตุประกอบ) โดยเฉพาะกรณีของพระอานนท์พุทธอนุชา ที่ถือว่าเป็นผู้ทรงจำพระพระธรรมคำสอน(พระสูตร)ของพระพุทธเจ้าได้มากที่สุดจนเป็นที่มาของการปฐมสังคายนารวบรวมเป็นพระสุตตันตปิฎกเนื่องจากได้ถวายการรับใช้พุทธอุปัฏฐากพระบรมศาสดาอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องมานับสิบปีแต่กว่าจะบรรลุอรหัตผลได้ต่อเมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว 3 เดือน หรือสาเหตุที่ทำให้สามารถบรรลุอรหัตผลอย่างรวดเร็วเพียงการตรึกธรรมครั้งแรกจากพระพุทธองค์ของพระภิกษุบางรูป เป็นต้น

2.ส่วนที่สองควรเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสถานภาพของพระพุทธศาสนาหลังยุค
พุทธกาลทั้งยุครุ่งเรือง ยุคเสื่อม ยุคฟื้นฟู และยุคล่มสลายจากชมพูทวีปตามหลักฐานข้อเท็จจริง เป็นต้น สำหรับประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ถือเป็นบทเรียนและประสบการณ์ที่มีคุณค่าแก่การสืบทอดพระพุทธศาสนาที่คนรุ่นใหม่พึงเรียนรู้ถึงความสำเร็จและความล้มเหลว รวมถึงการปรับตัวตามสถานการณ์เพื่อการดำรง

อยู่ของพระพุทธศาสนาในสถานการณ์ต่างๆจนเป็นที่มาของความเสื่อม เป็นต้นซึ่งความจริงที่เกิดขึ้นในอดีตนี้นอกจากจะเป็นการเรียนรู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆแล้วยัง
เป็นสิ่งเตือนสติแก่พุทธศาสนิกได้อย่างดีว่าความสำเร็จและความเสื่อมของพระพุทธศาสนานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? และจะใช้เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อีก(Preventive Action) ต่อไปได้อย่างไร?

3.ส่วนที่สามควรนำเสนอเกี่ยวกับวิธีการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนและพระศาสนา
ในยุคพุทธกาลและหลังพุทธกาลซึ่งเป็นส่วนที่นำเสนอเกี่ยวกับความจริงตามนัยของพุทธศาสนา(ปรมัตถสัจจะ) รวมถึงที่มาของการแตกแขนงออกเป็นฝ่ายเถรวาทและมหายาน โดยเนื้อหาในส่วนนี้ควรประมวลหลักธรรมคำสอนที่ถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่แตกต่างไปจากลัทธิศาสนาอื่นให้ชัดเจนเพื่อให้คนรุ่นใหม่ทั้งในและนอกพระพุทธศาสนาได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของหลักธรรมคำสอนที่ต้องใช้ปัญญากำกับศรัทธา ได้รับรู้ถึงจุดยืนที่ไม่เป็นพิษภัยแก่ลัทธิศาสนาใดๆนอกจากนี้ ควรสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงคติความเชื่อของลัทธิเทวนิยม และอเทวนิยมเพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถแยกแยะได้ว่าหลักพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร? และลัทธิความเชื่อนอกพระพุทธศาสนาที่นำมาปนเปื้อนหรือแปลกปลอมเข้ามาในปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไรและเป็นภัยแก่พระศาสนาได้อย่างไร ? เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประวัติพระพุทธศาสนาจะเป็นเพียงข้อมูลหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์ที่ไม่ต่างจากประวัติศาสตร์สาขาอื่นๆ แต่สำหรับชาวพุทธแล้วควรถือว่าการเรียนรู้ประวัติพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องนั้นเปรียบเป็นบันไดขั้นแรกของการทำความเข้าใจที่ถูกต้องอันจะนำไปสู่การเสริมสร้างศรัทธาที่มีต่อพระบรมศาสดาและสถาบันพระศาสนาก่อนที่จะศึกษาเรียนรู้ต่อยอดให้เกิดปัญญาในขั้นสูงขึ้นไปเป็นลำดับตามกระบวนการปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ และประเด็นสำคัญที่ไม่ควรละเลยก็คือ จะต้องเป็นการนำเสนอเฉพาะความจริงแท้ มีประโยชน์ และเหมาะสมกับกาลเทศะให้สอดคล้องกับหลักการสอนของพระพุทธเจ้าในอภยราชกุมารสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์(พระวาจาที่พระตถาคตตรัสและไม่ตรัส)

ดังนั้น เรื่องราวใดและเหตุการณ์ใดที่จะนำไปสู่ความเคลือบแคลงสงสัยหรือไม่
เกิดประโยชน์แม้จะเป็นความจริง หรือเพียงต้องการสร้างความพึงพอใจให้ผู้อื่นก็พึงพิจารณาทบทวนหรือแยกนำเสนอในส่วนที่เหมาะสมกับผู้มีปัญญาที่สามารถตรึกธรรมระดับนั้นให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้ และด้วยความคิดนอกกรอบข้างต้นนี้ผู้เขียนจึงคาดหวังว่าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาจะได้รับการชำระเช่นเดียวกับการสังคายนาพระไตรปิฎกเพื่อให้พระพุทธศาสนามีความบริสุทธิ์ตรงตามความเป็นจริงและเกิดคุณค่าแก่ผู้ศึกษาเรียนรู้สมกับที่มีผู้กล่าวว่า ‘ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งสันติภาพและนำสู่ความสุขอย่างยั่งยืน ’ ที่ชาวพุทธทุกคนควรภูมิใจและร่วมกันพิทักษ์ปกป้องให้คงอยู่กับสังคมโลกโดยไม่นิ่งดูดาย.

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

อาณาจักรอินเดียโบราณ



ขอนำเสนอบทความแปลลงให้เป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ เป็นหนังสือที่แสดงถึงอาณาจักรต่างๆ ของประเทศอินเดียที่เกี่ยวข้องกับ
พระพุทธศาสนาในอดีต กลับมาครั้งนี้น่าจะให้ผู้สนใจได้ติดตามกันนะครับผม



บทที่ ๑
การอุบัติขึ้นของพุทธศาสนา



ประมาณศตวรรษที่ ๖ ก่อนศริตศักราช ประเทศอินเดีย (แต่เดิมเรียกว่า ชมพูทวีป)
ถูกแบ่งเป็นส่วนใหญ่ๆ เรียกกันว่าชนบทหรือมหาชนบท
ในคัมภีร์บาลีอังคุตตรนิกายแห่งพระไตรปิฎกให้รายละเอียดดินแดนของอินเดียไว้ มีถึง ๑๖ แคว้น (โสฬส มหาชนบท)
แคว้นต่าง ๆ เหล่านี้ เจริญรุ่งเรืองระหว่างสมัยของฮินดูกูชและโคธาวรี เป็นช่วงระยะไม่นานก่อนถึงสมัยของพุทธเจ้า
แคว้นเหล่านั้นก็คือ กาสี (คือเมืองพาราณสีในปัจจุบัน) โกศล (โอธะ) อังคะ (พิหารตะวันออก) มคธ (พิหารทางใต้)
วัชชี (วริจีพิหารทางเหนือ) มัลละ (เมืองโครักขปุร) เจตี (อยู่ระหว่างจุมนาและนารมทา)
วังสะ (อยู่ที่วัสสะบางส่วนของเมืองอัลลาหะบาด) คุรุ (ถาเนสวรเดลีและมิรัต)
ปัลจาละ (อยู่เขตบาเรลลี เขตยาถูนและและเขตฟารุกขะบาด) มัชชะ (เจปุระ)
สุรเสนะ (มถุรา) อัสสกะ (เมืองอัสมะกะติดไปทางโคธาวรี) อวันตี (อยู่ที่มัลวะ)
คันธาระ (อยู่ที่เมืองเปชวารและระวัลปินดิ) กัมโพธะ (แคชเมียรส่วนที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้และบางส่วนของอัฟกานิสถาน)




ในหนังสือจุลนิเทสได้เพิ่มแคว้นกาลิงคะ แต่ไม่มีแคว้นคันธาระ ทั้งยังเพิ่มแคว้นโยนกไว้อีกด้วย ในชนวาสภสูตรแห่งฑีฆนิกาย
ได้จัดชนบทไว้เป็นคู่ ๆ ได้แก่ กาสี-โกศล วัชชี-มัลละ เจตี-วังสะ กุรุ-ปัจจาละ และมัชชะ-สุรเสนะ

ส่วนคัมภีร์มหาวัสตุของฝ่ายสันสฤกตก็มีชื่อเช่นเดียวกันเพียงแต่ไม่มีชื่อแคว้นคันธาระและกัมโพชะอยู่ด้วย
แต่กลับมีแคว้นสีพีและทัสสณะในปัญจาบ (หรือเมืองราชปุตนะ) ไว้แทน และยังมีเมืองทางอินเดียตอนกลางไว้ตามลำดับ ทางฝ่ายคัมภีร์ของศาสนาเชน ภัคควตีสูตร ก็บันทึกรายชื่อของมหาชนบททั้ง ๑๖ เอาไว้ มีความแตกต่างกันเพียงกันเล็กน้อย
ยกตัวอย่างเช่น แคว้นอังคะ, ภังคะ (ก็คือวังสะ), มคหะ ก็คือมคธ), มลยะ, มาละวากะ, อาชชะ, วาชชะ (ก็คือวัสสะ), โกชชะ, ปาธหะ (หรือปาณฑยะ หรือปุณดระ), ลาธะ (ลาฏะ หรือราธะ), พัชชี (วัชชี), โมลิ (ก็คือมัลละ), กาสี (กาษี), โกศล, อวาหะและแคว้นสัมภุตตระ

จะเห็นได้ว่า บางเมืองมีชื่อต่างกันนิดหน่อย บางเมืองก็ไม่เหมือนกัน สันนิษฐานว่าคัมภีร์ของศาสนาเชนนี้ มีมาหลังคัมภีร์ทางพุทธศาสนา อาจบางทีคัมภีร์ทางศาสนาเชนได้ระบุเมืองใหม่ๆ ที่อยู่ทางตะวันออกไกลและทางใต้ของอินเดียเข้าด้วย ดังนั้น จะถือเอาคัมภีร์ทางฝ่ายพุทธศาสนานั้นถูกต้องกว่า เกี่ยวกับการแบ่งเขตการปกครองในยุคนั้น ก่อนที่ยุคสมัยชนกะจะล่มสลายไป ในส่วนที่เกี่ยวข้องกันนี้ มหาโควินทะสูตรแห่งฑีฆนิกาย ระบุว่าอินเดียถูกแบ่งออกเป็นเมืองสำคัญ ได้แก่ เมืองกาลิงคะ (ทานตะปุละ) อัสสกะ (โปตนะ) อวันตี (มหิสสติ) โสวีระ (โรรุกะ) วิเทหะ (มิถิลา) อังคะ (จัมปา) และกาสี (พาราณสี)




แคว้นที่กล่าวไว้ข้างบนทั้งหมดนั้นเจริญรุ่งเรืองในสมัยที่พระพุทธเจ้าและศาสดามหาวีระศาสดาศาสนาเชนมีพระชนม์ชีพอยู่ ในบรรดาแคว้นเหล่านั้นมีอยู่ ๔ แคว้นที่มีอำนาจเหนือกว่าแคว้นอื่นๆ และต่างก็พยายามที่จะแผ่ขยายอำนาจไปสู่แคว้นใกล้เคียง แคว้นใหญ่ทั้ง ๔ นั้นคือ แคว้นมคธะ, โกศล, วัสสะ และอวันตี แคว้นทั้งสี่นี้ปกครองโดยกษัตริย์ แต่ก็มีแคว้นที่ปกครองแบบรัฐสภาด้วย
เช่น แคว้นวัชชะ,มัลละ และปาวา

นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีเมืองเล็กๆ อีกที่ปกครองด้วยระบบรัฐสภาเช่น แคว้นศากยะแห่งนครกบิลพัสถุ์, โกลิยะแห่งเทวทหะและรามคาม ภัคคัสแห่งเทือกเขาสุมสุมาระ, บูริสแห่งอัลลกัปปะ, กาลามะแห่งเกสปุตตะและโมลิยะแห่งปิปผลิวนะ

Nice Songs

เพิ่มวิดีโอ
ไม่ได้มา Update ข้อมูลเสียนานเลย ขอนำเพลงมาฝากสักหลายๆ เพลงนะ
น่าสนใจนะเพลงนี้

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บรรยากาศเก่าๆ



ชมอุทยานคุนหมิงเมืองไทย
จ.เลย











ประชุมสัมมนาที่เลย




ทีมในฝัน มีที่นี่ที่เดียว บว.มมร.