วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องสั้น เถระยุคสุดท้าย


มีแต่ต้องยอมรับจังจะทำให้ใจสงบลง
แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างสนิทใจ
คำ..ยอมรับ..
ที่ทำไดโดยไม่เสียน้ำตาเล่า!”
ขึ้นสิบค่ำเดือนสิบ
ดินแดนสารขันธ์กลายเป็นที่รู้จักกันทั่วเพราะมีสถานเริงรมย์ เหลาสุรา
โรงเตี๊ยมและนารี ผู้คนต่างพากันใฝ่ฝันอยากจะได้มาแวะชมสักครั้ง
แต่ผู้คนอดตั้งคำถามในใจตนไม่ได้ว่า
เหลาสุรานารีใยอยู่ใกล้อารามภิกษุยิ่งนัก
ป้ายอารามหมองมัว
แผ่นชื่อเหลาสุราสะดุดตา
น่าอาดูรต่อวิญญูชนอย่างยิ่ง
เสียงดนตรีประโคมดังผ่านช่องหน้าต่างเข้าสู่อารามในยามราตรี
สตรีสูงวัยสองนางกำลังทำความสะอาดเก็บเก้าอี้และโต๊ะอย่างเงียบๆ คล้ายไม่สนใจใยดีต่อเรื่องราวใดๆ
พลันประตูอารามเปิดออก สตรีชราสองนาง เงยหน้ามองว่าเป็นผู้ใด ใช่ว่านางไม่เคยเห็นผู้คนเข้าประตูนี้มา แต่มาเวลานี้นางก็อดดูไม่ได้


[[[[[



หนทางแผ่นศิลาเรียบสายหนึ่ง
สองข้างทางมีร้านค้าแบละเหลารุราเรียงเป็นแนวยาวดูเป็นระเบีรยบ
ผู้คนกำลังเดินไปบนเส้นทางที่มุ่งไปสู่ตึกหลังใหญ่หลังหนึ่ง
เอ้งฮวง เป็นภิกษุหนึ่งท่านหนึ่งที่เข้าไปสู่ห้องบรรยายธรรมที่ตึกใหญ่หลังนั้น
ตัวห้องปูพรมหสีแดงงดงาม บนโต้ะมีเครื่องรับภาพอันทันสมัยทุกตัว
ท่านยังใหม่ในธรรมวินัย นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งพร้อมกับดึงสมุดบันทึกขึ้นมาไว้บนตัก

สตรีนางหนึ่งเดินผ่านไป
กลิ่นน้ำหอมมีราคาปะทะจมูกจนทำให้มันต้องยกมือขึ้นลูกจมูกพร้อมกับเหลือมองด้วยหางตาแวบหนึ่ง
ชุดสีเท่าที่นางสวมใส่เป็นชุดที่ทันสมัยยิ่ง
ในยุคนี้ ตุ้มหูมุกส่องประกายจากติ่งหูทั้งสองข้างของนาง
ทรงผมสั้นเพียงบ่าคล้ายทรงผมสตรีแดนอาทิตย์อุทัย กระโปรงสีครีม่ยามคลุมมาถึงข้อเท้า รองเรท้สีน้ำตาลอ่อนที่รองรับเท้าที่เล็กเรียวดูปราดเปรียว
มันอดนึกชมนางในใจไม่ได้ว่า สตรีนางนี้ดูสง่างามภาคภูมิ
สองมือนางหอบหนังสือชุดหนึ่งแนบอกเดินผ่านไปเบื้องหน้า

ความสง่างามของบุคคลดูได้จากพฤติกรรม
ความสง่างามเกิดจากความเพียร
ความสง่างามเกิดจากความสุขุมคัมภีรภาพ
สง่างามด้วยอาการสงบ
สมาธิเป็นการรวมพลังความสง่างามให้แผ่ซ่านไป…

ในขณะที่มันกำลังปล่อยจิตให้คิดอย่างเป็นอิสระนั้น เอ้งฮวงต้องตกใจเมื่อมันได้ยินเสียงหนึ่งทักขึ้น
เป็นเสียงชายผู้มีอายุท่านหนึ่งยืนอยู่ข้างมันเมื่อไรไม่ทราบ
“ขอโทษ ข้ามารบกวนท่านหรือไม่?”
“หามิได้” มันผายมือไปยังม้านั่งที่ว่าง
“เชิญท่านอาวุโส”
“ข้ามิเคยพบเจ้ามาก่อน มิทราบมาแต่ที่ใด” อาวุโสท่านนั้นถามพร้อมกับแนะนำตนเอง
“ข้าแซ่ลี้ นางเอียงกอ”
“ข้ามาจากลุ่มอิรวดี” เอ้งฮวงตอบตามมารยาทสังคม “ข้าแซ่ซือ นามเอ้งฮวง”
“ท่านมาด้วยธุระใด?”
“ข้าเพียงต้องการทราบข่าวพระเถระท่านหนึ่งที่อยู่ ณ อารามแห่งนี้”
“ท่านรู้จักหรือ?”
“หามิได้”
“หากเจอแล้วจะรู้จักหรือ?”
“หากท่านพระเถระต้องการปกปิด ไหนเลยจะทราบได้”
“ถ้าเช่นนั้นหวังว่า ท่านจะได้พบในเร็ววัน” ผู้อาวุโสแซ่ลี้ให้ความหวัง นัยตาเป็นประกายวูบหนึ่ง
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”

ไม่ว่าผู้ใด ในชีวิตหนึ่งย่องต้องพบกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปรกระทันหันมากมาย
เหตุการณ์เหล่านั้นมีทั้งน่ายินดีและทั้งเลวร้าย มีทั้งน่าปีติหรรษา
มีบ้างที่น้างความท้อแท้รันทดแก่ผู้คน
กระนั้นผู้คนก็ยากยิ่งจะบังคับให้ทุกสิ่งเป็นไปดังที่ผู้คนคาดหวัง
ทุกคนต่างมีปมของตนที่แก้ไม่ตกและไม่อาจแพร่งพราย

ผู้อาวุโสเดินจากไปด้วยท่าทางเฉื่อยชา คล้ายเบื่อหน่ายต่อชีวิตอย่างยิ่ง
เอ้งฮวงลอบคิดในใจ ผู้อาวุโสท่านนี้มาหลายส่วนน่าเลื่อมใส



(อ่านต่อในรวมเรื่องสั้น ปุ๊ซินเนี่ยน)

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ฤาจะถึงกาล












โอ…เชี๊ยะเทียนใบไม้ร่วงโรย
อาดูรนัก ยืนดูเดียวดาย
หล่นเกลื่อนกล่นยากยิ่งทัดทาน
เฉกเช่นชะตากรรมมนุษย์เมื่อถึงกาล
ฤา…
ผู้ใดเล่าห้ามได้!!



ฟาเหวินยืนบนเนินหินรำพึงพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่

เชี๊ยะเทียนปีนี้ดูหม่นหมองกว่าทุกปี ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉาแห้งเกรียม



เปลวแดดต้นเชี๊ยะเทียนกระทบกายร้อนผะผ่าว

ในบางครั้งความร้อนนี้ยังน้อยกว่าความร้อนที่เกิดมาจากจิตใจของผู้คน

ลมพัดใบปังแห้งปลิวตกใกล้เท้าฟาเหวิน ดูเหมือนยิ่งทำให้จิตใจมันสลดหดหู่ยิ่งกว่าเดิม

จริงอยู่อีกไม่นานสถานที่แห่งนี้ก็จะเขียวชะอุ่มเช่นเดิม สองข้างทางจะสดเขียวไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า เหล่าผีเสื้อหมู่แมลงก็จะบินโฉบเฉี่ยวล้อเล่นดอมดมเหล่าพฤกษา สรรพสิ่งกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

แต่มีบางสิ่งบางเรื่องราว ก็ไม่อาจกลับคืนมาเหมือนเดิมเช่นกัน…ดุจดังผมที่หงอกขาว ไหนเลยจะกลายมาดำขลับได้อีกเล่า

ตอนนี้เป็นต้นฤดูกาล สภาพเช่นนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร จะต้องรออีกนานเพียงไหน?!

เด็กเลี้ยงวัวกลุ่มหนึ่งวิ่งต้อนวัวไปตามท้องทุ่งอันแห้งแล้ง เหลือแต่ตอข้าวที่ถูกแดดแผดเผาทุกวัน ฝูงวัวเล็มตอข้าว พวกเด็กวิ่งหลบเข้าร่มไม้ริมทุ่ง

ฟาเหวินยืนมองธรรมชาติไปทำให้จิตใจพลอยคลายความกลัดกลุ้มไปบ้าง

ในขณะที่มันลังเลไม่รู้จะตัดสินใจเช่นไรและก็ไม่รู้จะกระทำประการใด มันพลันพบว่า มีสตรีนางหนึ่งกำลังมองดูตัวมันและกำลังเดินมา ณ ที่ ๆ มันยืนอยู่

นางคือ เวียวมู่หลา (วิมลา) สตรีน้อยสาวแรกรุ่นนางหนึ่ง เป็นสตรีนางเดียวที่มันถือว่าเป็นเพื่อนในช่วงที่มันอยู่ที่นี่ห้าเดือน

นางคือสตรีชาวบ้านที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ทั้งมิใช่เสื้อผ้าที่ตัดมาจากร้านที่มีชื่อเสียงทั้งมิใช่ผ้าที่มาจากแคว้นกาสี เพียงแต่นางสวมใส่ชุดใดก็เหมาะสมกับนาง เนื่องเพราะความสมส่วนแห่งความเป็นสตรีอันสมบูรณ์เต็มที่ถูกปกปิดไว้ภายในแล้ว ผมที่ปล่อยยาวสลวยดำขลับสะท้อนกับแสงอาทิตย์บางครั้ง นางมีดวงตาที่บริสุทธิ์คู่หนึ่ง แววตานั้นลึกซึ้งไร้มารยาที่มากมายแอบแฝง

ลมร้อนปะทะผ้าคลุมไหล่นางปลิวพริ้วไป

“ข้ามองท่านอยู่เนิ่นนาน” นางกล่าวด้วยสีหน้าวิตก “ดูเหมือนท่านจะมีเรื่องยุ่งยากใจใช่หรือไม่”

“ข้าคงไม่ได้มายืนมองทุ่งนาแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว” ฟาเหวินไม่กล้าที่จะสบตานางเอ่ยคำ “ท่านคุรุสัมภาดรให้ข้ากลับจุงโกวภายในห้าวัน” มันเพียงนึกคำเหล่านี้หาได้กล่าวออกไปไม่

นี่เป็นครั้งที่สามที่มันพบนาง และเป็นเดือนที่ห้าที่มันมาจากดินแดนของตนมา จากพ่อแม่และน้องสาว

ฟูเลียนต้า (นาลันทา) เป็นสถานที่ๆ เต็มไปด้วยสรรพวิชา เป็นสถานที่ใฝ่ฝันของผู้คนมากมายที่อยากจะศึกษาและสร้างชื่อเสียงที่นี่ แต่ช่างน่าเสียดายฟาเหวินมาในยามที่ฟูเลียนต้า กำลังประสบชะตากรรม

“หามิได้…เพียงแต่” มันพยายามที่จะเลี่ยงคำตอบของนาง

“ข้าพอทราบมาบ้าง และเข้าใจท่าน” นางชิงเอ่ยขึ้น ก่อนที่รอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าของนางจะจางหายไป “ผู้คนภายในหมู่บ้านพากันพูดถึงชะตากรรมของฟูเลียนต้า พวกเขาบอกว่ายากที่จะต้านทานได้ ก็ที่ฟูสี่ต้ามีการป้องกันอย่างเข้มแข็งเพียงไรยังคงถูกทำลายไปแล้ว”

“ข้าคิดจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นป้องกันที่นี่” มันกำมือตนเองแน่นพลางกล่าวขึ้น

“ความคิดของท่านไม่ผิด” นางถอนหายใจกล่าว “เมื่อคราถึงกาลแล้วมีผู้ใดเล่าห้ามได้ ?!”



ดวงอาทิตย์เมื่อขึ้นสูงสุดแล้ว

มีผู้ใดห้ามมิให้อาทิตย์ตกได้

ที่สำคัญหาได้อยู่ที่การหายไปของดวงอาทิตย์ในยามค่ำคืน

หากแต่อยู่ที่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในยามไร้แสงอาทิตย์ได้



“ข้าจะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือไร ?” ฟาเหวินมองดูนางตรงๆ สายตามันประสานกับดวงตาที่ใสบริสุทธิ์คู่นั้น “ในเมื่อผู้อื่นขอต่อสู้อยู่ที่นี่”

“ท่านทราบหรือไม่ที่ฟูสี่เลี่ยวต้า มีผู้เสียชีวิตไปเท่าไร”

“สิบหมื่นกว่าชีวิต”

“มีผู้ใดตำหนิผู้มีชีวิตรอดบ้าง?!”

“??!…….”

“ท่านไปจุงโกวเถิด ท่านยังมีสิ่งที่จะกระทำเพื่อชีวิตของท่านอยู่มาก”

“แล้วเจ้าละ…?” ฟาเหวินถามคำนี้ออกไปจริงๆ หรือนี่คือเรื่องหนึ่งที่มันหนักใจ

วู่มู่เหลียวใจหายกับคำถามนั้น นางบอกไม่ได้กับความรู้สึกของตน

ความรู้สึกของบุรุษสตรีที่เริ่มจะมีความรักมักมีความรู้สึกเช่นนี้

“ข้าอยู่ที่นี่ได้พบกับท่านนับเป็นวาสนาแล้ว” วาจานี้ใช่เป็นวาจาที่นางต้องการเอ่ยออกมาหรือไม่

“เจ้าไปจุงโกวกับข้าเถอะ” ประโยคนี้เป็นเพียงสิ่งที่มันคิดจะกล่าว “ข้าเองก็เช่นกันนับว่าเป็นวาสนายิ่งที่ได้พบเจ้า” มันกล่าวประโยคนี้ออกไป



(อ่านในเรื่องสั้น ปุ๊ซินเนี่ยน)

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

คัมภีร์ห่วงโซ่จักรวาล (๑)





บทที่หนึ่ง
วิถีอันโดดเดี่ยว




ยอดเขาสูงตระหง่านเสียดขึ้นไปบนบนอากาศ แม้ไม่ต้องขึ้นไปพิสูจน์ก็สัมผัสได้กับความหนาวเหน็บได้ หรือนี่คือที่มา “ยิ่งสูงยิ่งหนาว”

แสงอรุณต้องยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะกลายเป็นสีชมพูดูคล้ายสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ เมื่ออาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้วประกายเงินวูบวาบของหิมะก็ปรากฏขึ้นแทนที่

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเหยียบย่ำลงบนพื้นหิมะตามเชิงเขาที่มีสนเหยียดลำต้นขึ้นท่ามกลางความเหน็บหนาวของกองหิมะที่ปกคลุมมันอยู่ รอยเท้าที่ประทับลงบนหิมะเป็นแนวยาวคล้ายดั่งปฏิมากรรมบางอย่าง

ดวงตาของเขายังคงมองไปเบื้องหน้า แววตาบ่งบอกถึงความหวังที่เปี่ยมด้วยความหมายอันยิ่งใหญ่ บัดนี้ใบหน้าของเขาซีดขาวเพราะต้องลมและละอองหิมะ แต่กระนั้นเค้าหน้าที่หล่อเหลาคมคายยังรักษาไว้ซึ่งความสง่างาม กุยเล้งสานใบหนึ่งยังคลุมปกปิดศีรษะ เสื้อปอขาวปนน้ำตาลบัดนี้มีรอยขาดหลายแห่งแล้ว

ลำธารเล็กสายหนึ่งเป็นเสมือนธารหิมะ เป็นลำธารที่เกิดจากน้ำแข็งละลายส่งเสียงไหลริน

เขายืนมองลำธารที่กำลังรินไหลพรางรำพึงกับตนเอง

“หลายวันแล้วสินะที่เราเดินทางมา หนทางเส้นนี้ยาวไกลจริง ๆ

วิถีชีวิตที่โดดเดี่ยวเช่นนี้มีให้บุรุษเช่นเราได้เรียนรู้รสชาด ?!

เรามิใช่คนเร่ร่อน เช่นขอทาน

คนเร่ร่อนเป็นคนปราศจากอุดมคติ แต่เราไม่ใช่” เขาย้ำในความคิด

ความแตกต่างแยกแยะสมณะผู้จาริกแสวงบุญออกจากขอทาน

ก็คือ จิตใจและอุดมคติเท่านั้น

“ความเหน็บหนาวที่ล้อมรอบตัวเรายังเทียบไม่ได้กับความหนาวภายในใจ

มันคือ ความโดดเดี่ยว มันคือความเงียบเหงา มันคือความถวิลหาความอบอุ่นจากผู้คน ที่เรายังรู้สึกเช่นนี้ ก็เพราะจิตใจยังตกผลึกฝึกฝนไม่เพียงพอ”

เขาหยิบชุปปี้ (นมที่แข็งเป็นก้อน) ออกมาจากถุงหนังที่เหน็บไว้ที่เอวใส่ปาก

“เหลือเพียงสองก้อนสุดท้ายแล้วนะ” เขาพูดกับตนเอง “ต้องไปให้ให้ถึงหมู่บ้านข้างหน้าก่อนที่จะสิ้นใจอยู่บนภูเขาหิมะแห่งนี้”


.....................................



คฤหาสถ์โบราณหลังหนึ่ง เป็นคฤหาสถ์ของตระกูลสรองกาปะ ตระกูลนี้ยิ่งใหญ่มาหลายชั่วอายุคนจึงเป็นที่รู้จักของทุกคน และยังเป็นที่ต้อนรับของแขกผู้มาเยือนของเมืองนี้

สิ่งที่ตระกูลสรองกาปะภาคภูมิใจที่สุดก็คือ การมีทายาทสืบสกุล และสิ่งที่พวกเขากำลังจะเตรียมการต่อไปก็คือการวิวาห์ของบุตรชาย

ขึ้นสิบค่ำ เดือนห้า

ทุ่งหญ้ากำลังเขียวขจี ฝูงจามรีสามสี่ตัวเล็มหญ้าอยู่ตามเชิงเขาซึ่งเป็นธรรมชาติ ณ ดินแดนแห่งขุนเขากลายเป็นที่อันลึกลับ น้อยคนนักจะได้มาย่างกราย ณ ดินแดนแห่งนี้ ผู้คนดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติอย่างธรรมดาที่สุด ชีวิตกับธรรมชาติคล้ายเป็นสิ่งเดียวกัน

อันที่จริงมนุษย์ก็เป็นส่วนของธรรมชาติ แต่มนุษย์กลับพยายามหลีกหนีจากมัน มีผู้คนมากมายดิ้นรนค้นคว้าหาแนวทางเปลี่ยนแปลงและเอาชนะธรรมชาติ แต่เขาหาทราบไม่ว่าหายนะอันใหญ่หลวงกำลังรออยู่เบื้องหน้า

อาชีพที่สามัญที่สุดของผู้คนที่นี่คือเลี้ยงจามรี นมจามรีถูกนำมาดัดแปลงเป็นอาหารนานาประการเพื่อเก็บไว้ในยามที่หิมะปกคลุมพื้นดิน นอกจากนั้นพวกเขายังแสวงหาสมุนไพรมาบำรุงร่างกายให้แข็งแรงเพื่อให้อยู่ได้กับธรรมชาติ

ณ หมู่บ้านแห่งนี้มีคำบอกเล่าถึงโยคีมาราเรปะ ท่านบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขากาญชุ ภายในถ้ำลึกลับบางแห่ง ชาวบ้านถกเถียงกันถึงเรื่องอายุของท่าน บ้างก็บอกว่าท่านมีอายุยาวนานนับร้อยปีมาแล้ว บ้างก็บอกว่าท่านยังเป็นโยคีหนุ่มมือหนึ่งถือดอร์เจ้ (สัญลักษณ์แห่งวัชระของธิเบต) อีกมือหนึ่งถือประคำลูกโต แต่ยังไม่มีผู้ใดได้เห็นท่านอย่างถนัดตาสักครั้ง ทั้งหมดก็ยังเป็นเพียงคำเล่าลืออยู่นั่นเอง

ทินเล่ ลอปซัง….บุรุษหนุ่มแห่งตระกูลสรองกาปะรู้สึกสนใจในวิถีชีวิตของท่านมาราเรปะโยคีเป็นอย่างยิ่ง เขาเพียงแต่คิด…. “ชีวิตอันโดดเดี่ยว วิถีชีวิตแห่งการบำเพ็ญตนเช่นนั้นคือ ชีวิตอันสูงสุด ?!”

ในบางครั้งความสงสัยคือ จุดกำเนิดแห่งขุมปัญญามากมาย

เนื่องจากมีความสงสัยจึงมีการคิดค้นหาคำตอบ

เพื่อต้องการคำตอบจึงต้องทดลองกระทำ

ในโบราณกาล ปราชญ์ในโลกบรรลุธรรม

ก็เพราะทำลายความสงสัยเสียได้…

“อีกเจ็ดวันเท่านั้นนะทินเล….ที่เจ้าจะต้องดูแล…ธากิณี…ภรรยาของเจ้าแล้ว” มิเกโส สรองกาปะ ผู้เป็นบิดา กล่าวกับบุตรของตนด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความหวัง

การได้เห็นบุตรของตนมีเนื้อคู่ ครอบครองคฤหาสถ์เก่าแก่หลังนี้ให้ยั่งยืนต่อไปเพื่อดำรงไว้ซึ่งวงศ์ตระกูลให้ยาวนานนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับบิดามารดาทุกคน

“ครับ…ท่านพ่อ” เขาตอบอย่างสงบ

คำตอบ “ครับ” ของเขาคล้ายดั่งทรายที่ผ่านลำคอ คำตอบของตนทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เพราะแท้จริงแล้วเขายังสับสนในชีวิตที่ตนต้องการอย่างแท้จริง แต่ภายในใจอันบ่งบอกให้เขารับทราบได้ว่า มิใช่การดูแลธากิณี สตรีสาวแห่งตระกูลโทรกาปะแน่

มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความคิดซับซ้อน ซับซ้อนจนตนเองก็ไม่บอกไม่ได้ว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ แล้วฉะนี้ผู้อื่นใครเล่าจะมาเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้

การจะไปเข้าใจผู้อื่นมิใช่เป็นเรื่องกระทำได้ง่ายดายจริง ๆ

เขาถามใจตนเอง…. “แน่ใจหรือที่จะบอกแก่บิดาว่า ตนเองต้องการออกไปท่องโลกกว้าง แน่ใจหรือว่าโลกกว้างที่เขาต้องการท่องไปจะให้สิ่งที่เขาต้องการแสวงหาพบ…”

สภาวะสองสิ่งกำลังเข้าต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง พลัดกันชนะ พลัดกันแพ้อยู่ภายในความคิด มิทราบเส้นทางไหนคือเส้นทางสว่างสำหรับชีวิต ถ้าหากสองสภาวะมีตัวตนจริงป่านนี้ร่างกายของเขาคงฉีกขาดไปแล้ว

คำ “อกตัญญู” เป็นคำที่หนักยิ่งกว่าหินผา

แล้ว..ธากิณี…เล่า! เธอกำลังหวังในตัวเขาอยู่

ดูเหมือนมิใช่แต่สองตระกูลเท่านั้น แต่กลับเป็นผู้คนทั้งเมืองที่กำลังรอคอยแสดงความยินดี เขากล้าหรือที่จะพังทลายความหวังทั้งมวลลง

ยิ่งคิด…ทินเลลอปซัง…กำลังพบว่าตนเองกำลังจะยอมรับชะตาฟ้า พันธนาการนี้แน่นหนาเหลือเกิน ตนเองกำลังพ่ายแพ้ที่จะคิดต่อสู้….

“ท่านมาราเรปะ”…เขาคิดถึงท่านโยคี ท่านคือที่พึ่งสุดท้ายของเขาในยามนี้

ผู้คนมักเป็นเช่นนี้ ท้ายสุดแล้วคนห้อมล้อมนับหมื่นนับพันก็หาได้เป็นบุคคลที่ตนเองสนิทได้อย่างแท้จริง และหาใช่ผู้ที่จะช่วยเหลือตนได้

“สหายคู่ใจ” จึงเป็นบุคคลที่ควรแสวงหาตลอดมา

การพบสหายคู่ใจ (กัลยาณมิตร) จึงนับเป็นวาสนาอย่างยิ่ง
............................

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

พุทธยานมรรค : วิถีโปรดเวไนย์









ดร.สุวิญ รักสัตย์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
(ป.ธ.๗, พธ.บ., M.A., Ph.D.)



เกริ่นนำ



คำว่า “ชาวพุทธ” เป็นคำเรียกทุกคนที่นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะนับถือพระพุทธศาสนานิกายอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศไหน ก็เป็นชาวพุทธได้ทั้งนั้น แต่การจะเป็นชาวพุทธได้อย่างสมบูรณ์ถูกต้องและประพฤติปฏิบัติตนเป็นพุทธได้อย่างไรบ้างนั้น ไม่แน่ว่าชาวพุทธทุกคนจะทราบ และไม่แน่ว่าจะทำได้ เมื่อพิจารณาดูความหมายของคำนี้ ชาวพุทธนอกเหนือจากคำเรียกผู้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ความหมายหนึ่งได้แก่การเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพียงสามคำนี้ก็แทบจะเลิกบอกใครต่อใครว่าตนเองเป็นชาวพุทธ แม้เป็นคำง่ายๆ แต่ปฏิบัติได้ไม่ง่ายนัก อีกความหมายหนึ่ง หมายถึงผู้ที่บำเพ็ญตนตามแนวแห่งพุทธะ ตามความหมายนี้อาจมีผู้เข้าใจต่างกันเป็นสองนัยได้ กล่าวคือ นัยแรกหมายถึง การดำเนินตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว ส่วนอีกนัยหนึ่ง หมายถึง การดำเนินตามแนวทางที่จะเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้า แต่ไม่ว่าจะเข้าใจและปฏิบัติตามนัยไหน ผลก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะทางทั้งสองก็จะไปบรรจบที่จุดเดียวกัน คือ จุดแห่งการสิ้นสุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวล

จะเห็นได้ว่า แนวคิดแรกนั้น เป็นแนวคิดของพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งมุ่งไปที่การปฏิบัติตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว (สฺวากขาโต) ส่วนแนวคิดหลัง เป็นแนวคิดของพระพุทธศาสนามหายาน ซึ่งมุ่งปฏิบัติตนเพื่อให้เข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้า (โพธิสัตโต) ความแตกต่างกันของแนวปฏิบัติทั้งสองนี้อยู่ที่เส้นคั่นของกาลเวลา กล่าวคือ พระพุทธศาสนาเถรวาทถือปฏิบัติตามกาลที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ส่วนพระพุทธศาสนามหายานนั้น ถือตามกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ด้วยเหตุนี้ แนวคิดเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ จึงเป็นเรื่องแปลกสำหรับชาวพุทธเถรวาท แม้จะอ่าน จะศึกษาชาดก ซึ่งเป็นมรรควิถีที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญตนจนมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่ชาวพุทธเถรวาทก็เป็นเพียงรับทราบไว้ ไม่ได้มุ่งหมายปรารถนาบำเพ็ญตาม สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเป็นพุทธะนั้นยิ่งใหญ่ ตนไม่อาจเอื้อมไขว่คว้า และอาจคำนึงถึงความยากและความยาวนานในการปฏิบัติบำเพ็ญ แต่ตรงกันข้ามความคิดเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์นี้กลับเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับชาวพุทธมหายาน ก็ด้วยเหตุว่า เพราะความยิ่งใหญ่แห่งความเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละ สมควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามต้องตั้งจิตปณิธาน ปรารถนาบำเพ็ญ ส่วนในเรื่องของความยากและความยาวนานในการปฏิบัติ มหายานมองว่า แท้ที่จริงแล้วการบำเพ็ญโพธิสัตว์นั้นมิได้ยากแต่อย่างใด ก็ในเมื่อทุกสรรพสัตว์ต่างมีโพธิจิต มีเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะอยู่ภายในแล้ว เพียงแต่ทำให้เมล็ดพันธุ์นี้งอกงามเท่านั้น ส่วนความยาวนานในการปฏิบัติบำเพ็ญ ก็ไม่ควรไปคำนึงถึง เพราะเส้นทางเดินแห่งชีวิตอันหาที่สุดเบื้องต้นไม่ได้นี้ เป็นเรื่องเกินวิสัยธรรมดาสามัญที่สัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้นนี้จะเข้าใจได้ คาดคะเน คำนวณได้ ตามทรรศนะของพระพุทธศาสนาโดยทั่วไปแล้ว ไม่ควรสนใจอดีตซึ่งไม่สามารถย้อนกลับมาได้ ไม่ควรกังวลในอนาคตที่ยังไม่มาถึง แต่ให้พิจารณาดูปัจจุบันว่าตนปฏิบัติบำเพ็ญอยู่เช่นไรดีกว่า

บทความนี้จึงต้องการเสนอแนวคิดเรื่องพุทธยานมรรคซึ่งเป็นมรรควิถีโปรดเวไนยสัตว์ ก้าวแรกแห่งการเดินตามเส้นทางสู่พุทธยาน กระบวนการขั้นตอน มหาอุปสรรค กุศโลบายที่แฝงในปรัชญา เพื่อจะได้เข้าใจว่า การดำเนินตามพุทธยานมรรค เป็นมรรคาเพื่อเวไนย์ มิใช่เรื่องคิดค้นขึ้นใหม่ มิใช่เรื่องที่เหลือวิสัย มิใช่เรื่องนอกพุทธศาสน์ มิใช่เรื่องนำมาอวดอ้าง มิใช่เรื่องขีดเส้นแบ่งแยก มิใช่เรื่องความใจกว้างหรือคับแคบ แต่เป็นเรื่องของการสิ้นสุดแห่งทุกข์ เป็นเรื่องของการเผยแผ่พุทธธรรมไปทั่วสากล เป็นเรื่องของการบำเพ็ญฝึกฝน เป็นเรื่องแห่งการช่วยกันหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดีลงในจิตแห่งเวไนยสัตว์ ไม่ว่าจะดำเนินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือดำเนินตามโพธิสัตวธรรมเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ยิ่งบำเพ็ญเหล่าเวไนย์ย่อมเป็นสุขถ้วนหน้า



บ่อเกิดแห่งพุทธยาน


การบำเพ็ญตามพุทธยานมรรคเพื่อให้เข้าถึงพุทธะ เมื่อพิจารณาดูโพธิสัตวจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่โปรดสรรพสัตว์มาแล้วในอดีต ก่อนอื่นก็ต้องปรารถนาในใจก่อน จากนั้นก็เปล่งวาจาว่า “เราจักเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งให้ได้ในอนาคตกาล” จุดเริ่มแรกอยู่ที่จิตอธิษฐานปรารถนา เรียกว่า บำเพ็ญธรรมสโมธาน ดังนั้น “ปณิธาน” หรือ“อธิษฐาน” จึงนับได้ว่าเป็นกระแสแห่งพลังเจตนา

พลังแห่งเจตนากลายเป็นปณิธานอันแรงกล้า ซึ่งจะเป็นชนวนพลิกผันชีวิตทำให้เลือกเป็นอะไรได้ ภาษาที่ใช้กันทั่วไปก็คือ ความใฝ่ฝัน อาศัยความใฝ่ฝันเป็นแรงผลักดันให้มนุษย์ประสบความสำเร็จตามความมุ่งหวัง เช่น ใฝ่ฝันอยากเป็นครู ใฝ่ฝันอยากเป็นทหาร ใฝ่ฝันอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ใฝ่ฝันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ ใฝ่ฝันอยากเป็นบวช แต่ก่อนที่จะได้เป็นอะไรตามที่ใฝ่ฝันนั้น หรือกว่าที่ฝันจะเป็นจริงนั้น ก็ต้องแสวงหาหนทาง แนวทาง ขั้นตอนที่จะเป็นตามที่ใฝ่ฝันนั้น

ช่วงเวลาแห่งความใฝ่ฝันจึงแบ่งออกเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงแห่งการแสวงหาหนทางอย่างไร้ความแน่นอนกับช่วงแห่งการแสวงหาที่มีความเป็นไปได้แน่นอน เกณฑ์ที่ระบุไว้ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้กำหนดดังนี้คือ

ช่วงที่ ๑ อนิยตโพธิสัตว์ หมายเอาระยะที่ผู้ปรารถนาความเป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เพียงตั้งใจปรารถนาที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ เริ่มต้นบำเพ็ญตนตามโพธิสัตวธรรม ซึ่งเป็นพุทธยานมรรค จากระดับธรรมดาไปจนถึงระดับเข้มข้น ตราบใดที่ยังไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งมาพยากรณ์ตราบนั้นก็ยังคงดำรงอยู่ในช่วงระยะแห่งอนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ในขณะนี้ก็จะต้องปรารถนาสโมธานธรรมอยู่มิได้ขาด กล่าวคือ ปรารถนาความเป็นมนุษย์ เป็นบุรุษเพศ มีอุปนิสัยใฝ่บรรลุ ปรารถนาเกิดมาพบพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ถือบวชหลีกเร้นจากเรือน มีความถึงพร้อมด้วยฌานสมาบัติ เคยบำเพ็ญอธิการ คือ กระทำมหาปริจาคะมาก่อน หรือกระทำปรมัตถบารมีมาก่อน และปรารถนาพุทธภูมิอย่างแรงกล้า เมื่อครบองค์ประกอบดังกล่าว จึงชื่อว่าพร้อมที่จะได้รับพยากรณ์

ยกตัวอย่างเช่น ท่านปรารถนาอยากเป็นครู แต่ก็ยังคงเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษา หรือชั้นมัธยมศึกษา ในขณะนี้จะต้องบำเพ็ญสโมธานธรรม เตรียมตัวให้พร้อม ได้แก่ รักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีนิสัยทางเพศกลับกลาย มีอุปนิสัยชอบถ่ายทอดสั่งสอน สนทนากับนักปราชญ์ราชบัณฑิต แสวงหาครูในอุดมคติ ยอมตนเป็นศิษย์ท่าน ศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจัง จดจำหลักการและกฎเกณฑ์ได้ดี เคยอุทิศตนเพื่อการเรียนการสอนอย่างยิ่งมาก่อน และไม่เบื่อหน่ายที่จะสั่งสอน ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้เป็นครูเสียทีเดียว แต่กระทำตนพร้อมที่จะเป็นครู เมื่อได้รับการแต่งตั้ง ตำแหน่งครูนั้นยังอีกหลายขั้นตอน ไม่ทราบว่าจะเป็นได้หรือไม่ จะมีเหตุปัจจัย มีกุศลสัมพันธ์อะไรที่จะส่งเสริมหรือขัดขวางอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาพิสูจน์ อย่างน้อยบุคคลรอบข้างย่อมทราบว่า ท่านมีอุปนิสัยอยากเป็นครู และท่านก็เคยบอกใครต่อใครไว้ว่าอยากเป็นครู

เฉกเช่นเดียวกันการปรารถนาความเป็นพุทธะ เพียงแต่อธิษฐานหรือตั้งปณิธานไว้ และเปล่งวาจาต่อหน้าบุคคลที่เคารพนับถือ เพื่อจะได้ให้ท่านเหล่านั้นเป็นพยานและคอยช่วยเหลือดูแลปณิธานของท่านไปด้วย ดังนั้นในพระพุทธศาสนามหายาน จึงมีพิธีกรรมเข้ารับศีลพระโพธิสัตว์ เพื่อให้ผู้ที่มีจิตใจฝักใฝ่ปรารถนาอยากเข้าถึงพุทธะมาตั้งสัจจะอธิษฐาน เพียงเท่านี้ก็เท่ากับว่า ท่านได้ชื่อว่า เป็นอนิยตโพธิสัตว์ ดุจดังพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เพื่อย้ำถึงการตั้งมั่นในความเป็นชาวพุทธ โดยต้องเปล่งวาจาถือพระรัตนไตรเป็นสรณะ รักษาเบญจศีล บำเพ็ญเบญจธรรม เมื่อเปล่งวาจา ตั้งสัจอธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ หลักสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติตามหลักแห่งโพธิสัตวธรรมอย่างเคร่งครัด กาลเวลาจะเป็นบทพิสูจน์ต่อไป

ช่วงที่ ๒ นิยตโพธิสัตว์ หมายเอาพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญมาจนกุศลกรรมนั้นส่งผลให้ไปเกิดพบพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ได้ฟังธรรมต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ พร้อมทั้งตั้งสัจอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้วตรัสพยากรณ์ว่า ความปรารถนาของท่านจักสำเร็จในอนาคตกาล นับตั้งบัดนั้นเป็นต้นมา ก็นับกาลไปเพื่อเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

สำหรับกฎเกณฑ์เรื่องกาลเวลาสำหรับการจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ท่านกำหนดไว้ตามลักษณะของพระพุทธเจ้า กล่าวคือ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญ ๒๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญ ๔๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป และถ้าเป็นพระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญ ๘๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป เปรียบเหมือนระยะเวลาที่จะได้เป็นครูจริงๆ ก็ต่อเมื่อได้เรียนในระดับอุดมศึกษาในคณะที่จะเป็นครูได้ และมีคณาจารย์บอกว่า ท่านสามารถจะเป็นครูได้ถ้าหากเรียนอย่างนี้ต่อไป เมื่อถึงตอนนี้ ท่านก็มีความมั่นใจที่จะเป็นครูได้จริงๆ ท่านอาจต้องใช้ระยะเวลา ๔ หรือ ๕ ปี หรือมากกว่านั้นหากต้องเป็นการที่จะเป็นครูที่ดีมีความสามารถ

ในเรื่องระยะเวลานี้ ก็เป็นเรื่องที่ยากจะบอกได้ว่า เมื่อไรที่ได้รับพยากรณ์แล้วและเมื่อใดคือระยะเวลาที่กำหนด เพราะโดยทั่วไปท่านก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าตนเคยได้รับพยากรณ์แล้วหรือไม่ และไม่รู้ว่า ท่านได้บำเพ็ญมาถึงกาลที่กำหนดแล้วหรือยัง นอกจากจะระลึกชาติได้ได้ยาวนานจนถึงชาติที่ได้รับพยากรณ์ ซึ่งต้องอาศัยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ท่าทีที่ควรพิจารณาในประเด็นนี้ก็คือ ควรคิดเสียว่า บัดนี้มิใช่หรือที่ควรจะเป็นเวลาที่ใกล้จะถึงแล้ว ชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนที่ผ่านมาก็เพียงพอที่จะเป็นเวลาที่กำหนดไว้ ดังนั้น มีแต่ต้องตั้งปณิธานในขณะนี้ บำเพ็ญพุทธยานมรรคเดี๋ยวนี้ ประเมินตนว่าตนบำเพ็ญอยู่ในระดับไหน ระดับธรรมดา (ปกติบารมี) หรือระดับกลาง (อุปบารมี) หรือระดับเข้มข้น (ปรมัตถบารมี)

(อ่านต่อหนังสือวัดโฝวกวงซาน ฉบับสร้างพระไภษัตยคุรุ)