วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554
องค์กรพุทธในอนาคต : รูปแบบการจัดการ
รู้เขารู้เรา
แนวคิดของพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้นคุ้นชินกับคำว่า “ปัจจุบันขณะ” ความคิดนี้ได้สร้างกรอบให้กับความคิดของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรสงฆ์
คำๆ นี้มิได้มีความหมายว่าให้อยู่กับปัจจุบันขณะทุกๆ อย่าง มีชีวิตอยู่เพียงแค่วันนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดนั้น ไม่ใช่วิธีคิดที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต แต่เป็นบางช่วงของชีวิต เราไม่สามารถทำปัจจุบันให้ดีที่สุดโดยปราศจากการคิดถึงอนาคต เนื่องจากปัจจุบันคือการมาถึงของอนาคต อนาคตกลายเป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีใครต้านทานได้ เรียกได้ว่าเป็น สัจนิรันดร์
ถ้าหากไม่รู้ว่าอนาคตจะทำอะไร อะไรจะเกิดขึ้นเราย่อมไม่สามารถรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันได้ หากเราต้องการอยู่อย่างมั่นคงและมีความสุข เราไม่อาจอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียวได้ เราต้องอยู่กับอนาคตด้วย แต่มีมิติในเชิงลึกอยู่ เป็นกรอบเวลาอยู่ ปัจจุบันขณะคือ ขณะที่กำหนดวางแผนทำไว้แล้วและกระทำอย่างมุ่งมั่น ไม่มีจิตพะว้าพะวัง ไม่หลงลืมสติ นี่คืออยู่กับปัจจุบัน
แต่นัยยะที่สำคัญในที่นี้คือ การคิดเพื่อวางแผนในอนาคต พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่วางแผนทุกขั้นตอนของการทำงาน ไม่ว่าจะมีนโบบายให้พระภิกษุทั้งหลายทำ และพระองค์เองได้วางตารางเวลาเป็นพุทธกิจวัตรประจำวันไว้ ได้แก่
๑. เวลาเช้าเสด็จออกบิณฑบาต เพื่อเป็นการโปรดสัตว์โลกผู้ต้องการบุญ
๒. ในเวลาเย็นทรงแสดงธรรมแก่คนผู้สนใจในการฟังธรรม
๓. ในเวลาค่ำทรงประทานพระโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย
๔. ในเวลาเที่ยงคืน ทรงแสดงธรรม และตอบปัญหาแก่เทวดาทั้งหลาย
๕. ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลกที่อาจจะรู้ธรรมซึ่งประองค์ทรงแสดง แล้วได้รับผล
นั่นคือการวางแผน การคิดเพื่อดำเนินไปในอนาคต การคิดเพื่ออนาคตจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก เพราะเป็นเสมือนเข็มทิศ เป้าหมายให้ดำเนินไป ตามตรรกะสำนวนที่ว่า “สิ่งที่คุณคิดกำหนดสิ่งที่คุณกระทำ สิ่งที่คุณกระทำกำหนดสิ่งที่คนอื่นจะมีปฏิกิริยากับคุณ
ด้วยเหตุนี้ องค์กรพุทธในอนาคตจึงต้องวางแผนและดำเนินการ บัดนี้ Internet กำลังมีบทบาทอย่างมากทั้งในด้านการติดต่อประสานงานและทางด้านการศึกษา ในอนาคตการใช้ชีวิตของผู้คนจะขาด Internet ไม่ได้ ข้อมูลใน Web Site จะกลายเป็นแหล่งความรู้สำหรับการเรียนรู้ ผู้ที่เข้าถึงข้อมูลได้มากกว่ากันก็จะได้เปรียบในการปฏิบัติการ
เมื่อเป็นเช่นนี้องค์กรพุทธก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีในการบริหารจัดการ ต่อไปในอนาคตไม่ไกลนี้ สถานศึกษาจะเป็นเพียงศูนย์บัญชาการทางการศึกษาเท่านั้น การติดต่อกันก็จะผ่านช่อง Education Web Paged ผู้ศึกษาจะต้อง Download ข้อมูลมาศึกษา ถ้าไม่เข้าใจก็ต้อง Chat หรือ ส่ง Massaged ผ่าน Internet มา ส่วนผู้สอนก็จะใช้ช่องทางการส่งสัญญาณดาวเทียมการศึกษาสนทนากันไปสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้และกำลังเกิดขึ้นแล้วในสังคม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากมีเหตุการณ์พันผวนทางบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองหรือด้านความปลอดภัย หรือด้าน Save Cost สังคมจะใช้วิธีการนี้
แนวทางในการบริหารจัดการองค์กรพุทธจะต้องเปลี่ยนจากการจัดการเชิงเดี่ยวมาเป็นเชิงกลุ่ม (United Treat) อาจรวมสองหรือสามตำบล จัดให้มีศูนย์การศึกษาทางพระพุทธศาสนาที่ได้มาตรฐานหนึ่งแห่ง คณะสงฆ์ภายในเขตรับผิดชอบต้องร่วมมือกันสร้าง โดยขอความร่วมมือจากภาครัฐและประชาชนสนับสนุนอย่างจริงจัง ใช้หลักการบริหารเข้าไปดำเนินการในเชิงรุก
สถานที่ศึกษาทางพระพุทธศาสนาจะต้องมีขยายเป็นลำดับโดยจัดเป็นระบบโควตา ให้มีศูนย์การศึกษาในระดับอำเภอและในระดับจังหวัด ในจังหวัดหนึ่งควรจะมีสักกี่แห่งก็พิจารณากันตามความเหมาะสม สำหรับในระดับจังหวัดนั้นศูนย์การศึกษาจะต้องมีขยายเป็นลำดับโดยจัดเป็นระบบโควตา
สำหรับในระดับจังหวัดนั้นศูนย์การศึกษาจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบของการจัดการที่ครบวงจร ต่อจากนั้นเมื่อจบการศึกษาจากศูนย์การศึกษาในระดับจังหวัดก็จะใช้ระบบโควตา เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยสงฆ์ที่มีวิทยาเขตอยู่ทั่วประเทศ
ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยน
วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554
ยิ่งรักตน ก็ยิ่งรักผู้อื่น
ยิ่งรักตน ก็ยิ่งรักผู้อื่น
บุคคลที่สนใจตนเองทุกแง่มุม สนใจแต่เรื่องของตน มองตน เข้าถึงตนอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะรักและเข้าใจผู้อื่นได้ด้วย ตรรกะนี้ไม่เป็นไปตามตรรกะของโลก ที่ยิ่งใครเห็นแก่ตัวมากก็จะไม่สนใจใคร บุคคลที่เห็นแก่ตัวตามโลก คือ ผู้ไม่รู้จักตัวเองเลยแม้สักนิดเดียว
คำกล่าวที่ “ความเห็นแก่ตัว” จึงถูกกล่าวประณาม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคำนี้ถูกใช้ไปในความหมายที่ตรงกันข้ามกับความจริง
อันที่จริงคำๆ นี้ เป็นคำที่สวยงาม คำว่า เห็นแก่ตัว หมายความง่ายๆ ว่า การเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปวุ่นวายกับผู้อื่น ไปพิจารณาผู้อื่น พยายามไปทำความเข้าใจผู้อื่น ไม่ต้องไปวุ่นวายพิจารณาใครๆ คนอื่นในโลกนี้ ขอให้หันมาดูตนเองดีกว่า มองให้มากๆ มองให้ลึกซึ้ง มองให้เห็นแก่นแท้ของตน ผลที่ออกมาจะเป็นในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่โลกประณาม เพราะการที่ท่านหันมาใส่ใจตนเอง เท่ากับว่าท่านกำลังใส่ใจโลกทั้งโลก
ในการเข้าไปพิจารณาเห็นแก่ตัว ท่านจะเห็นประโยชน์ของคนทั้งโลก ที่ท่านพยายามค้นหาๆ แต่ไม่พบสักที เพราะว่าสิ่งทั้งมวลนั้นถูกฝังไว้ในตัวของท่าน ท่านมักจะได้รับการบอกให้รักเพื่อนบ้าน แต่ท่านเองกลับไม่ได้รักตนเองเลย บุคคลที่ไม่เคยรักตนเองได้ ไหนเลยที่จะรักผู้อื่นได้เล่า เขาจะได้ความรักจากที่ไหน ประการแรก เราต้องมีความรักในตัวเราเองก่อน ก่อนที่เราจะรักผู้อื่นได้ คนอื่นๆ ก็เช่นกันคาดหวังความรักจากกันและกันที่ไม่ได้มีความรักในตัวเองเลย เป็นเรื่องที่ไม่อาจความหวังได้ นี่จึงเป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยน เป็นเรื่องของความโง่เขลาโดยแท้
การที่ต่างคนต่างไปสนใจผู้อื่น ต้องการความรักจากผู้อื่น ต่างก็คาดหวังจากกันและกัน เปรียบเหมือนขอทานที่ขอทานจากพวกเดียวกัน ต่างคาดคิดว่า ขอทานคนอื่นเป็นจักรพรรดิ เป็นผู้ร่ำรวย ทั้งที่ทั้งคู่เป็นเพียงคนขอทานเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างก็คิดต่อกันและกันอย่างนั้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือตัวเขาเองที่มีแต่ความทุกข์ระทม ทุกข์เพราะไม่สามารถได้อะไรเลย นั่นจึงเป็นเหตุให้เราทั้งหลายต่างคิดไปว่า เราถูกหลอก ก็ขอทานพยายามทำตัวให้เป็นเหมือนจักรพรรดิ นี่เป็นเรื่องที่โง่เขลาโดยแท้ แสดงตนว่า ตนมีความรักที่จะมอบให้ผู้อื่น ทั้งที่ภายในตนไม่มีแม้แต่น้อย ไม่มีแม้กระทั่งความรักตนเอง เป็นเรื่องเหลวไหลอย่างแท้จริง ฝ่ายหนึ่งก็คิดต่อคุณว่าเป็นจักรพรรดิ อีกฝ่ายก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ฝ่ายหนึ่งกล่าวหาว่าตนกำลังหลอกลวงผู้อื่น ก็เพราะการทำตัวว่าเป็นเหมือนจักรพรรดิ แต่ที่จริงแล้ว เขาก็เป็นเพียงขอทานเท่านั้น เมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ว่าตนเป็นเพียงขอทานเท่านั้น สิ่งที่เขาทำได้ก็คือโกรธเกลียดกัน เดือดดาลต่อกันและกัน ทำร้ายกัน ทำลายกัน และ พยาบาทกัน และกันเท่าที่จะทำได้
จะเป็นได้อย่างไรกัน แม้แต่ความรักในตนยังไม่มี แล้วจะเอาความรักที่ไหนไปเผื่อแผ่ผู้อื่นได้ การจะมีความรักให้ผู้อื่น ก่อนอื่นเราต้องมีก่อน เหมือนกับจะให้อะไรแก่ผู้ใด ตนเองก็ต้องมีก่อน ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน สังคม ผู้อื่นถูกสอนให้อุทิศตนให้กับอุดมการณ์อันงี่เง่า สอนให้รักเพื่อนบ้าน สอนให้รักครอบครัว สอนให้รักคนรัก สอนให้รักประเทศชาติ บ้าบอชัดๆ
ไม่ต้องอะไรมาก เริ่มต้นด้วยการเห็นแก่ตัวธรรมดาๆ เท่านั้นก็พอ พอทำได้แล้ว ในที่สุดเราประหลาดใจว่า เรามีสมบัติอะไรบ้างภายในตัวของเราเองที่จะให้อะไรแก่ใครได้ เมื่อเริ่มแบ่งปันจะพบกับความสุขอีกแบบหนึ่ง เป็นความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน การแสวงสมบัติก็ดี การครอบครองสมบัติไว้ก็ดีนั้นไม่ใช่ความสุขที่ดีพอ เป็นความสุขที่มีน้อยกว่าการแบ่งปัน โปรดจงจำไว้อย่างหนึ่ง อย่างได้นำสมบัติที่อยู่ในตัวของท่านนั้นได้ไปเทียบกับระบบเศรษฐกิจทั่วไป นี่คือกฎ มันคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเศรษฐกิจของชาวโลก ถ้าเป็นเศรษฐกิจทั่วไป ถ้าหากคุณให้อะไรไป คุณจะเหลือสิ่งนั้นน้อยลง ถ้าคุณให้ต่อไปไม่ช้าคุณอาจเป็นขอทานได้
แนวคิดของเศรษฐศาสตร์ของโลก คุณจะต้องแสวงหากำไรจากผู้อื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วคุณจะมีมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น สมบัติที่ข้าพเจ้ากำลังบอกกับท่านนี้เป็นเรื่องตรงกันข้ามกัน ถ้าคุณเข้าไปยึดไว้ มันจะเหลือน้อยลง ถ้าคุณยึดมากไปกว่านั้น คุณอาจถึงกับเป็นฆาตกรได้ ถ้าคุณปิดประตูไม่ให้สิ่งใดหลุดรอดไปได้ กลายเป็นคนงก และเคร่งขรึม ในที่สุดคุณก็คือคนที่ตายแล้วเท่านั้น สมบัติทั้งหมดก็จะตายไปกับคุณ ไม่ว่าความรัก ความสุข ความรื่นเริง ความบันเทิงก็จะตายไปกับคุณ ตายอย่างถาวร แน่นอนที่สุด
ถ้าหากคุณต้องการความงอกงามแห่งสมบัติ แบ่งปันไป แบ่งปันให้ทุกๆ คน อย่างเป็นของจำหน่ายจ่ายแจก จ่ายแจกอย่างไม่มีข้อกำหนดว่าเป็นเพื่อนหรือเป็นศัตรู อย่าได้มีคำถามว่ากำลังแบ่งปันให้กับใคร ใครๆ ก็ได้ที่ท่านเกี่ยวข้อง อย่าไปเกี่ยวกับที่อยู่ เพียงแต่ส่งจดหมายแห่งความรักไปเท่านั้น ย่อมมีคนรับมันสักแห่งหนึ่ง ยิ่งคุณให้มากเท่าใด ก็จะทำให้เข้าถึงแห่งที่ไม่มีใครรู้จักมากขึ้นเท่านั้น
มนุษย์ก็คล้ายกับบ่อน้ำ บ่อน้ำที่ช่วยให้ใครต่อใครที่หิวกระหายได้ดื่ม ดื่มน้ำแล้วก็มีชีวิตยืนยาวต่อไป มีแต่ความชุ่มเย็นดับกระหายให้แก่ผู้คน ผู้คนที่กระหายจะต้องคิดถึงบ่อน้ำ คุณค่าของบ่อน้ำอยู่ที่นี่ มนุษย์ก็คล้ายกัน คุณค่าอยู่ที่ได้ช่วยเหลือแบ่งปันกับผู้คน เพื่อให้ทุกคนได้มีความสุข มนุษย์อย่าได้เป็นเหมือนทะเล มีมากก็จริงแต่ทำอะไรสำหรับชีวิตให้ยืนยาวไม่ได้ ดับความกระหายไม่ได้
ยิ่งมีความรักในตัวมากเท่าใด ก็สามารถให้ความรักผู้อื่นได้มากเท่านั้น ถ้าไม่ได้มีความรักในตัวคุณ ไหนเลยจะแบ่งปันผู้อื่นได้ ดังนั้นจำเป็นต้องรักตัวคุณก่อน ต้องเป็นคนเห็นแก่ตัวก่อน ความเห็นแก่ตัวในที่นี้มิได้มีความหมายตามที่โลกประณาม โลกเข้าใจคำนี้ไม่ถูกต้อง การเห็นแก่ตัวของเขาคือการคาดหวังจากผู้อื่น แล้วไม่ได้ดังที่คาดหวัง เหมือนกับขอทานที่ขอขอทานด้วยกัน แล้วเขาไม่ให้ก็กล่าวหาว่า เขาเห็นแก่ตัว ก็ตัวเขาเองไม่มีอะไรจะให้ เพียงแต่แกล้งทำตัวว่ามีเท่านั้น
คนที่ไม่มีความรักในตนเองก็เหมือนกับขอทาน แต่ถ้าเขารักตนเอง เห็นแก่ตัว ทุกคนเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง นั่นแปลว่าเขาเห็นสมบัติในตัวเขา เขาพร้อมที่จะแบ่งปันให้ นี่คือ ความหมายของการเห็นแก่ตัว
จงค้นหาตนเอง อย่าได้ค้นหาคนอื่น เมื่อคุณพบตนเอง คุณก็จะพบคนอื่น เมื่อคุณไม่พบตนเอง แล้วคุณจะไปพบคนอื่นได้ที่ไหน สุดท้ายก็มีแต่กล่าวหา ว่าร้าย โกรธเคือง ครุ่นแค้น ทำร้ายและทำลายกันและกันเท่านั้น ถ้าเขารักตนเอง เขาจะรักคนอื่นเท่ากับรักตนเอง นี่เป็นมุมเบอรแรงที่สะท้อนกลับเอง
บุคคลที่สนใจตนเองทุกแง่มุม สนใจแต่เรื่องของตน มองตน เข้าถึงตนอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะรักและเข้าใจผู้อื่นได้ด้วย ตรรกะนี้ไม่เป็นไปตามตรรกะของโลก ที่ยิ่งใครเห็นแก่ตัวมากก็จะไม่สนใจใคร บุคคลที่เห็นแก่ตัวตามโลก คือ ผู้ไม่รู้จักตัวเองเลยแม้สักนิดเดียว
คำกล่าวที่ “ความเห็นแก่ตัว” จึงถูกกล่าวประณาม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคำนี้ถูกใช้ไปในความหมายที่ตรงกันข้ามกับความจริง
อันที่จริงคำๆ นี้ เป็นคำที่สวยงาม คำว่า เห็นแก่ตัว หมายความง่ายๆ ว่า การเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปวุ่นวายกับผู้อื่น ไปพิจารณาผู้อื่น พยายามไปทำความเข้าใจผู้อื่น ไม่ต้องไปวุ่นวายพิจารณาใครๆ คนอื่นในโลกนี้ ขอให้หันมาดูตนเองดีกว่า มองให้มากๆ มองให้ลึกซึ้ง มองให้เห็นแก่นแท้ของตน ผลที่ออกมาจะเป็นในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่โลกประณาม เพราะการที่ท่านหันมาใส่ใจตนเอง เท่ากับว่าท่านกำลังใส่ใจโลกทั้งโลก
ในการเข้าไปพิจารณาเห็นแก่ตัว ท่านจะเห็นประโยชน์ของคนทั้งโลก ที่ท่านพยายามค้นหาๆ แต่ไม่พบสักที เพราะว่าสิ่งทั้งมวลนั้นถูกฝังไว้ในตัวของท่าน ท่านมักจะได้รับการบอกให้รักเพื่อนบ้าน แต่ท่านเองกลับไม่ได้รักตนเองเลย บุคคลที่ไม่เคยรักตนเองได้ ไหนเลยที่จะรักผู้อื่นได้เล่า เขาจะได้ความรักจากที่ไหน ประการแรก เราต้องมีความรักในตัวเราเองก่อน ก่อนที่เราจะรักผู้อื่นได้ คนอื่นๆ ก็เช่นกันคาดหวังความรักจากกันและกันที่ไม่ได้มีความรักในตัวเองเลย เป็นเรื่องที่ไม่อาจความหวังได้ นี่จึงเป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยน เป็นเรื่องของความโง่เขลาโดยแท้
การที่ต่างคนต่างไปสนใจผู้อื่น ต้องการความรักจากผู้อื่น ต่างก็คาดหวังจากกันและกัน เปรียบเหมือนขอทานที่ขอทานจากพวกเดียวกัน ต่างคาดคิดว่า ขอทานคนอื่นเป็นจักรพรรดิ เป็นผู้ร่ำรวย ทั้งที่ทั้งคู่เป็นเพียงคนขอทานเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างก็คิดต่อกันและกันอย่างนั้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือตัวเขาเองที่มีแต่ความทุกข์ระทม ทุกข์เพราะไม่สามารถได้อะไรเลย นั่นจึงเป็นเหตุให้เราทั้งหลายต่างคิดไปว่า เราถูกหลอก ก็ขอทานพยายามทำตัวให้เป็นเหมือนจักรพรรดิ นี่เป็นเรื่องที่โง่เขลาโดยแท้ แสดงตนว่า ตนมีความรักที่จะมอบให้ผู้อื่น ทั้งที่ภายในตนไม่มีแม้แต่น้อย ไม่มีแม้กระทั่งความรักตนเอง เป็นเรื่องเหลวไหลอย่างแท้จริง ฝ่ายหนึ่งก็คิดต่อคุณว่าเป็นจักรพรรดิ อีกฝ่ายก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ฝ่ายหนึ่งกล่าวหาว่าตนกำลังหลอกลวงผู้อื่น ก็เพราะการทำตัวว่าเป็นเหมือนจักรพรรดิ แต่ที่จริงแล้ว เขาก็เป็นเพียงขอทานเท่านั้น เมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ว่าตนเป็นเพียงขอทานเท่านั้น สิ่งที่เขาทำได้ก็คือโกรธเกลียดกัน เดือดดาลต่อกันและกัน ทำร้ายกัน ทำลายกัน และ พยาบาทกัน และกันเท่าที่จะทำได้
จะเป็นได้อย่างไรกัน แม้แต่ความรักในตนยังไม่มี แล้วจะเอาความรักที่ไหนไปเผื่อแผ่ผู้อื่นได้ การจะมีความรักให้ผู้อื่น ก่อนอื่นเราต้องมีก่อน เหมือนกับจะให้อะไรแก่ผู้ใด ตนเองก็ต้องมีก่อน ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน สังคม ผู้อื่นถูกสอนให้อุทิศตนให้กับอุดมการณ์อันงี่เง่า สอนให้รักเพื่อนบ้าน สอนให้รักครอบครัว สอนให้รักคนรัก สอนให้รักประเทศชาติ บ้าบอชัดๆ
ไม่ต้องอะไรมาก เริ่มต้นด้วยการเห็นแก่ตัวธรรมดาๆ เท่านั้นก็พอ พอทำได้แล้ว ในที่สุดเราประหลาดใจว่า เรามีสมบัติอะไรบ้างภายในตัวของเราเองที่จะให้อะไรแก่ใครได้ เมื่อเริ่มแบ่งปันจะพบกับความสุขอีกแบบหนึ่ง เป็นความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน การแสวงสมบัติก็ดี การครอบครองสมบัติไว้ก็ดีนั้นไม่ใช่ความสุขที่ดีพอ เป็นความสุขที่มีน้อยกว่าการแบ่งปัน โปรดจงจำไว้อย่างหนึ่ง อย่างได้นำสมบัติที่อยู่ในตัวของท่านนั้นได้ไปเทียบกับระบบเศรษฐกิจทั่วไป นี่คือกฎ มันคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเศรษฐกิจของชาวโลก ถ้าเป็นเศรษฐกิจทั่วไป ถ้าหากคุณให้อะไรไป คุณจะเหลือสิ่งนั้นน้อยลง ถ้าคุณให้ต่อไปไม่ช้าคุณอาจเป็นขอทานได้
แนวคิดของเศรษฐศาสตร์ของโลก คุณจะต้องแสวงหากำไรจากผู้อื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วคุณจะมีมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น สมบัติที่ข้าพเจ้ากำลังบอกกับท่านนี้เป็นเรื่องตรงกันข้ามกัน ถ้าคุณเข้าไปยึดไว้ มันจะเหลือน้อยลง ถ้าคุณยึดมากไปกว่านั้น คุณอาจถึงกับเป็นฆาตกรได้ ถ้าคุณปิดประตูไม่ให้สิ่งใดหลุดรอดไปได้ กลายเป็นคนงก และเคร่งขรึม ในที่สุดคุณก็คือคนที่ตายแล้วเท่านั้น สมบัติทั้งหมดก็จะตายไปกับคุณ ไม่ว่าความรัก ความสุข ความรื่นเริง ความบันเทิงก็จะตายไปกับคุณ ตายอย่างถาวร แน่นอนที่สุด
ถ้าหากคุณต้องการความงอกงามแห่งสมบัติ แบ่งปันไป แบ่งปันให้ทุกๆ คน อย่างเป็นของจำหน่ายจ่ายแจก จ่ายแจกอย่างไม่มีข้อกำหนดว่าเป็นเพื่อนหรือเป็นศัตรู อย่าได้มีคำถามว่ากำลังแบ่งปันให้กับใคร ใครๆ ก็ได้ที่ท่านเกี่ยวข้อง อย่าไปเกี่ยวกับที่อยู่ เพียงแต่ส่งจดหมายแห่งความรักไปเท่านั้น ย่อมมีคนรับมันสักแห่งหนึ่ง ยิ่งคุณให้มากเท่าใด ก็จะทำให้เข้าถึงแห่งที่ไม่มีใครรู้จักมากขึ้นเท่านั้น
มนุษย์ก็คล้ายกับบ่อน้ำ บ่อน้ำที่ช่วยให้ใครต่อใครที่หิวกระหายได้ดื่ม ดื่มน้ำแล้วก็มีชีวิตยืนยาวต่อไป มีแต่ความชุ่มเย็นดับกระหายให้แก่ผู้คน ผู้คนที่กระหายจะต้องคิดถึงบ่อน้ำ คุณค่าของบ่อน้ำอยู่ที่นี่ มนุษย์ก็คล้ายกัน คุณค่าอยู่ที่ได้ช่วยเหลือแบ่งปันกับผู้คน เพื่อให้ทุกคนได้มีความสุข มนุษย์อย่าได้เป็นเหมือนทะเล มีมากก็จริงแต่ทำอะไรสำหรับชีวิตให้ยืนยาวไม่ได้ ดับความกระหายไม่ได้
ยิ่งมีความรักในตัวมากเท่าใด ก็สามารถให้ความรักผู้อื่นได้มากเท่านั้น ถ้าไม่ได้มีความรักในตัวคุณ ไหนเลยจะแบ่งปันผู้อื่นได้ ดังนั้นจำเป็นต้องรักตัวคุณก่อน ต้องเป็นคนเห็นแก่ตัวก่อน ความเห็นแก่ตัวในที่นี้มิได้มีความหมายตามที่โลกประณาม โลกเข้าใจคำนี้ไม่ถูกต้อง การเห็นแก่ตัวของเขาคือการคาดหวังจากผู้อื่น แล้วไม่ได้ดังที่คาดหวัง เหมือนกับขอทานที่ขอขอทานด้วยกัน แล้วเขาไม่ให้ก็กล่าวหาว่า เขาเห็นแก่ตัว ก็ตัวเขาเองไม่มีอะไรจะให้ เพียงแต่แกล้งทำตัวว่ามีเท่านั้น
คนที่ไม่มีความรักในตนเองก็เหมือนกับขอทาน แต่ถ้าเขารักตนเอง เห็นแก่ตัว ทุกคนเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง นั่นแปลว่าเขาเห็นสมบัติในตัวเขา เขาพร้อมที่จะแบ่งปันให้ นี่คือ ความหมายของการเห็นแก่ตัว
จงค้นหาตนเอง อย่าได้ค้นหาคนอื่น เมื่อคุณพบตนเอง คุณก็จะพบคนอื่น เมื่อคุณไม่พบตนเอง แล้วคุณจะไปพบคนอื่นได้ที่ไหน สุดท้ายก็มีแต่กล่าวหา ว่าร้าย โกรธเคือง ครุ่นแค้น ทำร้ายและทำลายกันและกันเท่านั้น ถ้าเขารักตนเอง เขาจะรักคนอื่นเท่ากับรักตนเอง นี่เป็นมุมเบอรแรงที่สะท้อนกลับเอง
วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554
ดวงไฟทำให้ความมืดหายไป
ความสุขหาได้ไม่ยาก
จงรับรู้ว่า การที่คุณมีปัญหารุมเร้านั้นไม่ใช่เป็นเพราะปัญหามันมากขึ้น แต่เป็นเพราะสติของเราอ่อนกำลังลงเท่านั้น เมื่อคนมีสติแล้วอุปสรรคจะมากขึ้น รุนแรงขึ้น เหมือนกับการที่คุณเปิดไฟในห้องที่มืด คุณก็จะเห็นหยากไย่ชัดขึ้น ไม่ได้หมายความว่า มันเข้ามาเมื่อคุณเปิดไฟ มันอยู่ที่นั่นนานแล้ว เพียงแต่เมื่อคุณมีสติ มีความตื่นตัว แต่อย่าได้คิดว่ามันกำลังขยายมากขึ้น แสงสว่างไม่ได้เกี่ยวข้องที่จะทำให้อะไรมีมากขึ้น มันเป็นเพียงทำให้เกิดการปรากฏขึ้นเท่านั้น สติของคุณทำให้ปัจจุบันปรากฏขึ้นในกำแพงคุณในตัวคุณ
แล้วเธอก็บอกว่า เมื่อมีสติขึ้น แต่ก็ไม่สามารถผ่านกำแพงอุปสรรคไปได้ เพราะอะไร ก็เพราะกำแพงนี้ไม่ได้มีอยู่จริง มันไม่ได้สร้างด้วยอิฐ หินปูนอะไร แต่มันถูกสร้างขึ้นด้วยความคิด ความคิดนั้นไม่ได้ปกป้องคุณ ขอเพียงให้คุณรู้วิธีการที่จะข้ามพ้นมันเท่านั้น เมื่อคุณเริ่มที่จะดิ้นรนปีนป่ายไปตามกระบวนการของความคิด ตามกฎของกำแพงคุก คุณก็จะพบกับความยุ่งยากที่มากมายใหญ่โต บางคนถึงกับเป็นบ้า คนกลายเป็นบ้าได้อย่างไร เพราะเข้าถูกกระแสความคิดจำนวนมากเข้าครอบงำอยู่ตลอด พวกเขาพยายามที่จะออกจากความยุ่งยากนั้น แต่ก็กลับจมดิ่งลงไปสู่ความยุ่งยากนั้นมากขึ้น แล้วในที่สุด เป็นธรรมดา ประสาทของเขาไม่สามารถดำรงอยู่ได้ปกติ มีแต่แรกกดดันและความเครียด พวกเขาก็เปิดกล่องแพนโดร่า ความชั่วร้ายก็ออกมา ความชั่วร้ายนั้นแฝงกายอยู่ในนั้น ไม่มีใครใส่ใจกับมัน ขณะนี้พวกมันถูกสมาธิเข้าไปตรวจสอบ ทันทีที่คุณเห็น เมฆแห่งความชั่วร้ายนั้นช่างหนาเหลือเกิน ยิ่งพยายามใช้ความสามารถที่จะข้ามพ้น ก็ยิ่งพบว่า อุปสรรคแน่นหนานั้นรายล้อมตนเองอยู่ พอคุณเริ่มต่อสู้กับมัน ไม่มีทางที่จะชนะมันได้ ไม่ช้าไม่นานคุณก็จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง คุณก็จะพบว่าตนเองนั้นกำลังถูกความบ้านเฉือนออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ถ้าหากคุณใช้วิธีการที่ถูกต้อง แทนที่คุณจะถูกโค่นลงแต่คุณกำลังจะผ่านมันไปได้
วิธีการที่ถูกต้องก็คือ การคิดว่าคุณกำลังถูกรายล้อมด้วยอุปสรรค เพียงแค่คุณเป็นเพียงผู้ดู ไม่ต้องสู้ ไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องตำหนิ ประณาม เพียงแค่สงบเงียบ และเยือกเย็น เป็นผู้สังเกตดูไม่ว่าอะไรจะอยู่ที่นั่นก็ตาม
คุณเพียงแค่ทำตัวเป็นผู้ดู ไม่ต้องเป็นผู้เล่น เมื่อนั้นคุณก็จะเห็นผู้เล่นเหล่านั้นเล่นไป แล้วมันก็จบลง เพราะไม่มีแรงที่จะเล่นต่อไป ไม่มีอะไรที่เป็นจริงอยู่ในนั้น มันเป็นเพียงสิ่งที่หลอกล่อให้คนเล่นตาม ชวนให้คนหมุนตาม ยิ่งหมุนไปแรงเหวี่ยงก็จะมากยิ่งขึ้น ยิ่งมากขึ้นเท่าใด คนก็ยิ่งไม่อาจบังคับตัวเองได้มากเท่านั้น
เพียงเข้าใจว่า กำแพงอุปสรรคนานาเหล่านั้นไม่ได้มีอยู่จริง มันเกิดขึ้นจากแรงเหวี่ยงของความคิด เมื่อคุณไม่เหวี่ยงไป ความคิดก็จะหมุนช้าลงแล้วหยุดหมุน จะเหลือแต่ความว่างที่ปรากฏขึ้น เป็นความใสแห่งปรากฏการณ์ที่มันเป็นไป ไม่มีแรงหมุนจากความคิด ผู้ใดไม่ทันระวังจะต้องถูกแรงเหวี่ยงแห่งความคิดนั้นชักจูงไปเสมอ แต่เมื่อคุณมีสติ แรงเหวี่ยงนั้นจะชัดเจนขึ้น แล้วมันจะไร้พลังไปทันที
สังเกตจากการที่คุณยืนอยู่ท่ามกลางการอภิปราย หรือการสัมมนา คุณจะถูกชักจูงความคิดให้ไหลไปไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง นั่นคือ จุดเริ่มต้นแห่งแรงเหวี่ยง จากนั้นคุณก็จะถูกดึงเข้าไปในวงจรที่เรียกว่า การเข้าไปเปิดหีบแพนโดร่า คุณไม่สามารถที่จะทนต่อแรงเหวี่ยงได้หรอกถ้าคุณไม่รู้จักวิธีการที่ถูกต้อง แรงเหวี่ยงนั้นอาศัยความคิดเป็นตัวหมุนไป ยิ่งคิดก็ยิ่งหมุนแรงขึ้น ไวขึ้น ความชั่วร้ายภายในหีบก็จะแผลงฤทธิ์ออกมามากขึ้นเพื่อผลักดันให้ความคิดนั้นดิ้นไป กระเสือกกระสนไป ทั้งไขว่คว้าและวิ่งหนี คุณไม่สามารถไขว่คว้าได้ และคุณก็ไม่อาจวิ่งหนีมันได้ เพราะคุณกำลังเล่นตามเกมของมัน ต้องเปลี่ยนวงจรใหม่ ก่อนอื่นต้องทราบว่า นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เป็นแต่การสร้างขึ้นของความคิด แล้วมันจะเริ่มชะลอ และหยุดลงในที่สุด
เพียงแค่หยุด แล้วเป็นผู้ดูเท่านั้น คุณก็ไม่ใช่ผู้เล่นเกมอีกต่อไป ไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องประณาม ไม่ต้องชื่นชมใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่ผู้ดู นี่คือหนทางออกจากวงจรอุบาทว์นั้น เป็นการปิดหีบแพนโดร่านั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)